ท่านหญิงซูซูมาที่จวนเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าต้องต้อนรับอย่างดี
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ท่าทีผิดปกติเช่นนั้นของท่านหญิงซูซู จางหมัวมัวที่ดูแลรับใช้มาหลายปีย่อมเห็นความผิดปกติ
อยากได้สิ่งที่ปรารถนา แน่นอนว่าต้องเกลี้ยกล่อมคนข้างกายตนก่อน ด้วยเหตุนี้ จางหมัวมัวยังไม่ทันได้พูด ท่านหญิงซูซูก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตและความคิดของตนออกมาจนหมด
จางหมัวมัวรับใช้ท่านหญิงซูซูมาหลายปี เมื่อครู่นางรู้ความในใจของคุณหนู ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่
นางลำบากใจเล็กน้อย แต่คอยดูแลท่านหญิงซูซูตั้งแต่เล็ก แน่นอนว่าต้องช่วยคุณหนูแบ่งเบาความเศร้า
ชื่อเสียงของคุณชายซูชีไม่ดี พูดตามตรงว่านางไม่เห็นดีเห็นงามด้วย แต่คำพูดของนาง คุณหนูไม่มีวันรับฟัง นางได้ยินว่าคุณหนูใหญ่จวนกั๋วกงและคุณชายซูชีรู้จักกัน
ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นนางจึงพูดขึ้น “ข้าน้อยได้ยินว่าหลังจากคุณชายซูชีกลับเมืองหลวง นอกจากจวนซูแล้ว จวนเดียวที่คุณชายซูชีไปก็คือ จวนกั๋วกง ท่านกั๋วกงและตระกูลซูล้วนเป็นผู้ครอบครองอำนาจทางการทหาร คาดว่าคงรู้จักกันมานาน คุณชายซูชีท่านนี้เป็นคนเช่นไร ท่านหญิงซูซูสามารถถามคุณหนูใหญ่มั่วได้เจ้าค่ะ…”
ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้กับหัวหน้าตระกูลหนิงและคุณหนูใหญ่มั่วแล้ว แต่ซูชียังคงไปหาที่จวน เห็นได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น
ไม่มีผู้ใดคิดว่าความสัมพันธ์นี้จะเป็นเชิงชู้สาวอีก
ความหมายของจางหมัวมัวคือ แท้จริงแล้วอยากจะยืมมือมั่วเชียนเสวี่ยมาเกลี้ยกล่อมท่านหญิงซูซู นางดูออกว่า คุณหนูของตนมองคุณหนูใหญ่มั่วแตกต่างจากผู้อื่น คาดว่าคำพูดของคุณหนูใหญ่มั่วคงได้ผล ท่านหญิงซูซูอยากทำความรู้จักซูชีให้มากขึ้น ทั้งยังคิดว่าไม่แน่อาจจะเจอซูชีที่จวนมั่ว เป็นธรรมดาที่นางอยากจะรีบมาจวนกั๋วกง ด้วยเหตุนี้จึงมาแต่เช้า
มั่วเชียนเสวี่ยเชิญท่านหญิงซูซูเข้าจวน นางคล้องมือท่านหญิงซูซูแล้วเดินรอบจวนกั๋วกง
ท่านหญิงซูซูมีเรื่องอยากจะถาม แต่เพราะมีปี้หรุ่ยและปี้หรงคอยเดินตาม ทั้งยังคอยพูดแทรกพูดประจบเป็นครั้งคราว ทางด้านท่านหญิงซูซูไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลมั่ว ท่านหญิงซูซูเห็นว่าพวกนางแซ่มั่วเหมือนกัน แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่สนิทสนมกับพวกนางเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้ตำหนิ ด้วยเหตุนี้ท่านหญิงซูซูจึงคิดว่าหญิงสาวทั้งสองคนเป็นญาติห่างๆ ที่ฐานันดรต่ำต้อย
เห็นแก่มั่วเชียนเสวี่ย นางจึงทำได้เพียงอดทน จะถามเรื่องของซูชีได้อย่างไร
หลังจากเดินเล่นรอบจวนมั่วเชียนเสวี่ยอุตส่าห์พานางไปนั่งเล่นและพูดคุยที่เรือนเสวี่ยหว่าน ทว่าหญิงสาวทั้งสองที่มีตาหามีแววกลับยังคงเดินตามหลัง
มั่วเชียนเสวี่ยไม่พูด แต่ท่านหญิงซูซูทนไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำเสียงของนางไม่มีความเกรงใจอีกแล้ว ตะคอกมั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงราวกับไล่สาวใช้ “พวกเจ้าสองคนเดินเล่นเป็นเพื่อนมาครึ่งวันคงจะเหนื่อยมากแล้ว ไปพักเถอะ”
ตลอดทางทั้งสองถูกท่านหญิงซูซูเมินเฉยหลายครั้ง พวกนางหมดกำลังใจไปมากแล้ว ทั้งยังเป็นคนที่ไม่เคยเปิดหูเปิดตาเท่าใดนัก เมื่อถูกท่านหญิงตะคอก พวกนางจึงจนปัญหา
เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยหันไปทางมั่วเหนียง ยิ้มแล้วพูดแฝงความหมายลุ่มลึก “หมัวมัว เก็บกวาดเรือนของพวกนางเสร็จแล้วหรือยัง”
ไม่ใช่ว่านางอดทนเก่ง แต่ในเมื่อสตรีตระกูลมั่วทั้งสองอยากอยู่ต่อ เช่นนั้นก็ให้สตรีตระกูลมั่วทั้งสองที่หวังสูงอยากจะประจบผู้มีอำนาจได้เห็นความจริง ถูกทำให้กระอักกระอ่วน โต้กลับพวกนางเล็กน้อย
มั่วเหนียงตอบ “เรือนเฝ่ยชุ่ยและเรือนหู่พั่วเก็บกวาดเรียบร้อยนานแล้วเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ ออกคำสั่ง “อืม เช่นนั้นให้คนพาพวกนางไปเถอะ”
พ่อบ้านมั่วช่างทำงานเก่งเหลือเกิน สองเรือนนี้อยู่ห่างจากเรือนเสวี่ยหว่านที่สุด อยู่ห่างไกลที่สุด ทั้งยังเป็นสองเรือนที่เก่าและทรุดโทรมที่สุดของจวนกั๋วกง
ฟังรายงานจากหมัวมัว มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะในใจ ทว่าสีหน้าของนางกลับนิ่งสงบ ปรายตามองมั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงด้วยความดูแคลนครู่หนึ่ง “พวกเจ้ากลับเรือนของพวกเจ้าเถอะ” น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความดูถูกคล้ายกำลังไล่สาวใช้ไปทำงานอย่างไรอย่างนั้น
แต่พวกนางสองคนกลับไม่รู้ตัว หลังจากมองตากันครู่หนึ่ง ทำได้เพียงต่างคนต่างนำสาวใช้สองคนที่ตนพามาด้วย ทำความเคารพมั่วเชียนเสวี่ยและท่านหญิงซูซู หลังจากนั้นมั่วเหนียงก็สั่งผอจื่อของตนพาพวกนางออกไป
เวลานี้ท่านหญิงซูซูเห็นความผิดปกติแล้ว ถามด้วยความสงสัย “สองคนนี้คือผู้ใดกันแน่”
มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับเสียงเรียบ “คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า” ในเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากพูดมาก เช่นนั้นท่านหญิงซูซูก็ไม่ดึงดันกับเรื่องนี้
เรือนใดบ้างที่จะไม่มีเรื่องวุ่นวาย ท่านหญิงซูซูตอบ “อืม” อย่างไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ครุ่นคิดในใจ คาดว่าคงจะเป็นสองคนที่ไม่ได้รับการต้อนรับ เป็นญาติห่างๆ ของตระกูลมั่วที่หวังผลประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องสนใจ คราวหน้ายามเจอกันก็ไม่ต้องไว้หน้า จากนั้นท่านหญิงซูซูก็เลิกสนใจสตรีทั้งสองคน
แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน แม้จะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ก็กระอักกระอ่วนที่จะถามเรื่องซูชีออกไปตรงๆ
เมื่อกลับถึงเรือนเสวี่ยหว่าน มั่วเหนียงสั่งพวกสาวใช้ ใช้ผ้าซับหน้าคุณหนูของตนและท่านหญิงซูซู ทั้งยังสั่งพวกนางยกน้ำชาและขนมมาให้ คอยดูแลรับใช้อย่างดี
ท่านหญิงซูซูคือแขกคนสำคัญ พวกสาวใช้ย่อมไม่กล้าสะเพร่า ต่างง่วนกับการทำงาน
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยหวนคิดถึงท่าทีของท่านหญิงซูซู ที่คล้ายอยากจะพูดบางอย่างแต่ไม่พูดออกมาเป็นเช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วบอกให้สาวใช้ทั้งหมดที่คอยดูแลออกไป
เหลือเพียงหมัวมัวคนสนิทสองคนอยู่ในห้องคอยรินน้ำชา
ท่านหญิงซูซูที่มีเรื่องในใจ จิบน้ำชาแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างพิจารณา ห้องของมั่วเชียนเสวี่ยแบ่งเป็นสามส่วน ทางด้านซ้ายมีชั้นวางกั้นกลาง ด้านหลังคือห้องนอน ด้านขวาคือฉากกั้นภาพวาดหมึกจีนภูเขาและแม่น้ำ ด้านหลังฉากกั้นคือห้องหนังสือขนาดเล็ก
สิ่งที่สง่างามเป็นพิเศษคือฉากกั้นนั้น หุบเขาซ้อนทับ ทะเลมวลเมฆ ต้นสนเขียวขจี ดวงอาทิตย์สีแดง ทั้งหมดประสานเข้าด้วยกัน อากาศบริสุทธิ์ที่สง่างามปะทะมาตรงหน้า ทำให้ทั่วทั้งห้องอบอวลด้วยลมบริสุทธิ์
ท่านหญิงซูซูคือผู้ที่เคยพบเจอโลกกว้าง ยังอดไม่ได้ที่จะมองฉากกั้นสองสามหน นางกล่าวชื่นชม “เชียนเสวี่ยจัดห้องได้งดงามยิ่งนัก”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ แม้ฉากกั้นเดิมจะงดงาม แต่ไม่มีความหมายเท่ากับฉากกั้นนี้ ฉากกั้นนี้นางเปลี่ยนเมื่อหลายวันก่อน นางพบเข้าหลังจากให้คนตรวจดูรายการสินออกเรือนของท่านแม่ นางเองก็ชอบฉากกั้นนี้มาก
มั่วเชียนเสวี่ยภาคภูมิใจเล็กน้อย แต่ยังคงพูดอย่างถ่อมตน “ซูซูอยากจะล้อเชียนเสวี่ยเล่นหรือ วันหน้าเชียนเสวี่ยก็จะไปเดินเที่ยวเล่นในห้องของซูซู ดูว่าความสง่างามที่แท้จริงเป็นอย่างไร…”
“เชียนเสวี่ยเกรงใจแล้ว…”
หลังจากพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเล็กน้อย ท่านหญิงซูซูก็พูดถึงซูชี ถามหยั่งเชิงอย่างแนบเนียน “เมื่อวานต้องขอบคุณเชียนเสวี่ยที่ทำให้หัวหน้าตระกูลหนิงให้คนไปส่ง…” เพียงแต่นางยังไม่ทันพูดจบ ผอจื่อคนเฝ้าประตูเรือนเดินมาลอบมอง แล้วพูดกระซิบข้างหูชูอีที่ยืนอยู่หน้าห้อง จากนั้นก็เดินจากไป
เมื่อผอจื่อเดินออกไป ชูอีที่ยืนอยู่หน้าประตูชะงักครู่หนึ่ง แล้วโน้มตัวทำความเคารพเงียบๆ คุณหนูกำลังเสวนากับท่านหญิงซูซู ส่งเสียงรบกวนเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมาก
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสีหน้าลำบากใจของชูอี หลังจากพยักหน้ากล่าวขอโทษท่านหญิงซูซู นางก็พูดกับชูอีที่อยู่ด้านนอก “มีเรื่องอะไร”
ชูอีเดินเข้ามา ย่อตัวลงทำความเคารพคุณหนูทั้งสอง “คุณหนูใหญ่ คุณชายซูชีมาเจ้าค่ะ เวลานี้รอคุณหนูที่ลานฝึกยุทธ์แล้วเจ้าค่ะ…”
ซูชีเป็นแขกประจำของจวนแล้ว พ่อบ้านมั่วรู้ว่าเขามาสอนกระบี่ให้คุณหนูของตน ทุกครั้งยามเขามาที่จวน จะพาเขาไปที่ลานฝึกยุทธ์เสมอ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน