ด้วยเหตุนี้ ทุกคนในเหตุการณ์ต่างออกมาปกป้องและห้ามปราม ทางด้านเสด็จพ่อก็เป็นห่วงนาง จึงทำได้เพียงส่งเสียงฮึดฮัด แล้วอุ้มนางกลับเข้าไปในเรือน ทั้งยังรีบเชิญหมอหลวง แล้วลงโทษพวกสาวใช้ทั้งหมดของเสด็จแม่
เสด็จแม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง อาบน้ำและรีบให้ความอบอุ่น ภายในจวนยุ่งและวุ่นวายมาก งานเลี้ยงเกือบจะกลายเป็นงานศพ
ตอนที่นางฟื้นขึ้นมา ตั้งสติได้ ซูชีก็ถูกส่งตัวออกไปจากเมืองหลวงแล้ว
เพราะขณะที่นางกำลังป่วยหนัก เสด็จพ่อโมโหคว้ากระบี่บุกไปยังตระกูลซู ต้องการให้ตระกูลส่งตัวซูชีออกมา ชดใช้ชีวิตให้ตน
ถึงแม้ตระกูลซูจะไม่กลัวจวนจิ่งชินอ๋องของพวกเขา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นฝ่ายผิด จึงทำได้เพียงเลี่ยงการปะทะรุนแรง ลอบส่งซูชีออกนอกเมืองหลวง
ความเป็นจริง ในตอนหลังนางบอกความจริงทุกอย่างให้เสด็จพ่อฟังแล้ว แต่เสด็จพ่อกลับไม่ยอมรับฟัง เอาแต่พูดซ้ำวนไปมาว่า ‘ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ล้วนเป็นเพราะเขา ทำให้นางตกลงไปในสระบัว การที่ตระกูลซูส่งซูชีออกนอกเมืองหลวงก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว’
สำหรับเรื่องจูบนั้น เสด็จพ่อสั่งให้ปิดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่อง ว่ากันว่า แม้แต่ตระกูลซูยังไม่ทราบเรื่อง ในตอนหลัง นางคล้ายจะได้ยินหมอหลวงบอกว่ามีวิธีการผายปอดบางอย่างซึ่งทำโดยใช้ริมฝีปากประกบกับริมฝีปาก
แต่นางไม่สนใจผายป่งผายปอดอะไรนั่น ในเมื่อเขาแตะต้องนางแล้ว เช่นนั้นเขาต้องรับผิดชอบ ดังนั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าผู้ใดมาทาบทามสู่ขอ นางล้วนให้เสด็จแม่ปฏิเสธ นางจะรอเขากลับมา เมื่อปีกลาย ซูชีกลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง นางคิดว่า เขาจะจำ ‘จูบ’ นั้นได้ เขาจะมาหานาง แล้วมาอธิบายให้นางฟัง
แต่ได้ยินเพียงว่า เขาเกี้ยวพาราสีสตรีชั้นสูง ประพฤติตัวเหมือนในอดีต ทำการบุ่มบ่าม ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ทำตามอำเภอใจตนเอง
ทว่า นางไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนไม่เอาไหนอย่างที่คนนอกว่ากัน ตอนนั้นผู้อื่นหลบหนีกันไปหมดแล้ว แต่เขากลับไม่สนใจความหนาวเย็น ไม่สนใจว่าผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากกระโดดลงไปช่วยนางในสระบัวจะเป็นเช่นไร ก็พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ใช่คนชั่วช้า
เกรงว่าชื่อเสียงเสื่อมเสียเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่เขาเจตนาทำขึ้น พวกสุภาพชนจอมปลอมเหล่านั้นไม่อยู่ในสายตาของนาง และนางก็คร้านจะเสวนากับพวกเขา
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด เขาไม่มาหานาง เช่นนั้นนางก็จะไปหาเขา นางไม่เคยเป็นสตรีกระมิดกระเมี้ยนที่รู้จักแค่รอคอยเท่านั้น แค่ว่า เขาอยู่เมืองหลวงไม่ถึงหนึ่งเดือน ตนยังไม่ทันไปหาเขาที่จวน ก็ถูกตระกูลซูส่งเข้าไปในกองทหาร
ซูชีขี่ม้าติดตามอยู่ข้างรถม้า เดินทางด้วยความเชื่องช้า หลังจากท่านหญิงซูซูครุ่นคิดเรื่องในอดีตแล้วนางก็หยุดครุ่นคิด หากยังไม่ปริปากพูด ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเมื่อใดกว่าจะได้พบกันอีก
นางตัดสินใจ เปิดม่านรถม้า พยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันนั้น เหตุใดท่านไม่อธิบายให้เสด็จพ่อฟัง”
ซูชีฉงนเล็กน้อย “อธิบายเรื่องอะไร”
ท่านหญิงซูซูหัวใจเย็นวาบ อดไม่ได้ที่จะเคืองขุ่น นางไม่ใช่คนอ้อมค้อม โมโหแล้วพูดเตือนทันที “เรื่องที่ตกลงไปในสระน้ำวันนั้น…”
เวลานี้ซูชีเพิ่งหวนคิดถึงเรื่องที่นางถาม เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อเจ็ดปีก่อนมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ เพราะเรื่องนี้ทำให้ตนต้องคุกเข่าที่หอบรรพชนหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็ถูกส่งออกนอกเมืองหลวง แต่เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจ หากย้อนเวลากลับไปได้ เขายังคงจะต่อยฉีซื่อจื่อให้ฟันร่วงเหมือนเดิม กระโดดลงไปช่วยคนในสระน้ำเหมือนเดิม ทั้งยังฝืนรับฝ่ามือนั้นเหมือนเดิมและไม่อธิบายทุกอย่างเหมือนเดิม…
หลังจากหัวเราะในลำคอ เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ “มีสิ่งใดต้องอธิบาย จิ่งชินอ๋องอยากจะคิดเช่นไรก็คิดเช่นนั้น ข้าซูชีทำการใดเพียงถามใจตนแล้วไม่รู้สึกละอายก็พอแล้ว ไม่เคยสนใจว่าผู้อื่นจะมองเช่นไร”
ถ้อยคำนี้ทำให้ท่านหญิงซูซูปวดใจ แต่ในเวลาเดียวกันคำพูดนี้ก็ทำให้ซูชีอยู่ในใจของนางมากขึ้น นางรู้สึกดีใจเล็กน้อย ‘เช่นนั้น ข้าซูชีทำการใดเพียงถามใจตนแล้วไม่รู้สึกละอายก็พอแล้ว ไม่เคยสนใจว่าผู้อื่นจะมองเช่นไร’ ถ้อยคำนี้ถูกใจนางอย่างยากจะเข้าใจ นาง…ท่านหญิงซูซูก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้าของพวกจอมปลอม
นี่คือบุรุษที่สวรรค์ส่งมาให้นาง
ดียิ่งนัก!
ท่านหญิงซูซูถูกซูชีตอกกลับหนึ่งประโยค นางไม่ขุ่นเคืองแต่กลับหัวเราะ ทำให้จางหมัวมัวที่อยู่ในรถม้าฉงน
นางปรนนิบัติรับใช้ท่านหญิงนานถึงเจ็ดปีแล้ว ไม่เคยเห็นท่านหญิงให้ความสนใจและเผยสีหน้าดีๆ ให้ชายใดมาก่อน
มุมปากของท่านหญิงซูซูยกขึ้นเล็กน้อย ถามด้วยความออดอ้อนเล็กน้อย “ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านไม่มีสิ่งใดอยากจะพูดกับข้าเลยหรือ”
ชีวิตนี้สตรีจะออดอ้อนบุรุษเพียงสองคนเท่านั้น คนแรกคือบิดาที่รักตนสุดหัวใจ อีกคนคือบุรุษที่ตนรัก
ซูชีมองกลับมาที่นาง เห็นดวงหน้าของซูซูแดงระเรื่อเล็กน้อย หางตาของนางเคล้าไปด้วยความเขินอาย เขาพูดในใจว่าแย่แล้ว หากเป็นสตรีคนอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะเข้าใจว่าสตรีคนนั้นหวังสูง เป็นหญิงต่ำช้า แล้วดูหมิ่นสตรีคนนั้นในใจ
แต่ ท่านหญิงซูซูเลื่องชื่อเรื่องหยิ่งทระนง ไม่เคยทำตัวเสแสร้งกับบุรุษคนใดมาก่อน
นางมีรูปโฉมงดงาม ชาติกำเนิดยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีผู้คนมากมายร้องอยากจะได้ความรักจากนาง ได้ยินว่าฉีซื่อจื่อที่ถูกเขาต่อยจนหน้าบวมตอนเด็กๆ เคยสู่ขอนาง แต่กลับถูกนางทำร้ายไปหลายครา
ซูชีเคยตกหลุมรัก เขารู้ว่าความรักทุกข์ทรมานเพียงใด มองดวงหน้าของท่านหญิงซูซูที่มองเขาอย่างคุ้นเคย คาดว่าความรักคงจะฝังรากลึกมานานแล้ว
คาดว่าจะเป็นเพราะการผายปอดในครั้งนั้น ซูชีร้อนตัวเล็กน้อย
เขาให้ใจสตรีคนนั้นไปแล้ว เกรงว่าชีวิตนี้คงไม่อาจรักผู้ใดอีก เหตุใดต้องทำให้สตรีคนหนึ่งเสียใจด้วย
เขาตัดสินใจมานานแล้ว หากคนในตระกูลยืนกรานที่จะให้เขาแต่งงาน เช่นนั้นเขาก็จะแต่งงานตามความต้องการของคนในตระกูล ไม่ว่าจะแต่งงานกับสตรีคนใดก็ต้องแต่งเหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็จะไม่ปรายตามองสตรีคนนั้น สตรีที่แต่งเข้ามาก็ล้วนเป็นสตรีที่หวังอยากจะได้อำนาจของตระกูลซู เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ คนในตระกูลย่อมดูแลอย่างดีแน่นอน…
สำหรับตน อยากจะไปแห่งหนใดก็ไปแห่งหนนั้น พเนจรสุดขอบฟ้าตามลำพัง
มีภาพวาดของนางอยู่กับเขา มีปิ่นอยู่กับเขา ชีวิตนี้เขาพึงพอใจแล้ว!
นึกถึงมั่วเชียนเสวี่ย สีหน้าของซูชีแปรผันอย่างรวดเร็ว เขากลอกตา พูดอย่างไม่ใส่ใจ “มีสิ่งใดให้พูดกัน ท่านหญิงหมายถึงจูบ…ผายปอดนั่นหรือ”
ดวงหน้าของท่านหญิงซูซูแดงระเรื่อยิ่งกว่าเดิม
ซูชีเปลี่ยนบทสนทนา จับรถม้าด้วยมือข้างเดียว “น่าเสียดาย ตอนนั้นข้ายังไม่รู้ความ ไม่ได้ลิ้มรสที่ซ่อนเร้นไว้ คิดเพียงอยากให้เจ้ามีชีวิตรอด ข้าจะได้ถูกลงโทษน้อยลง ทำไมหรือ ท่านหญิงรู้สึกเคลิบเคลิ้ม อยากจะลองอีกสักครั้งเช่นนั้นหรือ ประจวบเหมาะ ข้าเองก็อยากจะลิ้มลอง…”
สีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยตัณหา ลูกผู้ดีไร้มารยาทพูดเกี้ยวพาราสีสตรี น่ารังเกียจยิ่งนัก คำพูดและการกระทำของเขา ไม่ให้เกียรติท่านหญิงซูซูแม้แต่น้อย ท่าทีชั่วช้า ทำเหมือนว่านางเป็นหญิงแพศยา คิดอยากจะเอาก็เอา กวักมือร้องเรียกก็รีบมาทันที โบกมือขับไล่ก็ออกไปอย่างไรอย่างนั้น
การดูถูกเช่นนี้ ขอเพียงเป็นสตรี ล้วนไม่อาจทนได้ ท่านหญิงซูซูหน้าดำหน้าแดงทันที หากเป็นเช่นทุกครั้ง มีคนกล้าพูดจาเช่นนี้กับนาง นางคงตบสักฉาดไปแล้ว ต้องให้เสด็จพ่อตัดลิ้นผู้นั้นให้ได้
มือที่เปิดม่านแข็งทื่อ ไม่ได้แสดงความโมโห เพียงเม้มปากและกัดฟันแน่น ไม่ได้ปล่อยผ้าม่าน มือของนางอดกลั้นจนเกร็งไปหมด โมโหจนเกือบจะกระชากผ้าม่านหลุด
จางหมัวมัวไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูของตนเป็นอะไรไป จึงทนกับเรื่องเช่นนี้ได้ คุณหนูทนได้ แต่นางทนไม่ได้ นางไม่สนใจว่าอีกฝ่ายมีฐานันดรศักดิ์เช่นไร ร้องตะโกนเสียงดัง “สามหาว…”
เพียงแต่นางยังพูดไม่จบ กลับถูกอีกมือหนึ่งของคุณหนูตบถ้อยคำที่ยังพูดไม่จบกลับไป