หลังจากผ่านเรื่องนี้ เหล่าฮูหยินไม่อาจฝากความหวังไว้กับอวี่เหวินหันเหล่ยแล้ว
ทว่า ชั่วขณะหนึ่งนางยังไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้
บุตรีสายตรงของตระกูลอวี่เหวิน นางดูมาทุกคนแล้ว อายุเหมาะสม รูปโฉมงดงามมีอวี่เหวินหันเหล่ยเพียงคนเดียว
ทว่า แม้รูปโฉมจะงดงามจนไม่อาจตำหนิ แต่ความเจ้าเล่ห์ ความคิด ไม่ดีเท่าใดนัก
ดูเหมือนว่า นางต้องเขียนจดหมายกลับไป เลือกบุตรีอนุภรรยาอีกสองสามคนมาให้นางดูตัว…
……
ณ เรือนของหัวหน้าตระกูล จวนหนิง
หนิงเซ่าชิงให้คนส่งบรรดาผู้ปกครองที่มารายงานงานด้านต่างๆ กลับไป จากนั้นเขาก็ตามเตาหนูเข้าไปพบ
“จดหมายที่ให้เจ้าส่ง ส่งไปหรือยัง”
“เรียนนายท่าน เตาหนูให้คนส่งไปแล้วขอรับ”
“คุณหนูใหญ่มั่วไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“คุณหนูใหญ่ไม่ได้เป็นอะไรขอรับ”
“ในสวนร้อยบุปผา มีผู้ใดทำร้ายคุณหนูใหญ่มั่วหรือไม่”
เตาหนูไม่ได้หยุดชะงัก รายงานเรื่องที่ได้รับฟังจากองครักษ์ลับให้หนิงเซ่าชิงฟังด้วยสีหน้าเย็นชา เล่าเรื่องจิ้งฮูหยิน เหมยฮูหยินและอวี่เหวินหันเหล่ยหนึ่งรอบ
สีหน้าของหนิงเซ่าชิงเยือกเย็น แววตาของเขาราวกับดาบ
ดูเหมือนว่า คนตระกูลอวี่เหวินยังไม่ยอมแพ้
ผู้อาวุโสใส่ใจร้อนเกินไปเล็กน้อย
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่อาจทำการใดได้ แต่การจัดารตระกูลอวี่เหวิน เขาหนิงเซ่าชิงมีมากมายหลายวิธี
……
ณ ตำหนักเหยียนชิ่ง วังหลวง
ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ดังมาจากตำหนักคุนหนิงอีกแล้ว อวี้กุ้ยเฟยหัวเราะในลำคอ พูดกับหมัวมัวที่คอยดูแลด้วยดวงหน้าที่อาบความเย้ยหยัน “ไป ไปน้อมคำนับฮองเฮากับข้าที่ตำหนักคุนหนิง”
ตั้งแต่ฮองเฮาถูกกักบริเวณ ฮองเฮาก็มีคำสั่ง ไม่ให้สนมทั้งหลายไปน้อมคำนับ อวี้กุ้ยเฟยจึงไม่ได้ไปน้อมคำนับฮองเฮาในตำหนักอีกเลย
อวี้กุ้ยเฟยเหยียดกายลุกขึ้น หมัวมัวบอกให้นางกำนัลทั้งหลายคอยเดินตามหลัง หมัวมัวรู้ดี กุ้ยเฟยไม่ได้ไปน้อมคำนับ แต่ไปซ้ำเติม
เมื่อไปถึงตำหนักหนิงคุน อวี้กุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าโดยอ้างว่ามีเรื่องสำคัญในวังหลวง แม้ฮองเฮาจะรู้เจตนาร้ายของอวี้กุ้ยเฟยเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่อาจไม่ให้เข้าเฝ้า มิเช่นนั้น แสดงความอ่อนแอต่อหน้าผู้คน อำนาจในวังหลวง จะตกไปอยู่ในมืออวี้กุ้ยเฟย
อวี้กุ้ยเฟยเดินเข้ามาในตำหนัก น้อมคำนับ ทว่าไม่ได้รายงานเรื่องสำคัญในวังหลวง ดวงหน้าของนางยิ้มร่าราวกับดอกท้อ พูดประชดประชัน “ฮองเฮาช่างอารมณ์ดียิ่งนัก ยังคัดเขียนไม่เสร็จก็มีเวลาไปเล่นกับนกแล้ว”
ฮองเฮาชะงัก ดวงตาแดงก่ำ แต่ก็ต้องกล้ำกลืนกลับไป ใบหน้าฉายรอยยิ้มประชดประชัน “น้องอย่าลำพองใจเร็วเกินไป หรือเจ้าคิดว่าฝ่าบาทจริงใจกับเจ้าจริงๆ”
อวี้กุ้ยเฟยเอามือกุมหน้า คลี่ยิ้มงดงาม “ในใจฮ่องเต้มีผู้ใด ใครในวังหลวงบ้างที่จะไม่รู้ ใครบ้างที่จะไม่ทราบ!”
แววตาของฮองเฮาฉายความขุ่นเคือง “ในใจของฮ่องเต้มีผู้ใด คนในวังหลวงไม่รู้ หรือว่าน้องอวี้ก็ไม่รู้ด้วยหรือ ฝ่าบาทเพียงเห็นว่าเจ้ามีหน้าตาละหม้ายคล้ายคลึงกับหญิงชั่วช้าคนนั้น เห็นว่ายามเจ้ายิ้มหน้าตาของเจ้าเหมือนหญิงชั่วช้าคนนั้นยิ่งนัก จึงโปรดปรานเจ้ามาหลายปี ทว่า เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะชายตามองเจ้าอีกหรือ…ได้ยินว่าในวังหลวงมีหญิงงามคนหนึ่งเพิ่งเข้ามา หน้าตาละหม้ายคล้ายคลึงกับเจ้า เวลาเพียงไม่กี่วัน ก็ได้เลื่อนขั้นติดต่อกันแล้ว…”
ฮองเฮาพูดจบ ไม่สนใจอวี้กุ้ยเฟยอีก หยิบไม้เล็กๆ ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี แล้วเดินช้าๆ ไปแกล้งนกบนทางเดิน
อวี้กุ้ยเฟยหน้าเปลี่ยนสีแล้วเปลี่ยนสีอีก
เรื่องบางเรื่อง นางย่อมรู้
นางจำได้ ครั้งแรกที่พบเจอฮ่องเต้ ตอนฮ่องเต้จับจ้องนางพระองค์ก็พูดพึมพำ “ช่างเหมือนเหลือเกิน เหมือนเหลือเกิน…นางดีใจ เงยหย้าขึ้นแล้วยิ้มบางๆ ทันใดนั้นเองดวงตาของฮ่องเต้ทอประกาย ดึงตัวนางเข้าไปกอด หลังจากนั้น…
หลังจากนั้น นับจากค่ำคืนนั้น นางก็เริ่มกลายเป็นสนมคนโปรดในวังหลัง
และนับจากวันนั้น นางก็เริ่มฝึกยิ้มเช่นนั้นที่หน้ากระจก ไม่ว่าจะเวลาใด นางล้วนสามารถฉีกยิ้มเช่นนั้นได้
แน่นอนว่านางก็เคยได้ยินเรื่องหญิงงามคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา…
อวี้กุ้ยเฟยหมดอารมณ์หัวเราะเยาะฮองเฮา นางจึงกล่าวลา
เมื่ออวี้กุ้ยเฟยเดินออกไป มือของฮองเฮาสั่นเทา นกแก้วในกรงส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อวี้กุ้ยเฟยชะงักฝีเท้าเล็กน้อย ทว่าไม่ได้หัวเราะเยาะ แต่รีบเดินจากไป
ตั้งแต่หญิงงามคนนั้นเข้ามาในวังหลวง ฮ่องเต้ก็ไม่มาตำหนักของนางหลายวันแล้ว
หากนางไม่คิดหาวิธีทวงคืนหัวใจของฝ่าบาท เกรงว่าวันข้างหน้าต้องมีชีวิตเหมือนฮองเฮา ทำได้เพียงเสพสุขโดยการสังหารนก
ไม่! เกรงว่าจะน่าอนาถยิ่งกว่านี้
ฮองเฮาขึ้นชื่อว่าเป็นมารดาแห่งแผ่นดิน อย่างแย่ที่สุด ด้านหลังของนาง ก็ยังมีตระกูลเซี่ย
ทว่า ด้านหลังของตน กลับไม่มีผู้ใด
ฮองเฮาระบายความขุ่นเคืองในใจ โยนไม้ในมือ แล้วเดินเข้าไปในห้อง
ไม่ต้องให้กงหมัวมัวบอก ก็มีคนเปลี่ยนกรงนกบนทางเดินแล้ว
ทว่า ครั้งนี้หลังจากนางกำนัลเปลี่ยนกรงนกแล้วไม่ได้เดินออกไป แต่ไปรายงานหมัวมัว
“กงหมัวมัวเจ้าคะ นี่คือนกแก้วตัวสุดท้ายแล้วเจ้าค่ะ”
ความหมายของถ้อยคำนี้ ชัดเจนยิ่งนัก หากนกตัวนี้ตาย ฮองเฮาไม่มีที่ระบายความขุ่นเคือง วังหลังนี้ เกรงว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
กงหมัวมัวทอดถอนหายใจ โบกมือบอกให้นางกำนัลออกไป แล้วเปลี่ยนเป็นนางกำนัลคนสนิท พูดกำชับ “ปรนนิบัติรับใช้เหนียงเหนียงให้ดี”
หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างแล้ว กงหมัวหมัวก็ตามขันทีที่คอยดูแลตำหนักคุนหนิงมาหารือ
พวกนางที่เป็นคนใกล้ตัวเกลี้ยกล่อมไม่ได้ผล ทำได้เพียงเชิญคนที่มีน้ำหนักมาเกลี้ยกล่อมเหนียงเหนียง ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหลังจากเหนียงเหนียงสังหารนกหมดแล้ว ก็ถึงคราวของพวกนางที่เป็นคนรอบตัว
ขันทีครุ่นคิด มีเหตุผล ด้วยเหตุนี้จึงออกจากวังหลวง ไปขอความช่วยเหลือ
ไม่นาน หัวหน้าตระกูลเซี่ยที่เพิ่งเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ก็ปรากฎตัวขึ้นในตำหนักคุนหนิง
“ฮองเฮามิต้องพะวงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคราวก่อน โชคไม่เข้าข้างเราตลอด แต่ก็ไม่เข้าข้างผู้อื่นตลอดเช่นกัน ย่อมมีการสลับผลัดเปลี่ยน”
หัวหน้าตระกูลเซี่ยคือพี่ชายแท้ๆ ของฮองเฮา เงื่อนในใจฮองเฮา หัวหน้าตระกูลเซี่ยย่อมพอจะรู้อยู่บ้าง
“สลับผลัดเปลี่ยนเช่นนั้นหรือ หากข้าจำไม่ผิด วันนี้เป็นวันเปิดสวนร้อยบุปผาของตระกูลหลัน นางชมดอกไม้มีความสุขอยู่ในสวนร้อยบุปผา แต่ข้าและอวี้เหอกลับถูกกักบริเวณและให้คัดตำราในวังหลวง เจ้าจะให้ข้าสงบจิตสงบใจได้อย่างไร”
“ฮองเฮาเองไม่ต้องกังวล ฮ่องเต้วางแผนทุกอย่างแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยเริงร่าได้อีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น…”
กงหมัวหมัวเกลี้ยกล่อม “พวกคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เหนียงเหนียงไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ เหนียงเหนียงรักษาสุขภาพ พยายามมีโอรสให้ฝ่าบาท นี่ต่างหากคือเรื่องสำคัญที่สุด”
เมื่อได้ฟังคำเกลี้ยกล่อม สีหน้าของฮองเฮาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม หัวเราะเยาะตนเอง “เจ้าคิดว่าข้ายังมีโอกาสนี้หรือ”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ฝ่าบาทจะมาค้างอ้างแรมทุกวันที่หนึ่งและสิบห้า แต่ว่าหลังจากอวี้เหอคลอด ฮ่องเต้ก็ไม่แตะต้องนางอีกเลย
ถูกฮองเฮาตำหนิเช่นนี้ กงหมัวมัวถอยหลังและปิดปากเงียบทันที เรื่องพวกนี้ นางย่อมรู้ดี แต่หัวหน้าตระกูลสั่งให้ฮองเฮารักษาสุขภาพ
“ข้าว่ามีโอกาสก็ย่อมมี เจ้าเพียงรักษาตัวให้ดีก็พอ” แววตาของหัวหน้าตระกูลเซี่ยหนักแน่น
ขอเพียงฮ่องเต้แตะต้องมั่วเชียนเสวี่ย เขาย่อมทำให้หนิงเซ่าชิงกับฮ่องเต้ยืนคนละข้าง เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลหนิงชุลมุนวุ่นวาย คนที่เขาจัดเตรียมไว้ย่อมมีโอกาสแทนที่หนิงเซ่าชิง