ใกล้จะตายแล้วแต่สาวใช้ยังคงไม่ลืมที่จะใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น! สมควรตายจริงๆ!
แม้สืออู่จะใจร้อนและค่อนข้างบุ่มบ่าม แต่นางไม่ใช่คนไร้สมอง
แม้คำพูดเมื่อครู่ของนายบ่าวครู่นี้จะทำให้นางโมโหจนแทบอยากจะสังหารพวกพวกนาง แต่สืออู่ก็รู้ดี ตนไม่อาจแตะต้องสตรีคนนี้! อย่างน้อยในตอนนี้ท่ามกลางคนมากมายไม่อาจแตะต้อง!
ไม่อาจแตะต้องนาย ทว่าลำพังสาวใช้คนหนึ่ง นางแตะต้องได้!
“สาวใช้ชั้นต่ำ! คุณหนูของข้าคือคนที่สาวใช้ต่ำต้อยเช่นเจ้าวิจารณ์ได้หรือ รนหายที่ตาย!” หลังจากสืออู่ตะคอกเสร็จ นางง้างมือขึ้นตบหนึ่งฉาด
เสียงเพี๊ยะดังขึ้น เสียงตบดังก้อง! แม้แต่พวกคนที่ยืนมุงดูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดร้อนที่แก้ม!
“โอ๊ย…” สาวใช้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ล้มลงด้านหลังอวี่เหวินหันเหล่ย บั้นท้ายกระแทกบนพื้น
เดิมทีพละกำลังของคนฝึกยุทธ์ก็มากกว่าบรรดาสตรีที่อยู่ในเรือน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ามือที่สืออู่ฟาดไปเมื่อครู่เคล้าไปด้วยกำลังภายใน
แม้นางไม่อาจทำการบุ่มบ่ามสร้างปัญหาให้คุณหนู แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้สาวใช้ชั้นต่ำคนนี้เห็นเลือด จึงจะระบายความคับแค้นใจของนางได้!
ไม่รู้ว่าอวี่เหวินหันเหล่ยตกใจ หรือว่าไม่สนใจใยดีความเป็นความตายของสาวใช้คนนั้น เวลานี้นางยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาคู่นั้นจับต้องไปทางมั่วเชียนเสวี่ย แทบอยากจะถลกหนังนาง ดื่มเลือดของนาง
แววตาที่แสดงออกมาชัดเจนเช่นนี้ แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยย่อมมองเห็น! เวลานี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็เริ่มเคลื่อนไหว
มั่วเชียนเสวี่ยก้าวเท้าขึ้น เดินไปยังที่เกิดเรื่องช้าๆ นางเดินไปด้วยและพูดไปด้วย เสียงของนางนิ่งสงบ ราวกับว่าการที่สาวใช้ของนางตบตีผู้อื่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“สืออู่ เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! ท่ามกลางผู้คนมากมาย เจ้าเสียมารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร แม้จะโมโห ก็ต้องอดทนเอาไว้ หรือว่าสุนัขบ้ากัด เจ้าต้องกัดตอบเช่นนั้นหรือ สุนัขบ้าย่อมมีเจ้าของ โบราณกล่าวเอาไว้ทุบตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ”
คำพูดแผ่วเบา คำพูดที่ไม่ใส่ ทว่า เมื่่อออกมาจากปากของนาง กลับมีความหมายลุ่มลึก
อวี่เหวินหันเหล่ยเงียบ ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่มีวันปล่อยนางไป จับจ้องไปที่อวี่เหวินหันเหล่ย พูดประชดประชัน “หากเจ้านายไม่รู้จักสั่งสอน เช่นนั้นก็รอตอนที่ต่างคนต่างกลับเรือน ต่างคนต่างไปหาแม่ของตนแล้วค่อยคิดบัญชี”
สีหน้าของผู้คนที่ได้ฟังถ้อยคำนี้ แตกต่างกันไป!
บางคนตกใจจนหน้าซีดขาว!
ค่อยคิดบัญชี? เมื่อครู่พวกนางล้วนประจบญาติผู้น้องตระกูลหนิง! หากมั่วเชียนเสวี่ยคับแค้นใจขึ้นมาจริงๆ แก้แค้นพวกนางระหว่างทางกลับเรือน แม้พวกนางจะมีสิบชีวิต ก็ไม่พอ!
มั่วเชียนเสวี่ยเป็นถึงหญิงที่กล้าสังหารผู้คนกลางถนนอย่างโจ่งแจ้ง!
บรรดาสตรีชั้นสูงที่คิดได้เช่นนี้ ต่างรีบถอยห่างอวี่เหวินหันเหล่ยอย่างแนบเนียน เพื่อพิสูจน์ให้มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่า พวกนางกับอวี่เหวินหันเหล่ย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยจริงๆ!
“คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ คราวหน้าสืออู่จะจำไว้” สืออู่ไม่ได้โต้เถียง ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเดินมาตรงหน้า นางยืนข้างมั่วเชียนเสวี่ยด้วยความเคารพ
ทุกคนต่างฟังออกว่า แม้สืออู่จะยอมรับความผิดแล้ว แต่ท่าทีของนาง ไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
“เจ้า…เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!” ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปตรงหน้าอวี่เหวินหันเหล่ย อวี่เหวินหันเหล่ยก็ไม่อาจข่มเปลวไฟแห่งความขุ่นเคืองได้แล้ว! ไม่รอมั่วเชียนเสวี่ยพูดจบ ก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่เสียแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโต นางเติบโตท่ามกลางความรักใคร่และทะนุถนอม หากนางอยากจะได้ดวงดาวบนท้องฟ้า ก็ไม่มีผู้ใดกลั่นแกล้งนางโดยการสอยเดือนมาให้!
คนที่ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใดมาก่อน เวลานี้กลับพ่ายแพ้มั่วเชียนเสวี่ยอย่างยับเยิน อับอายเช่นนี้ นางจะไม่โมโห ไม่ขุ่นเคืองได้อย่างไร
เทียบกับคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความโมโหของอวี่เหวินหันเหล่ย มั่วเชียนเสวี่ยดูนิ่งสงบกว่ามาก เมื่อได้ยินอวี่เหวินหันเหล่ยพูดเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเพียงยิ้มแล้วมองไปที่นาง พูดถ้อยคำที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง “รังแกกันเกินไปเช่นนั้นหรือ ข้ายินดี!”
อวี่เหวินหันเหล่ยโมโหจนหงายหลังทันที!
เหตุใดโลกใบนี้จึงมีสตรีไร้ยางอายเช่นนี้! ไม่มีความละอายเลยจริงๆ!
“พี่เซ่าชิงตาบอดไปแล้วจริงๆ จึงได้ชมชอบสตรีจิตใจอำมหิต ไร้ศีลธรรมเช่นเจ้า!”
ยังจะเรียกว่าพี่เซ่าชิงเนี่ยนะ เรียกได้สนิทสนมเหลือเกิน ดูเหมือนว่าหนิงเซ่าชิงต้องอธิบายให้นางฟังแล้ว
ทว่า แม้จะคับแค้นใจ ดวงหน้าของนางกลับเปื้อนยิ้ม “ตาบอด? เจ้ากำลังสาปแช่งหัวหน้าตระกูลหนิงหรือ”
คำพูดนี้ทำให้อวี่เหวินหันเหล่ยถึงกับพูดไม่ออก
สีหน้าของนางย่ำแย่ นางอยากแต่งเข้าตระกูลหนิง แล้วนางจะกล้าสาปแช่งพี่เซ่าชิงได้อย่างไร
หันไปมองมั่วเชียนสวี่ยที่ยืนอยู่ทางด้านนั้น ใบหน้าและเรือนร่างของนาง ทำให้คนรู้สึกราวกับกำแพงเหล็กที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็ไม่อาจทำให้นางขุ่นเคือง แผนการใดก็ไม่อาจทำร้ายนาง!
นอกจากนี้กำแพงเหล็กยังมีอีกหนึ่งข้อดี ซึ่งก็คือไม่ว่าเจ้าจะพูดสิ่งใด หรือใช้แผนการใด กำแพงเหล็กนี้ก็จะสะท้อนกลับคืนเจ้า!
สะท้อนกลับคืนโดยไม่ลดกำลังลงแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งที่พูดไม่เป็นภาษาดังขึ้น “อุงอู๋ (คุณหนู)…อุงอู๋อ้องอ่วยอ้าอ้อยอ้วย!” (คุณหนูต้องช่วยช้าน้อยด้วย)
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นสาวใช้ที่ถูกสืออู่ตบเมื่อครู่ เวลานี้คลานขึ้นมาจากบนพื้นแล้ว คุกเข่าอยู่ด้านหลังอวี่เหวินหันเหล่ย
ตอนขอร้อง นางเงยหน้าขึ้น ดวงหน้าเต็มไปด้วยรอยช้ำเลือด ปากที่ใช้พูดของนาง ฟันหน้าถูกตบจนร่วงหมดแล้ว!
ตบเพียงหนึ่งฉาดก็ทำให้คนฟันร่วงหมดปากได้ ดูเหมือนว่า มั่วเชียนเสวี่ยเหี้ยมโหดตามที่ว่ากันจริงๆ
ไม่อาจขัดแย้งกับนาง!
สตรีชั้นสูงบางคนที่มองขาด ขยับไปทางมั่วเชียนเสวี่ยอย่างแนบเนียน
ทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยก็มองไปทางสาวใช้คนนั้น เห็นดวงหน้าของนางที่เวลานี้มีรอยแดงและเจ็บปวด มั่วเชียนเสวี่ยพูดขึ้นช้าๆ “ยามคนเสียสติก็เลวร้ายเช่นนี้ เพียงลมพัดผ่าน ฟันก็ร่วงจนหมด ช่างน่าเสียดายจริงๆ!”
“หึๆ…”
พูดจบ เสียงหัวเราะดังขึ้นด้านหลัง แม้ไม่ต้องหันกลับไปมองมั่วเชียนเสวี่ยก็รู้ว่าเป็นเสียงหัวเราะของใคร
นอกจากท่านหญิงใจกล้าแห่งราชวงศ์เทียนฉีแล้ว จะเป็นใครได้
“หรือว่าซูซูไม่คิดเช่นนี้หรือ” มั่วเชียนเสวี่ยหันหลัง มองไปทางท่านหญิงซูซูด้วยสีหน้าฉงน ร้องขอคำตอบจากนาง
ซูซูพยายามกลั้นหัวเราะ พยักหน้า คล้ายว่ามีเรื่องเช่นนี้จริงๆ “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ คิดเช่นนี้!”
ฮ่าๆ! คิดไม่ถึงจริงๆ เชียนเสวี่ยจะร้ายกาจเช่นนี้!
ทั้งที่สืออู่ใช้กำลังภายในตบสาวใช้ของผู้อื่นจนฟันสั่นคลอนไปทั้งปาก แต่กลับบอกว่าลมพัด! ใต้หล้านี้มีลมใดแรงถึงขั้นพัดให้คนฟันร่วงได้
ฮ่าๆ…ช่างน่าขันจริงๆ ไม่ได้ นางต้องไปหัวเราะที่อื่นสักครู่หนึ่ง!
ริมสุดของฝูงชน มีคนสองคน ตอนที่ได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยพูดราวเป็นความจริงที่ว่าฟันของสาวใช้คนนั้นร่วงเพราะลมพัด คลี่ยิ้มด้วยความรักใคร่
รอยยิ้มของเฟิงอวี้เฉิน ท่ามกลางความรักใคร่ เคล้าไปด้วยความเศร้าจางๆ