มั่วเชียนเสวี่ยเดินมา ถือกระบี่เอาไว้ในมือ นางได้ยินสืออู่บอกว่าไม่อาจฝึกยุทธ์พอดี ทั้งยังเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสืออู่ แสดงว่ามีคนมาที่เรือนอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ คือคนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ดวงแก้มที่แดงระเรื่อเริ่มจางลง มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม “มีเรื่องใดพูดออกมา” สืออู่เดินมาด้านหน้าสองก้าวแล้วรายงาน “เมื่อครู่ตอนข้าน้อยอยู่ที่หน้าประตู พ่อบ้านส่งคนมารายงานว่าหัวหน้าตระกูลมั่วและบรรดาผู้อาวุโสมาแต่เช้า เวลานี้รอที่โถงรับร้องแล้วเจ้าค่ะ…”
สืออู่ยังพูดไม่จบ มั่วเชียนเสวี่ยก็ขมวดคิ้วเป็นปม คนพวกนี้ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ นางให้พวกเขาดูแลรายชื่อผู้มาร่วมพิธีปักปิ่นแล้ว พวกเขายังคิดอยากจะทำการใดอีก
มั่วเชียนเสวี่ยโยนกระบี่ไปให้อวี่เสวียนที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างๆ จากนั้นเดินออกไปด้านนอก
มั่วเชียนเสวี่ยสวมชุดทะมัดทะแมง นางกำลังจะไปฝึกยุทธ์ แม้หัวหน้าตระกูลมั่วจะไม่ได้มีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโส เป็นแขก นางแต่งกายเช่นนี้คงจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก
มั่วเหนียงเดินตามหลังด้วยความร้อนใจ “คุณหนูใหญ่รีบไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยกำลังโมโห แน่นอนว่าย่อมไม่พูดจาดีๆ “มีอะไรต้องเปลี่ยนกัน แค่เพียงคนแก่หนังเหนียวไม่กี่คน ควรค่าให้ข้าเปลืองแรงแต่งตัวด้วยหรือ”
นางเป็นใหญ่ในจวนกั๋วกง ตลอดหลายวันมานี้จวนกั๋วกงผ่านการจัดระเบียบใหม่ ไม่กล้าพูดว่าทาสรับใช้จวนกั๋วกงมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่อย่างน้อยคนในจวนก็ไม่มีพูดใดกล้านำไปบอกต่อกันพร่ำเพรื่อ…
แม้กระทั่งจื่อหลิงและจื่อเฉี่ยว…
มั่วเชียนเสวี่ยสาวเท้าเดิน ไปถึงโถงหลักที่เรือนนอก
ยืนอยู่หน้าห้องโถง มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก บอกกับตนเองว่าครั้งนี้จะทำให้หัวหน้าตระกูลมั่วอับอายขายหน้าให้ได้ ไม่กล้าวางมาดยิ่งใหญ่บุกมาหาตนที่เรือนอีก
กวาดตามองดูรอบๆ ในห้องโถงนอกจากหัวหน้าตระกูลมั่วและผู้อาวุโสอีกไม่กี่คนแล้ว มีหญิงสาวรูปโฉมงดงามอีกสองคน แน่นอนว่าผู้ที่ต้อนรับพวกเขาคือพ่อบ้านมั่ว
สิ่งที่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึงคือ คุณชายทั้งสามของตระกูลมั่ว ไม่รู้ว่านอนตื่นสาย หรือว่าถูกกีดกันออกไป ทำให้ครั้งนี้ไม่มาต้อนรับหัวหน้าตระกูลมั่วของพวกเขา
หญิงสาวสองคนนั้นคนหนึ่งดูแล้วน่าจะอายุราวสิบสี่สิบห้า อีกคนหนึ่งดูอายุมากกว่าเล็กน้อย น่าจะอายุสิบหกปี
มองดูการแต่งกายและสีหน้าของทั้งสอง มั่วเชียนเสวี่ยมองปราดหนึ่งก็รู้ทันทีว่าสตรีทั้งสองคนไม่ใช่สาวใช้อย่างแน่นอน
มาหาในเวลานี้ ทั้งยังพาหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนมาเยี่ยมเยือน มีเจตนาเช่นไรชัดเจนยิ่งนัก ทุกคนต่างรับรู้! มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเยือกเย็นในใจ มาแล้วหรือ
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเยือกเย็นในใจ นางก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องโถง เงยหน้าขึ้นเดินไปตรงหน้าหัวหน้าตระกูลมั่วที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้หลัก พูดเสียงเคร่งขรึม “ผู้มาเยือนคือแขก แขกควรจะทำตามความสะดวกของเจ้าของเรือน หัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสทั้งหลายโปรดนั่งในที่ที่ตนควรนั่ง”
อยากจะวางอำนาจในจวนกั๋วกง ก็ไม่ดูกำลังของตนเองเสียหน่อย
ครั้งแรกที่ให้เขานั่งที่นั่งหลัก นั่นเป็นเพราะมารยาท เป็นเพราะเพิ่งเข้าเมืองหลวง เพราะยังอ่านสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน แม้ตามฐานันดรศักดิ์แล้วนางจะเป็นบุตรีสายตรงของท่านกั๋วกง แต่ก็เป็นลูกหลานของตระกูลมั่ว แคว้นเทียนฉีให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ ให้ความสำคัญกับการกตัญญู เมื่อเข้าเมืองหลวง ตามกฎระเบียบแล้วควรจะน้อมทำความเคารพหัวหน้าตระกูล นางไม่ได้ไปพบ หัวหน้าตระกูลมาซักไซ้เอาความ แน่นอนว่าต้องนั่งที่นั่งหลัก
แต่เวลานี้ สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว
อีกทั้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อครั้งก่อนตอนที่เจอกันครั้งแรกนางทำความเคารพหัวหน้าตระกูลแล้ว ไม่ใช่วันปีใหม่และไม่ใช่เทศกาลสำคัญ ไม่มีพิธีใหญ่ ด้วยฐานันดรศักดิ์ของนาง ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพเต็มพิธีทุกครั้งที่เจอกัน ไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อมตน
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยพูดเช่นนี้ สีหน้าของหัวหน้าตระกูลมั่วแดงก่ำด้วยความไม่สบอารมณ์ทันที
ผู้อาวุโสใหญ่มั่วตบโต๊ะ พูดตำหนิ “ไร้มารยาท…เป็นเพียงบุตรีสายตรง แต่กลับกล้าไร้มารยาทกับท่านหัวหน้าตระกูลเช่นนี้ คุกเข่า!”
ผู้อาวุโสรองมั่วกระแทกแก้วน้ำชาที่กำลังดื่มลงบนโต๊ะ “มั่วเชียนเสวี่ย การกระทำของเจ้าเป็นการไม่เคารพท่านหัวหน้าตระกูล!”
ได้ยินเสียงตะคอก ได้ยินเสียงกระแทกแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะ มั่วเชียนเสวี่ยไม่แม้แต่กะพริบตา “ที่นี่คือจวนกั๋วกง ไม่ใช่จวนมั่ว มีคำสอนตั้งแต่โบราณ ทำตามกฎระเบียบบ้านเมืองก่อนค่อยทำตามกฏระเบียบของตระกูล นี่คือกฎระเบียบ จักรพรรดิควรจะวางตัวให้สมกับจักรพรรดิ ข้าราชบริพารควรจะวางตัวให้สมกับข้าราชบริพาร บิดาควรจะวางตัวให้สมกับเป็นบิดา บุตรควรจะวางตัวให้สมกับที่เป็นบุตร…”
เหตุเพราะมีกฎระเบียบเช่นนี้ แม้เจิ้นกั๋วกงมั่วเทียนฟ่างจะรำลึกถึงบรรพบุรุษ ทว่ากล้าที่จะไม่เห็นหัวหน้าตระกูลอยู่ในสายตา เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยพูดเช่นนี้ หัวหน้าตระกูลมั่วหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม
ทว่า แม้มั่วเทียนฟ่างจะไม่ทำตามขนบธรรมเนียม แต่เขาก็เป็นท่านกั๋วกงที่ฮ่องเต้แต่งตั้งด้วยพระองค์เอง คือแม่ทัพที่ครอบครองอาวุธ เขาจำเป็นต้องอดทน แต่กับสตรีตระกูลมั่วที่กำลังจะออกเรือน เหตุใดเขาต้องทนด้วย
“คุกเข่า!”
หึ! เขาคู่ควรให้นางคุกเข่าด้วยหรือ?! ช่างน่าขันยิ่งนัก มาขอร้องนาง แต่อยากจะวางมาดกับนาง…ไม่รู้ว่าตนแซ่อะไรหรือ หากไม่ใช่เพราะให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของตน กลัวว่าจะสร้างเรื่องวุ่นวายให้หนิงเซ่าชิง ตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยคงจะไล่เขาออกไปแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากสนใจพวกคนโง่เขลาไม่รู้ความ นางหัวเราะเยือกเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เชียนเสวี่ยไม่มีสิ่งใดจะพูด ทำได้เพียงบอกลา พ่อบ้านส่งแขก” สีหน้าของหัวหน้าตระกูลเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
เมื่อเด็กคนนี้ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา เขาไม่อาจทำสิ่งใดได้จริงๆ ไม่พูดถึงฐานันดรศักดิ์ของนางที่เป็นบุตรีสายตรงของท่านกั๋วกง เพียงพูดถึงฐานะของนางในตอนนี้ที่จะได้เป็นฮูหยินของตระกูลหนิงอย่างแน่นอน ขอเพียงนางไม่ยอม เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
ตระกูลหนิงไม่ใช่ตระกูลที่จะมีปัญหาด้วยได้! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาทำได้เพียงอดทนและอดกลั้นเท่านั้น
หัวหน้าตระกูลมั่วอดกลั้นมานาน ในที่สุดก็พูดออกมา “เหลวไหล! นั่งลงแล้วพูดกันดีๆ”
คำว่าเหลวไหลไม่รู้ว่าพูดถึงผู้อาวโสใหญ่หรือพูดถึงมั่วเชียนเสวี่ย แต่คำว่านั่งลงนี้พูดกับมั่วเชียนเสวี่ยแน่นอน
ในห้องโถงนี้มีเพียงนางเท่านั้นที่กำลังยืนอยู่ หญิงสาวสองคนนั้นก็ยืนเช่นเดียวกัน ทว่าไม่ได้ยืนในห้องโถง แต่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวโสใหญ่ตระกูลมั่ว
นางไม่อาจปล่อยให้ผู้เฒ่าหนังเหนียวทำตามอำเภอใจเช่นนี้! มิเช่นนั้น วันข้างหน้าเมื่อเจอนาง เขาจะวางมาดหัวหน้าตระกูลอีก การกระทำของเขา นางต้องให้บทเรียน!
มั่วเชียนเสวี่ยกวาดตามองพวกเขาปราดหนึ่ง ดวงตาคมกริบ ตักเตือนพวกเขาอย่างชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องพูด นางไม่พูดกล่าวสิ่งใด หมุนตัวหันหลังแล้วเดินออกไป
บรรดาผู้อาวุโสต่างตกตะลึง อยากจะโมโหแต่ก็ไม่กล้า สายตาตักเตือนของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อครู่ที่มองมานั้นเคล้าไปด้วยเจตนาสังหาร นางสวมชุดทะมัดทะแมง ไอสังหารแผ่ซ่าน คล้ายกับมั่วเทียนฟ่างในอดีตยิ่งนัก
หลังจากบรรดาผู้อาวุโสมองตากัน พวกเขามองไปทางหัวหน้าตระกูลอย่างพร้อมเพรียง
“ช้าก่อน!”
หัวหน้าตระกูลมั่วยอมประนีประนอม ลุกจากที่นั่งหลัก
มองที่นั่งนั้นด้วยแววตาอาวรณ์ครู่หนึ่ง หันหลังด้วยความขุ่นเคืองตะคอกผู้อาวุโสใหญ่มั่ว บอกให้เขาลุกให้ตนนั่งเก้าอี้ตัวถัดจากที่นั่งหลัก
แท้จริงแล้ว ในอดีตตอนที่มั่วเทียนฟ่างยังมีชีวิต เขาไม่เคยนั่งที่นั่งหลักของจวนกั๋วกงมาก่อน
มั่วเชียนเสวี่ยไม่จำเป็นต้องสั่ง มั่วเหนียงหยิบผ้ามาเช็ดเก้าอี้และโต๊ะหนึ่งรอบ
ชูอีก็มีไหวพริบยิ่งนัก ยกแก้วน้ำชาที่หัวหน้าตระกูลมั่วเคยดื่มออกไป แล้วยกน้ำชาแก้วใหม่มาให้มั่วเชียนเสวี่ย
พ่อบ้านมั่วลูบหนวดเครา ยิ้มด้วยความพอใจ
แสดงความรังเกียจหัวหน้าตระกูลมั่วอย่างเห็นได้ชัด! ทางด้านหัวหน้าตระกูลมั่วโมโหจนเป่าหนวดเคราและถลึงตาโต แต่กลับไม่อาจโต้เถียง
ราวกับเป็นโต๊ะเก้าอี้ใหม่ เงาวับยิ่งนัก มั่วเชียนเสวี่ยเดินด้วยท่วงท่างดงาม นั่งลงบนที่นั่งหลักด้วยความสุขุม มือวางบนแขนเก้าอี้ด้วยความสง่างาม พูดขึ้นช้าๆ “หัวหน้าตระกูลมั่วมาครั้งนี้มีเรื่องใดหรือ”
หัวหน้าตระกูลมั่วหมดอารมณ์ที่จะพูดจาอ้อมค้อมไปนานแล้ว เขากระแอมไอเบาๆ “ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรส หลังจากครบช่วงเวลาไว้อาลัยหนึ่งปี เจ้าก็ต้องออกเรือน เมื่อเจ้าออกเรือน เช่นนั้นจวนกั๋วกงก็จะไม่มีผู้ใดอยู่ หน้าป้ายวิญญาณบิดาและมารดาของเจ้าไม่มีผู้ใดคอยกราบไหว้ เงียบเหงายิ่งนัก ภายในตระกูลจึงหารือกันว่าให้เจ้ารับบุตรบุญธรรมแทนบิดา จะได้มาทำหน้าที่ทดแทนพระคุณบิดามารดาแทนเจ้า”