วาจาของจิ้งฮูหยินแฝงไปด้วยการเสียดสีดูถูก “ใช่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่า พวกเราล้วนเป็นคนที่มีประสบการณ์มาก่อน ล้วนรู้ว่า เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ มีเรื่องอันใดที่จะทำไม่เสร็จบ้าง อีกทั้งระยะนี้ท่าทีที่หัวหน้าตระกูลมีต่อท่าน…”
เอ่ยถึงตรงนี้ จิ้งฮูหยินก็ไม่เอ่ยวาจาใดอีกสักครึ่งคำอย่างชาญฉลาด
ท่าทีของหนิงเซ่าชิงที่มีต่อฮูหยินผู้เฒ่าในระยะนี้ แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้เห็นเองกับตา แต่ได้ยินจากวาจาของฮูหยินผู้เฒ่าน้อยด้วยหรือ
แม้ว่าจะเป็นบ่าว ก็ได้ยินคำพูดรังเกียจจากการพร่ำบ่นของฮูหยินผู้เฒ่าไปไม่น้อยเช่นกัน
นานมากแล้วที่หัวหน้าตระกูลไม่ได้มาน้อมทักฮูหยินผู้เฒ่าในยามเช้า แต่เป็นเพราะตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์นี้ ถึงไม่ได้มาน้อมทักก็ไม่มีผู้ใดกล้าสอดปาก
ท่าทีเช่นนี้ของหนิงเซ่าชิง ไม่ต้องกล่าวว่าพวกนางที่เป็นคนนอกจะคิดเช่นไร กระทั่งหนิงเหล่าฮูหยินเอง จะสัมผัสไม่ได้เลยหรือ
ปัง…
“ชั่วช้า!”
เห็นได้ชัดว่าหนิงเหล่าฮูหยินคล้อยตามวาจาของจิ้งฮูหยินไปแล้ว!
แต่ก่อน ตอนที่หนิงเอ๋อร์ยังไม่ได้ไปจากจวน ไม่ได้พบกับมั่วเชียนเสวี่ย ก็เป็นบุรุษที่สุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง ทุกเรื่องล้วนฟังนางผู้เป็นย่า
ต่อผู้สูงวัยกว่าตน เขาต้องกตัญญูต่อย่า บิดา มารดา แม้แต่กับเหล่าอนุภรรยาเหล่านี้ของบิดาเขา ก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางอันใดมาก่อน!
ต่อผู้ที่ศักดิ์ต่ำกว่า ชิงเอ๋อร์ถ่อมตัวและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่อนวัย รักและปกป้องพี่น้อง สำหรับหนิงเซ่าอวี่นั้นยิ่งเอ็นดูเขาราวกับเป็นพี่ชายน้องชายท้องเดียวกัน!
แต่ว่าดูตอนนี้สิ?
ชิงเอ๋อร์ในตอนนี้กลายเป็นคนเช่นไรไปแล้ว
เซ่าอวี่ถูกเขาโจมตีจนหมดสภาพ
มารดาเลี้ยงถูกบีบให้ไปศาลบรรพชนอย่างไม่มีทางเลือก
คนข้างกายบิดา อี๋เหนียงที่ไร้ตำแหน่งคนอื่นๆ ก็ช่างเถอะ จิ้งฮูหยินกับเหมยฮูหยินเป็นอนุภรรยา ดีร้ายเช่นไรก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นแม่รองของเขา แต่ตอนที่พบหน้ากัน เขาไม่แม้กระทั่งจะเหลือบตาขึ้นมองสักนิด!
ที่สำคัญที่สุดก็คือ! เขาทำราวกับยายแก่เช่นนางเป็นคนนอก! ระยะนี้ไม่สนใจเรื่องของตระกูลอวี่เหวินเลยแม้แต่น้อย
ทั้งหมดนี้! แต่ก่อนหนิงเหล่าฮูหยินก็ไม่ได้คิดมาก แต่ตอนนี้ถูกจิ้งฮูหยินชักนำไปเช่นนี้ นางไม่เพียงแต่จะไม่หาสาเหตุจากตนเอง แต่ยังโทษว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นความผิดของมั่วเชียนเสวี่ย!
ล้วนเป็นเพราะมั่วเชียนเสวี่ย! ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะปัญหาของมั่วเชียนเสวี่ยผู้นั้น!
จะต้องเป็นนางที่ยั่วยุให้หนิงเซ่าชิงปฏิบัติเช่นนี้ต่อนางและคนในตระกูลของเขาเช่นนี้แน่นอน!
สตรีร้ายกาจมากเล่ห์!
นางยังไม่แต่งงานเข้ามา ก็เริ่มคิดจะกุมเรือนหลังของตระกูลหนิงเสียแล้ว คิดจะแสดงอำนาจกับนาง!
ไม่มีทาง!
ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบตาขุ่นมัวขึ้น นัยน์ตามีประกายดุร้ายพาดผ่าน “สั่งการลงไป บอกพวกนางว่า ถ้าหากสตรีผู้นั้นมา ก็ให้บอกว่าข้าเหนื่อย กำลังพักผ่อนอยู่! ไม่พบ!”
เอ่ยจบ หนิงเหล่าฮูหยินก็รู้สึกได้ว่าหายใจติดขัด จึงตัดสินใจเดินเข้าไปห้องด้านในเสียเลย
เมื่อตามองไม่เห็น ก็ไม่หงุดหงิดใจ
และในนั้นคนที่มีความสุขที่สุดก็คือจิ้งฮูหยินกับเหมยฮูหยิน!
นางแพศยานี่มาน้อมทักยามเช้าเป็นครั้งแรกก็ถูกปฏิเสธเสียแล้ว ไม่ได้รับการยอมรับจากฮูหยินผู้เฒ่า ก็ทำให้เหล่าบ่าวรับใช้หัวเราะเยาะ เช่นนั้นหลังจากนี้แม้ว่านางจะเข้าเรือนใหญ่ตระกูลหนิง ก็ตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรยากลำบากแล้ว!
เมื่อเข้ามาในจวนหนิงนั้นไม่เหมือนกับด้านนอกที่นางทำตามอำเภอใจได้
เรือนหลังแห่งนี้เป็นที่ของพวกนาง เป็นถิ่นของสตรีตระกูลอวี่เหวิน ถึงตอนนั้น พวกนางอยากจะทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกที่นั่งลำบาก กระทั่งไม่มีที่จะให้นางแพศยาไปร้องเรียนชี้แจงเหตุผล!
จื่อฮูหยินนั่งนิ่งเงียบอยู่ในที่นั่งมาโดยตลอด ไม่มีปฏิกิริยาต่อละครใส่ไคล้ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งหนิงเหล่าฮูหยินจากไปแล้ว นางถึงได้ลุกขึ้น
หลังจากสะบัดกระโปรง มองดูสองคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจแล้วก็ส่ายหน้าจนปัญญา
“แม้ว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจนางแล้วจะทำอันใดได้ สุดท้ายนางก็ต้องแต่งเข้าตระกูลหนิงไม่ใช่หรือ ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว คงจัดการอะไรได้อีกไม่กี่ปี เกรงว่า นางแต่งเข้ามาก็เป็นนายหญิงของตระกูล แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้อาวุโสของนาง แต่ในภายหน้ากลับต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของนาง ตอนนี้ล่วงเกินนาง พวกท่านคิดถึงชีวิตในภายภาคหน้าว่าจะเป็นเช่นไรบ้างหรือไม่”
ดวงหน้าอ่อนโยนของจื่อฮูหยินปรากฏแววไม่เห็นด้วยอย่างหาได้ยาก “ต้องรู้ว่า มั่วเชียนเสวี่ยผู้นั้นไม่ใช่คนที่ยอมรับกับความอยุติธรรมคนหนึ่ง”
เรื่องมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เอ่ยมากไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดอีก
เอ่ยจบ จื่อฮูหยินก็ไม่สนใจสองคนที่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางลุกขึ้นภายใต้การช่วยประคองของสาวใช้แล้วเชิดหน้าจากไป
เหมยฮูหยินฟังออกถึงความหมายในวาจาของจื่อฮูหยิน จึงรู้สึกร้อนตัว แต่กลับไม่ยอมแพ้ พวกนางได้ยินมาว่า ตระกูลอวี่เหวินได้คัดเลือกบุตรีอนุภรรยาที่มีรูปโฉมงดงามเก่งกาจการวางแผนหลายคนเตรียมที่จะส่งมาแล้ว
ตนเองจึงมอบความกล้าให้กับตนเอง โดยเอ่ยเสียดสีคล้อยหลังจื่อฮูหยิน “เชอะ! นางมีอันใดอัศจรรย์กัน อย่านึกว่าตอนนี้อาศัยความรักและทะนุถนอมจากเหล่าเหยียแล้วจะไม่มีขื่อไม่มีแปได้!”
จิ้งฮูหยินก็เอ่ยสำทับว่า “นั่นสิ! รอนังแพศยานั่นแต่งเข้ามาแล้ว นางก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากอยู่ดี!”
จื่อฮูหยินเดินกลับเรือนตนเองภายใต้การประคองของสาวใช้อย่างช้าๆ
“ฮูหยิน เหตุใดถึงไม่ช่วยคุณหนูใหญ่มั่วหรือเจ้าคะ” ดูเหมือนสาวใช้คนสนิทจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง ในเมื่อฮูหยินกล่าววาจาเช่นนั้น ย่อมมีความประทับใจในตัวคุณหนูใหญ่มั่วเป็นอย่างมาก
ต้องรู้ว่า โดยปกติแล้ว ฮูหยินของพวกนางล้วนไม่สนใจเรื่องราวโลกภายนอก
ตอนนี้ตรงหน้ามีโอกาสที่ดีขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่รับเอาไว้เล่า
ถ้าเป็นเช่นนี้ ในภายหน้าก็ยังสามารถทำให้มั่วเชียนเสวี่ยจดจำความดีเอาไว้ได้ การใช้ชีวิตในแต่ละคืนวันก็จะดีขึ้นเช่นกัน
จื่อฮูหยินได้ยินแล้ว ก็มองนางนิ่งๆ แวบหนึ่ง ในใจก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าสาวใช้คนนี้คิดอะไรอยู่ในใจ
จึงส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากเอ่ย แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังโมโห อีกทั้งสองคนนั้นก็ประโคมเรื่องราวให้ลุกลามยิ่งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด ข้าเอ่ยมากขึ้นประโยคหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์ ยังจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าคิดแค้นข้าไปด้วย คิดแค้นข้าน่ะเป็นเรื่องเล็ก ถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็เห็นข้าขัดหูขัดตามาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าหนิงเหล่าเหยียปกป้องข้า ก็เกรงว่านางคงไม่ยอมให้ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปนานแล้ว หลายปีมานี้เรือนหลังของหนิงเหล่าเหยียรับอนุภรรยาเข้ามาไม่น้อย แต่ที่เหลืออยู่ตอนนี้ นอกจากพวกนางสองคน ก็เหลือข้าแค่คนเดียวแล้ว ถ้าข้าช่วยคุณหนูใหญ่มั่วพูด ฮูหยินผู้เฒ่าก็จะระแวงข้ามากขึ้น ทั้งยังคิดแค้นคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วเพิ่มขึ้นอีกส่วน นั่นไม่ใช่การช่วยนาง แต่เป็นการทำร้ายนาง เจ้ารู้ไหม”
กับบ่าวคนหนึ่ง เดิมนางไม่จำเป็นต้องอธิบายมากขนาดนี้
แต่สาวใช้คนนี้เป็นคนข้างกายนาง นางไม่หวังให้ข้างกายตนเองมีคนเลอะเลือน
ถ้าหากว่ายั่วฮูหยินผู้เฒ่าให้โมโหขึ้นมาจริงๆ แม้ว่าจะมีหนิงเหล่าเหยียปกป้องอยู่ แต่เรือนหลังนี้น่ากลัวและอันตราย พวกนางกุมอำนาจมาหลายปี หนิงเหล่าเหยียก็ต้องมีจุดที่ดูแลไม่ทั่วถึงเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้นางก็ได้รับความรักและการทะนุถนอม จึงทำให้คนมากมายอิจฉา คนที่รอซ้ำเติมนางมีเยอะแยะถมเถไป
สาวใช้นางนั้นไม่เข้าใจเหตุผล แต่ในเมื่อฮูหยินอธิบายแล้ว คิดว่าจะต้องมีเหตุผลของนางแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ถามอันใดอีก
เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว หนิงเซ่าชิงก็ลุกขึ้นจูงมือมั่วเชียนเสวี่ยไปถึงเรือนฉือหย่างด้วยกันสองคน
แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้แค่คิดดูก็รู้แล้ว
“เหนื่อยแล้ว? พักผ่อนแล้ว?” มุมปากหนิงเซ่าชิงประดับไปด้วยรอยยิ้มเย็น มองหมัวมัวคนนั้นด้วยแววตาคมปลาบ
เวลานี้ยังไม่ถึงยามอู่[1] จะรู้สึกเหนื่อยแล้วพักผ่อนได้เช่นไร อีกทั้งข่าวคราวของฮูหยินผู้เฒ่าก็รวดเร็ว ย่อมรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยถูกเขารับมาในยามค่ำคืน ตอนเช้าจะต้องมาน้อมทักแน่นอน
[1] ยามอู่ คือ 11.00 – 12.59 น.