สำหรับเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้พูดอะไร เพียงส่งสายตาขอบคุณไปให้หลันรั่วเมิ่งเท่านั้น
หลังจากหลันรั่วเมิ่งส่งยิ้มบางๆ ให้มั่วเชียนเสวี่ย นางเงยหน้าขึ้นมองเฟิงอวี้เฉินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะสำหรับบุรุษโดยไม่รู้ตัว หลังจากเห็นเขามองมาแล้วยิ้มบางๆ ให้นาง หลันรั่วเมิ่งเขินอายยิ่งนัก
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ย่อมอยู่ในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย เป็นจริงตามคาด ทั้งสองคนนี้เป็นไปได้ว่าจะลงเอยกัน! ยกภูเขาออกจากอกแล้ว
ความเป็นจริง ไม่มีผู้ใดปรารถนาให้เฟิงอวี้เฉินมีความสุขมากเท่ามั่วเชียนเสวี่ยแล้ว เพราะถึงอย่างไร คนตายจากไปแล้ว คนเป็นยังอยู่ ควรจะมีชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้นต่างหาก
ที่นั่งของมั่วเชียนเสวี่ยถือว่าอยู่ด้านหน้า ทางด้านซ้ายคือซูซู ทางด้านขวาคือ…ฮูหยินของหนิงเซ่าอวี่…กุ้ยเสี่ยวซี!
ชั่วขณะหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยมองฮูหยินผู้สง่างามคนนี้อย่างพิจารณาโดยไม่รู้ตัว นางนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา เพียงยกถ้วยขึ้นจิบน้ำชา สำหรับอาหารตรงหน้า ไม่แตะแม้แต่คำเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่ากุ้ยเสี่ยวซีเป็นสตรีเช่นไร แต่นางก็รู้ว่า ขอเพียงเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับหนิงเซ่าอวี่ ล้วนไม่ใช่คนดี
หนิงเซ่าอวี่ที่ชั่วช้ายิ่งกว่าเดรัจฉาน ถึงขั้นทำใจเหี้ยมสังหารพี่ชายของตนได้ ลำพังข้อนี้ เขาก็ไม่ใช่คนดีแต่อย่างใด!
ภรรยาของคนชั่ว…จิ๊ๆ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนดี!
อีกทั้งมั่วเชียนเสวี่ยจำได้ดีว่าเมื่อตอนกลางวัน แววตาที่กุ้ยเสี่ยวซีมองมาที่นาง เป็นแววตาที่สลักด้วยความแค้น!
ไม่เข้าใจจริงๆ ตนไปทำสิ่งใดให้นางไม่พอใจ…
แน่นอน มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่รู้เรื่องราวต่างๆ ในอดีตระหว่างกุ้ยเสี่ยวซีและหนิงเซ่าชิง
แน่นอนว่ากุ้ยเสี่ยวซีย่อมไม่หลบเลี่ยงแววตาพิจารณาของมั่วเชียนเสวี่ย
ตั้งแต่เข้ามาในงานเลี้ยง นางซ่อนตัวอยู่ในที่ลับแล้วคอยพิจารณามั่วเชียนเสวี่ยเงียบๆ
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ นางอิจฉามั่วเชียนเสวี่ย! นั่นคือความแค้นที่ไม่อาจซ่อนเร้น!
เดิมที คนที่ควรยืนอยู่ข้างหนิงเซ่าชิงคือนางกุ้ยเสี่ยวซี!
นางต่างหากคือคนที่หมั้นหมายกับหนิงเซ่าชิง!
ทว่าความจริงก็ผิดปกติเช่นนี้ สวรรค์มักเล่นตลก ทำให้นางเปลี่ยนจากตำแหน่งนายหญิงของตระกูลหนิงกลายเป็นตำแหน่งที่น่ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้!
ในสายตาของกุ้ยเสี่ยวซี นอกจากแต่งกลอนกวีแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีสิ่งใดควรค่าแก่การกล่าวถึง
พูดถึงเรื่องหน้าตา มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่อาจเทียบตน
กล่าวถึงโชคชะตา มั่วเชียนเสวี่ยไม่ดีเท่าตน
แต่ว่าดันโชคดี ช่วงเวลาตอนที่หนิงเซ่าชิงหายตัวไปคอยช่วยดูแลเขา ทั้งยังถูกคนป้ายสีครหา เซ่าชิงเป็นสุภาพบุรุษมาโดยตลอด แน่นอนว่าย่อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง เมื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางแล้วก็ย่อมต้องรับผิดชอบ
นางเป็นคนวางแผนการนั้นหรือ เหตุใดนางจึงไร้ยางอายเช่นนี้…
กุ้ยเสี่ยวซีครุ่นคิด นางแทบอยากจะหักคอสตรีตรงหน้าให้ตาย!
ขอเพียงสตรีคนนี้ตาย แล้วเกิดเรื่องขึ้นกับหนิงเซ่าชิง… ไม่แน่ นางอาจจะมีความหวัง…จากน้องชายกลายเป็นติดตามพี่ชาย เรื่องเช่นนั้น ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นในราชวงศ์เทียนฉี…
กุ้ยเสี่ยวซีนั่งด้านล่างถัดจากมั่วเชียนเสวี่ย กำถุงยาในมือแน่น
นั่นคือยาที่หนิงเซ่าอวี่ให้นางก่อนจะออกจากเรือน!
เขาบอกว่า ให้นางเทยานี้ ลงไปในอาหารของมั่วเชียนเสวี่ยอย่างแนบเนียน! แผนการของพวกเขา ก็จะสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง
กุ้ยเสี่ยวซีมองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยอีกครั้ง เห็นนางกำลังพูดคุยหัวเราะกับท่านหญิงซูซู
รอยยิ้มเช่นนี้นี่แหละที่ทำร้ายจิตใจกุ้ยเสี่ยวซี!
ตนในอดีต เคยยิ้มเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ
แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นน้ำตา รินไหลวันแล้ววันเล่า…
ถูกสัตว์เดรัจฉานหนิงเซ่าอวี่ ทำเหมือนนางเป็นหญิงนางโลมชั้นต่ำ กดไว้บนพื้น…
กุ้ยเสี่ยวซีลุกขึ้น หันไปมองท่านหญิงซูซูและมั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ถอนสายตากลับ ภายใต้การพยุงของสาวใช้ เดินออกไปจากโถงหลักช้าๆ
กุ้ยเสี่ยวซีเพิ่งเดินออกไปจากโถงใหญ่ มั่วเชียนเสวี่ยทำเสียงฮึดฮัด คิดว่านางโง่เขลาจริงๆ เช่นนั้นหรือ
รอบตัวของสตรีคนนี้แผ่ซ่านด้วยความหนาวเย็น ดวงหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความอำมหิต แม้ตอนที่นางส่งยิ้มให้ตน ดวงตาคู่นั้น ยังคงมีความเย็นยะเยือก
มั่วเชียนเสวี่ยหมุนตัวหันหลังส่งสายตาให้ชูอี ชูอีรับทราบ เดินตามไปเงียบๆ
เบื้องหน้ามั่วเชียนเสวี่ยยังคงพูดคุยหัวเราะกับซูซู ทว่าภายในใจกลับมีคลื่นขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น
สตรีคนนี้เกลียดตนอย่างไม่มีเหตุผล นางไม่เข้าใจ แต่นางรู้ดีว่า เรื่องที่ซ่อนเร้นอยู่นั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
หากบอกว่านางกับเหมยฮูหยินและพวกมาเพื่อทำให้ตนอับอาย เช่นนั้นตอนที่พวกเหมยฮูหยินกลับไป
นางก็ควรตามกลับไปด้วย
แต่ว่านางกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบนางมองสตรีทั้งสามคนที่น่าเวทนาด้วยแววตานิ่งสงบ ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย จากข้อนี้ ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยจำต้องสังเกตอย่างระมัดระวัง
หวังเพียงว่าชูอีจะมีไหวพริบ ช่วยหาเหตุผลให้นางได้ และจะสังเกตเห็นความผิดปกติที่ซ่อนอยู่
สำหรับการเดินออกไปของกุ้ยเสวี่ยซี ทุกคนคล้ายไม่รับรู้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป มั่วเชียนเสวี่ยเองก็พูดคุยกับพวกนางตลอดเวลา แสดงอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป ชูอีก็กลับมาอย่างรวดเร็ว
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นชูอีขมวดคิ้วเป็นปม หัวใจบีบรัด ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย ยังคงรับประทานอาหารต่อ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” รอให้ชูอีกลับไปยืนด้านหลังนาง มั่วเชียนเสวี่ยอาศัยตอนที่สืออู่หยิบผ้าเช็ดหน้า เอ่ยถามชูอี
ทางด้านชูอีก็ทำเหมือนปกติ ตั้งใจดูแลปรนนิบัติรับใช้มั่วเชียนเสวี่ย เบื้องหน้าคล้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ทว่ากลับขยับริมฝีปากอย่างรวดเร็ว แล้วพูดด้วยเสียงที่มีเพียงพวกนางเท่านั้นที่จะได้ยิน รายงานต่อมั่วเชียนเสวี่ย
“หลังจากข้าออกไปจากโถงหลัก เดินตามสตรีคนนั้นไประยะหนึ่ง แต่นางเพียงชมดอกไม้ในสวนดอกไม้กับสาวใช้เท่านั้น ข้าน้อยคิดว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่กลับได้รับกระบอกไม้ไผ่จากกุ่ยซาเจ้าค่ะ!”
ขณะพูด มือของชูอีเลื่อนไหวเล็กน้อย หลังจากนั้นกระบอกไม้ไผ่ก็ปรากฎขึ้นในมือของชูอี เพียงครู่หนึ่ง ก็ส่งมาถึงมือของมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นขมวดเล็กน้อย ไม่เข้าใจการกระทำของกุ่ยซาว่าหมายความอย่างไร หรือว่าหนิงเซ่าชิงคิดถึงนางเช่นนั้นหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆ ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับตน มักจะคิดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นอยู่ร่ำไป
“พูดอะไรอีกหรือไม่”
“ไม่ได้บอกอะไรข้าน้อยเจ้าค่ะ เพียงบอกว่าให้คุณหนูระมัดระวัง แต่ว่าเขาถามข้าน้อย ช่วงเช้านี้ มีคนมาเคารพคุณหนูโดยการดื่มน้ำชาหรือไม่ ข้าน้อยบอกว่าไม่มี เขาคล้ายจะโล่งอกเจ้าค่ะ”
ชูอีรู้เพียงเท่านี้ มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้า แล้วหันกลับไปรับประทานอาหารต่อ
ส่วนมือข้างที่จับกระดาษ กลับพลิกหมุน เพียงครู่หนึ่งก็อ่านเนื้อความบนกระดาษจบ!
นางตกตะลึงเล็กน้อย!