เมื่อได้ยินเช่นนี้ มั่วหมัวมัวใจเย็นลงเล็กน้อย คิดพิจารณาคำพูดของชูอี แล้วครุ่นคิดถึงคำพูดและพฤติกรรมของคุณหนู รวมถึงเรื่องที่คุณหนูกระทำในช่วงที่ผ่านมานี้ มั่วหมัวมัวก็วางใจ พยักหน้า!
“อื้ม! ข้าเชื่อว่าคุณหนูต้องจัดการหญิงชั้นต่ำสองคนนี้ได้แน่นอน!”
ชูอีฟังคำพูดของมั่วหมัวมัวแล้ว คลายยิ้มบางๆ
พวกนาง ล้วนเชื่อมั่นในตัวคุณหนู!
“พูดมาเถิด พวกเจ้าวิ่งแจ้นมาหาข้าแต่เช้าตรู่เช่นนี้เพื่อการใด ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องมาน้อมทักทายข้าทุกเช้า” ตอนแรกคิดสนุกอยากจะกลั่นแกล้งพวกนางเสียหน่อย แต่เมื่อเห็นความสามารถของพวกนางแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกไร้ความหมาย จึงพูดตรงประเด็นทันที
มั่วปี้หรุ่ยมองมั่วปี้หรงครู่หนึ่ง ลอบบอกมั่วปี้หรง ให้นางเป็นคนบอกมั่วเชียนเสวี่ย!
มั่วปี้หรงเป็นคนโง่เขลา มีสิ่งใดก็พูดสิ่งนั้น
“พวกเรามาเพราะอยากจะถามให้กระจ่างชัด หัวหน้าตระกูลหนิงส่งเทียบเชิญมาบอกว่าขอเชิญคุณหนูตระกูลมั่วไปเที่ยวเล่น เหตุใดเจ้าจึงไม่บอกพวกเรา แล้วแอบไปคนเดียว เจ้า…เจ้าซ่อนเร้นความคิดใดเอาไว้กันแน่”
พูดจบ นางมองมั่วเชียนเสวี่ยอย่างห้าวหาญ
คล้ายกับว่า…คล้ายกับว่าการที่มั่วเชียนเสวี่ยไม่พาพวกนางสองคนไป จะถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น!
“ถุย! ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน! หัวหน้าตระกูลหนิงชวนคุณหนูของพวกข้าออกไป เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”
มั่วหมัวมัวฟังคำพูดของมั่วปี้หรง โมโหจนปวดร้าวไปทั้งหัวใจทันที! นางมองเข้าไปในห้องแล้วถ่มน้ำลาย แววตาของนาง ดูแคลนสตรีทั้งสองอย่างมาก
ชูอีนิสัยดี แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับหญิงไร้ยางอายทั้งสอง! นางก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันทีเช่นกัน
กูเหยียของพวกนางกับคุณหนูพลอดรักกัน เกี่ยวอะไรกับพวกนางสองคน จึงได้วิ่งแจ้นมีหน้ามาเค้นถามเช่นนี้!
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้โมโหมากเหมือนมั่วหมัวมัวและชูอี นางเพียงแค่ยิ้มแล้วมองไปที่พวกนางสองคน เอียงศีรษะแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าฉงน “ความหมายของพวกเจ้าคือ ความจริงแล้วข้าควรพาพวกเจ้าไปด้วย ใช่หรือไม่”
มั่วปรี้หรงได้ยินคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย คิดว่านางกำลังหวาดกลัว! เชิดหน้าขึ้นทันที อกผายไหล่ผึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ถูกต้อง!”
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงวางตัวดี น้ำเสียงของนางอ่อนโยนอย่างมาก “ต้องขอโทษด้วย ตอนที่ข้าได้รับเทียบเชิญ ข้าไม่เห็นพวกเจ้าทั้งสองคน พวกเจ้าเองก็รู้ว่าท่านพ่อมีข้าเพียงคนเดียว ทั้งยังไม่มีผู้ใดเตือนข้าว่าในจวนยังมีคุณหนูแซ่มั่วอีกสองคนอยู่ด้วย ดังนั้นข้าจึงลืมไปชั่วขณะ! เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าเขียนจดหมายไปให้หัวหน้าตระกูลหนิง ให้เขาพาพวกเจ้าออกไปเที่ยวเล่น ดีหรือไม่”
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเสนอแนะเช่นนี้ ดวงตาของมั่วปี้หรงและมั่วปี้หรุ่ยทอประกายทันที!
เป็นจริงตามคาด มั่วเชียนเสวี่ยยังคงเป็นคนขวัญอ่อน พวกนางโมโหเล็กน้อย นางก็ไม่กล้าส่งเสียงดังแล้ว ทั้งยังไม่กล้าระเบิดอารมณ์ เชื่อฟังพวกนางเป็นอย่างดี
คำว่าอะไรนั่น นางไม่มีพี่สาวและไม่มีน้องสาว มั่วหมัวมัวจอมริษยาเป็นคนสอนมั่วเชียนเสวี่ยและกำชับนางให้พูดอย่างแน่นอน
แววตาของมั่วปี้หรงและมั่วปี้หรุ่ยฉายความดูแคลน การที่หัวหน้าตระกูลหนิงแต่งงานกับสตรีที่ไม่มีอะไรดี ทั้งยังพานางออกไปเที่ยวเล่น นอกจากเพราะตอนที่เขาประสบภัยถูกนางช่วยดูแลแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลเป็นเพราะหัวหน้าตระกูลหนิงไม่เคยพบเจอรูปโฉมที่งดงามของพวกนางสองคนพี่น้อง!
หากหัวหน้าตระกูลหนิงพบเจอรูปโฉมที่งดงามของพวกนางสองคนพี่น้อง ต้องหลงใหลในรูปโฉมของพวกนาง จนไม่อาจถอนตัวแน่นอน!
เมื่อถึงเวลานั้น ย่อมเสนอชื่อรับพวกนางเข้าตระกูล
เมื่อถึงเวลานั้น พวกนางไม่ต้องเกรงใจมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ไม่ต้องประจบนาง ขอให้นางรับพวกนางติดตามแต่งงานเข้าตระกูลพร้อมกัน เมื่อคิดถึงตรงนี้ มั่วปี้หรุ่ยพูดขึ้น วางตัวเย่อหยิ่ง “ค่อยยังชั่ว…ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าตนทำอะไรผิด ทั้งยังหาวิธีแก้ไข เช่นนั้นก็ตกลงกันตามนี้ พรุ่งนี้เจ้าต้องบอกหัวหน้าตระกูลหนิง ให้เขาพาพวกข้าไปเที่ยวเล่น”
มั่วเชียนเสวี่ยพยกัหน้า เห็นด้วยกับคำพูดของพวกนาง ทว่าฉงนเล็กน้อย เอ่ยถาม “เช่นนั้นข้าต้องไปบอกหัวหน้าตระกูลหนิงในฐานะอะไร”
มั่วปี้หรุ่ยชะงัก… “เจ้าเป็นว่าที่ภรรยาของหัวหน้าตระกูลหนิงไม่ใช่หรือ ส่งเทียบเชิญไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด มั่วเชียนเสวี่ย หรือว่าเจ้าไม่เต็มใจเช่นนั้นหรือ”
“มั่วเชียนเสวี่ย เจ้าช่างไร้ยางอายจริงๆ! หากเจ้ากล้าผิดคำพูด วันนี้ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!” เมื่อได้ยินว่าความหวังกำลังจะหายไป มั่วปี้หรงคล้ายจะพุ่งตัวไปฉีกมั่วเชียนเสวี่ยจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น!
แต่ว่า สุดท้ายนางเพียงยืนอยู่ที่เดิมแล้วแผดเสียงร้องเท่านั้น เพราะนางไม่กล้า! นางเพียงแค่ข่มขู่มั่วเชียนเสวี่ยเท่านั้น
สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเยือกเย็นทันที!
“ข้าย่อมรู้ฐานะของตนเอง พวกเจ้าไม่ต้องเตือน สิ่งที่ข้าถามพวกกเจ้าคือ จะใช้ฐานะใดไปบอกหัวหน้าตระกูลหนิงว่าพวกเจ้าทั้งสองอยากไปเที่ยวเล่นกับหัวหน้าตระกูลหนิง” เป็นนักแสดงหรือหญิงโคมเขียว…
แววตาของมั่วเชียนเสวี่ยเปี่ยมไปด้วยความดูแคลน คำพูดที่ไม่ได้เปล่งออกมา บอกชัดผ่านแววตาของนางแล้ว
เมื่อพูดจบ นางหัวเราะเยือกเย็น
“สตรีที่ยังไม่ออกเรือน ชวนบุรุษไปเที่ยวเล่น พวกเจ้าอยากจะขายหน้าตระกูลมั่วหรืออย่างไร หรือว่า…พวกเจ้าคิดว่าข้าจะให้พวกเจ้าติดตามข้าเข้าตระกูลหนิง ตอนนั้น ข้าพูดอย่างชัดเจน ข้าจำได้ว่าหลังจากข้าเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว จวนกั๋วกงไม่อาจรับพวกเจ้าเอาไว้ หัวหน้าตระกูลมั่วก็รับปากเรื่องนี้แล้ว”
ถ้อยคำนี้ ในที่สุดก็ปลุกสองพี่น้องที่กำลังเพ้อฝันให้ตื่น!
มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากทำตัวอ่อนแอ ความน่าเกรงขามของนางแผ่ซ่านอย่างเป็นธรรมชาติ นางและหนิงเซ่าชิงเดินทางจากหมู่บ้านหวังจยามาถึงเมืองหลวง ตลอดการเดินทางผ่านการฆ่าฟันมากมาย ตั้งแต่ตำหนักของฮองเฮากระทั่งตำหนักจินหลวนเป่าของฮ่องเต้ นางก็ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าของมั่วปี้หรุ่ยซีดขาว สีหน้าของมั่วปี้หรงกระอักกระอ่วน!
พวกนางประมาทเกินไปแล้ว ลืมไปได้อย่างไร พวกนางมาที่นี่เพื่อประจบมั่วเชียนเสวี่ย! แต่ตอนนี้กลับบาดหมางกัน ช่างไม่สมควรยิ่งนัก!
อีกทั้ง คล้ายว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเติบโตแล้ว นางไม่เหมือนตอนเด็กๆ แล้ว
สตรีทั้งสองมาด้วยเจตนา โดยเฉพาะมั่วปี้หรุ่ย เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี นางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“…พี่เชียนเสวี่ย…ไม่สิ! คุณหนูใหญ่ ท่านเข้าใจพวกเราผิดไปแล้ว เมื่อครู่พวกเราสองคนพี่น้องเพียงล้อเล่นกับท่านเท่านั้น!” มั่วปี้หรุ่ยยิ้มประจบมั่วเชียนเสวี่ย
ความเป็นจริงมั่วปี้หรงไม่อยากทำเช่นนี้แม้แต่น้อย!
สำหรับนางแล้ว คนที่ไม่มีบิดาและมารดาอย่างมั่วเชียนเสวี่ย ควรจะมีชีวิตที่น่าเวทนา ไม่ควรมีชีวิตรุ่งโรจน์ ไม่ควรมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับนาง! ทุกอย่างที่มั่วเชียนเสวี่ยครอบครอง ไม่ว่าจะเงินทอง อำนาจและความรัก ล้วนสมควรเป็นของพวกนาง!
แต่ว่ามั่วปี้หรุ่ยหยิกเอวของนาง ให้นางตั้งสติ แม้นางจะเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ได้โง่เขลา
นางรู้สึกว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ใช่คนขวัญอ่อนตามที่พวกนางคิด ในเวลาเดียวกันนางก็รู้ดีว่าหากเวลานี้บาดหมางใจกับมั่วเชียนเสวี่ย เช่นนั้นอย่าว่าแต่เข้าเรือนหลังของจวนหนิง แม้กระทั่งจะได้อยู่จนถึงพิธีปักปิ่น อยู่จนได้พบเจอหนิงเซ่าชิงก็ยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน!