“ออกไปจัดการธุระบางอย่าง ตอนมาถึงเจ้ายังไม่ตื่น จึงคิดจะนอนเป็นเพื่อนเจ้าครู่หนึ่ง”
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะหลับตา แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะนอนต่อ นางรีบปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว
จวนกั๋วกงเป็นของนอกกาย ถูกเผาไปแล้ว เเม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะเสียดาย แต่ในใจกลับไม่มีความเสียใจอันใด ที่มี ก็มีแค่โทสะ!
มั่วเหนียงตายอย่างคุ้มค่า และนับว่าได้เข้าใจความปรารถนาเดิมของนาง นับประสาอะไรกับรอยยิ้มมุมปากก่อนตายของนางก็สวยหวานขนาดนั้น นางจึงไม่จำเป็นต้องมีความละอายเป็นเงามืดในใจ
เพียงแต่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมาจวนหนิง จำเป็นต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นผู้ดูแลเรือนหลังของตระกูลหนิง
เรื่องในจวนกั๋วกงยังมีอีกเป็นกองที่รอให้นางไปจัดการ
ยังมี…ยังมีเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก
นางรับปากมั่วเหนียงเอาไว้ว่าจะฝังนางไว้ข้างมารดา
ในยุคโบราณผู้ที่เป็นบ่าว เมื่อตายไปก็ฝัง กระทั่งโลงศพก็ไม่มี ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะฝังอยู่ในพื้นที่ของตระกูลเจ้านาย โดยปกติแล้วล้วนฝังอยู่ในเนินป่าช้าที่อยู่ห่างจากนอกเมืองเจ็ดลี้
ตระกูลผู้เป็นนายมีเมตตาขุดหลุม ใช้เสื่อห่อ ทำป้ายหลุมศพให้ก็นับว่าเป็นตระกูลที่ใจกว้างแล้ว ถ้าหากว่ามีโลงให้นั้นก็เป็นการจัดพิธีศพที่ยิ่งใหญ่ หากตระกูลใดที่ไร้ความปรานี สำหรับผู้ที่ถูกโบยจนตาย กระทำความผิด ก็แค่โยนทิ้งเอาไว้แล้วจากไปโดยไม่สนใจเลยก็มี
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ส่งเสียง หนิงเซ่าชิงกลับนึกว่าเมื่อวานนางได้รับความตกใจจากเมื่อวาน จึงวางมือบนศีรษะนางแล้วลูบเรือนผมเบาๆ “เจ้าวางใจเถอะ เรื่องเมื่อวาน ข้าจะต้องมีคำอธิบายให้เจ้าแน่นอน”
เขาขมวดคิ้ว พลางเอ่ยว่า “ในภายหน้าจะไม่มีอีกแล้ว ข้าให้อิ่งซาเลือกองครักษ์ที่ดีที่สุดในหอลับมาสิบคน เพื่อติดตามเจ้าทั้งวันทั้งคืน คนพวกนี้จะติดต่อกับข้าเป็นการส่วนตัว ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลหนิง ไม่มีผู้ใดรู้ และยิ่งไม่มีทางเกิดความผิดพลาดใดๆ”
บางครั้ง ค่าของคนนั้นอยู่ที่ฝีมือ ไม่ใช่จำนวนที่มากมาย
ผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมเป็นเลิศสิบคนสามารถรับมือกับศัตรูได้นับร้อยนับพัน
เดิมมั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากรบกวนอีก แต่ก็กลัวเขาจะเป็นห่วง นางที่คิดเรื่องในใจอยู่ก็พยักหน้าอย่างใจลอย
หนิงเซ่าชิงกลับดันนางออกจากอ้อมกอด ประคองนางให้นั่งตรงข้ามกับตนเอง มั่วเชียนเสวี่ยถูกการกระทำนี้ทำให้มึนงง นางลืมตาแต่กลับเห็นหนิงเซ่าชิงมีสีหน้าจริงจัง ใจตนเองจึงกระตุกตามไปด้วย
คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรอีกหรอกนะ!
แต่กลับเห็นหนิงเซ่าชิงถอดแหวนที่มีอัญมณีสีแดงวงหนึ่งออกจากนิ้วก้อยของตนเอง “เดิมคิดจะมอบแหวนวงนี้ให้เจ้าเมื่อวาน แต่ตอนที่ข้าไปนั้นสายไปแล้ว…เคยได้ยินเจ้าเล่าว่า เจ้าบอกว่าถ้าหากว่าบุรุษผู้หนึ่งรักสตรีนางหนึ่งจริงๆ ก็จะใช้แหวนที่ไม่เหมือนใครวงหนึ่งสวมให้กับฝ่ายตรงข้าม เช่นนี้ก็จะสามารถอยู่ด้วยกันได้เนิ่นนาน นี่…คือสิ่งที่ข้าเตรียมเพื่อเจ้า”
มั่วเชียนเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ
หนิงเซ่าชิงถามเสียงแหบพร่า “เจ้ายินดีจะถูกข้าผูกมัดไว้หรือไม่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำทว่าหนักแน่น เจือไปด้วยความโศกเศร้า คล้ายกับเสียงทุ้มต่ำที่บรรเลงออกมาจากพิณ จากการฟังของมั่วเชียนเสวี่ยนั้นเหมือนกับเสียงธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่…นี่คือการขอเเต่งงานในตำนาน?!
นี่มันจะหลอกลวงกันเกินไปแล้ว ผู้อื่น…เห็นในโทรทัศน์ล้วนคุกเข่าข้างหนึ่ง มือถือดอกไม้นะ…
มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ฟื้นคืนสติไปชั่วขณะ
หนิงเซ่าชิงยกมือขึ้น พลางแนบหลังมือของมั่วเชียนเสวี่ยลงบนริมฝีปาก “ข้ารู้ว่านี่อาจจะไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดในการขอแต่งงาน แต่ข้ารอที่จะสวมแหวนวงนี้บนมือเจ้า เพื่อให้เจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดไปไม่ไหวแล้ว”
เอ่ยจบ ไม่รอให้มั่วเชียนเสวี่ยตอบ ก็สวมแหวนในมือลงบนนิ้วนางของนางทันที
เมื่อสวมแหวนแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยกลับได้ยินหัวใจของนางเต้น ตึกตักตึกตัก ความรู้สึกที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจระเบิดดังตูม กลบฝังนางอย่างไม่ปรานี ความร้อนผะผ่าวถูกส่งจากบริเวณนิ้วมือไปถึงหัวใจ และพุ่งขึ้นสู่ศีรษะ
มั่วเชียนเสวี่ยจ้องแหวนแล้วก็หันไปมองหนิงเซ่าชิง
บางทีในสายตาคนนอก นางอาจจะน่าสงสาร และโชคร้ายที่ไม่มีบ้านให้กลับ
แต่ทว่า ตัวนางกลับคิดว่าตนเองเป็นคนที่มีความสุขมากที่สุดในใต้หล้า
หัวใจนางไม่ใหญ่ ใส่ได้เพียงเขาคนเดียว
มั่วเชียนเสวี่ยในตอนนี้ไม่มีสติจะกล่าววาจา นางโผเข้าไปหาหนิงเซ่าชิง ไม่รู้ว่ากัด ขบ หรือจุมพิต อย่างไร แต่น้ำลายป้ายไปทั่วใบหน้าและลำคอหนิงเซ่าชิงแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจแสดงอารมณ์ความรู้สึกของนางในตอนนี้ออกมาได้หมด
มุมปากหนิงเซ่าชิงโค้งเล็กน้อย แต่กลับแสดงท่าทีต่างจากปกติ ปล่อยให้นางกำเริบเสิบสานเอาแต่ใจนิ่งๆ โดยไม่ขยับ
ผ่านไปเนิ่นนาน นางถึงได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วเม้มปากพลางเอ่ยอย่างขวยเขินและเผด็จการว่า “ข้ายินดี ท่านยินยอมที่จะถูกข้าผูกมัดไหม”
เอ่ยจบ ก็ไม่สนว่าหนิงเซ่าชิงจะยินดีหรือไม่ นางนำแถบผ้าสีฟ้าที่รัดผมไว้เมื่อคืนตอนนอนไปมัดไว้บนข้อมือหนิงเซ่าชิง “รอข้าทำแหวนที่เหมาะสมให้ท่านได้ก่อน ถึงจะอนุญาตให้ถอดแถบผ้าออก”
หนิงเซ่าชิงปล่อยให้นางใช้แถบผ้าพันรอบข้อมือแล้วผูกเป็นหูเตี๋ยเจี๋ย[1] ประกายอ่อนโยนในแววตาแทบจะเอ่อล้นออกมาหมด แต่กลับเอ่ย “อืม” เพียงคำเดียวแล้วกอดนางอย่างเกียจคร้าน
มั่วเชียนเสวี่ยกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนรุ่มในคำว่าอืม
ขณะที่กำลังจะกระทำไปอีกขั้น เสียงของหนิงเซ่าชิงที่คล้ายมีคล้ายไม่มีก็ดังขึ้นข้างหู “ตอนนี้ยังเป็นเวลากลางวัน เสวี่ยเสวี่ยมั่นใจนะว่าต้องการ…”
คำว่า “ต้องการ” ถูกเน้นเสียงหนักมาก คล้ายกับตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจจะหยอกเย้าหัวใจมั่วเชียนเสวี่ย
ใบหน้าของนางแดงระเรื่ออย่างอดไม่อยู่ จุ๊ๆ! ต้องการไม่ต้องการอันใด เอ่ยได้คลุมเครือเกินไปแล้ว!
หนิงเซ่าชิงเห็นนางหน้าแดง ใจก็รู้สึกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่กลับอุ้มนางกระโดดลงมาจากเตียง ยิ้มเอาใจ “ยังคงตื่นขึ้นมากินอะไรสักหน่อยจะดีกว่า กินเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปน้อมทักท่านย่ายามเช้า”
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบฮูหยินผู้เฒ่า และไม่อยากจะเจอฮูหยินผู้เฒ่า
แต่ ถ้าเชียนเสวี่ยคิดจะอยู่ในเรือนหลังได้อย่างมั่นคง ก็ไม่สามารถล่วงเกินนางมากเกินไปได้
หลานสะใภ้แต่งงานมาแล้วไม่ไปน้อมทัก จะกลายเป็นความผิดฐานไม่กตัญญูและไม่เคารพ เขาไม่สามารถให้นางมีความผิดในตอนที่ยังไม่แต่งงานเข้าตระกูลจนถูกคนจับจุดอ่อนได้
แน่นอนว่าหากมีเรื่องผิดพลาดที่เป็นจุดอ่อนอันใด เขาจะแบกรับมันไว้เอง เพียงแต่เช่นนี้ก็มักจะมีคนโง่สมองเบาปัญญาที่ดูแลไม่ทั่วถึงถูกคนใช้เป็นเครื่องมือในการทำร้ายผู้อื่น ถึงตอนนั้นกล่าววาจายั่วยุออกมา ก็เกรงว่าจะทำให้นางไม่สบอารมณ์
มั่วเชียนเสวี่ยคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นเเล้ว ย่อมตอบ “อืม” อย่างไม่คัดค้าน
“เย่ว์เซี่ย เข้ามาเปลี่ยนชุดให้คุณหนูใหญ่”
เย่ว์เซี่ยไม่เสียทีที่เป็นบ่าวรับใช้ปรนนิบัติตระกูลหนิงที่เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ เพียงครู่เดียวก็แต่งกายให้มั่วเชียนเสวี่ยได้อย่างเหมาะสมและเรียบร้อย
นางยังคงแต่งกายสง่างามเรียบร้อยเช่นเคย เพียงแต่สามารถเห็นความหรูหราเรียบง่ายสะท้อนออกมาจากอาภรณ์และเครื่องประดับที่งดงาม
ยังมีอาภรณ์ชุดนี้ ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยที่แม้จะยืนอยู่เฉยๆ กลับมีบุคลิกสง่างามสูงศักดิ์ท่ามกลางความน่ารักงดงามอย่างเห็นได้ชัด
เย่ว์เซี่ยที่ยืนปรนนิบัติอยู่เกิดความรู้สึกพอใจ มีเพียงแค่สตรีเช่นนี้ถึงจะคู่ควรกับนายท่านของตนเอง
มั่วเชียนเสวี่ยที่ส่องกระจกก็หันหน้ากลับไปเชิดหน้าขึ้น แย้มรอยยิ้มใส่หนิงเซ่าชิงอย่างพึงพอใจ
บางทีในสายตาผู้อื่น มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจเรียกว่ามีรูปโฉมงามเลิศ แต่ในสายตาของหนิงเซ่าชิงคล้ายกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น เมื่อนางแย้มรอยยิ้ม ก็งามล้ำ ชวนให้ผู้คนหลงใหล
มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือมา หนิงเซ่าชิงยื่นมือไปประคอง ความรู้สึกนั้นอบอุ่นและเป็นธรรมชาติยิ่ง
[1] หูเตี๋ยเจี๋ย ผูกเป็นโบว์