ประการแรก เพื่อโจมตีมั่วเชียนเสวี่ย
ประการที่สอง เพื่อตัดตนเองออกไป
การเผาจวนในครั้งนี้ เข่นฆ่าชีวิตผู้คนไปจำนวนหนึ่ง นั่นนับเป็นโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิตทั้งตระกูล
แม้ว่าตระกูลมั่วจะไม่ลงรอยกับมั่วเชียนเสวี่ย แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกัน หากว่าถูกยึดทรัพย์ฆ่าล้างตระกูล บรรดาศักดิ์ที่อยากได้ ลอบสังหารหลานแท้ๆ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย…
ความผิดที่ถูกสร้างขึ้นต่างๆ ทำให้ตระกูลมั่วตกอยู่ในสภาพย่ำแย่จนถึงขั้นไม่ซื่อสัตย์ จงรักภักดี คนเพียงคนเดียวก่อเรื่อง ทั้งตระกูลไม่ว่าจะคนชราลูกเล็กเด็กแดงล้วนไม่มีใครรอดชีวิต ถึงตอนนั้นก็ลากเอาชื่อเสียงของมั่วเทียนฟ่างให้เสียหายไปด้วย
เมื่อคิดต่อไปอีก คนตระกูลมั่วถูกจัดการโดยฮ่องเต้ ในภายหลังโทษกลับตกอยู่ที่นาง มั่วเชียนเสวี่ยทั้งหมด
ราชวงศ์เทียนฉี ให้ความเคารพนับถือบุรุษ ถึงตอนนั้น คนบนโลกก็จะกล่าวว่านาง มั่วเชียนเสวี่ยไร้คุณธรรม
ใช่แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยคาดเดาได้ถูกต้อง
มั่วเชียนเสวี่ยก้าวเท้าออกจากวังหลวง ฮ่องเต้ก็เรียกน่าอู่ฉังเข้าเฝ้าในห้อง
ให้เขาพยายามจัดการเบาะแสร่องรอยที่เหลือเอาไว้เอียงไปทางตระกูลมั่ว
เมื่อวานตอนที่ได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยถูกไฟคลอกตาย เขาได้ส่งคนไปยังสถานที่ลับซึ่งนัดหมายเอาไว้ หัวหน้าตระกูลมั่ว ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสรองเพิ่งจากไป
ฮ่องเต้ถูกรังแก จึงคิดวางแผนนี้ขึ้น
คิดว่า การที่ตาแก่หลายคนนั้นกลับจวนกลางค่ำกลางคืนย่อมมีคนรู้ไม่น้อย
คิดว่า หัวหน้าตระกูลมั่วจับจ้องบรรดาศักดิ์ของจวนกั๋วกง ก็ยิ่งมีคนไม่น้อยที่รู้
คิดว่า คุณชายทั้งสามท่านของตระกูลมั่วได้ลงมือเป็นการส่วนตัวในค่ำคืนนั้น แต่ก็ตกอยู่ภายใต้สายตาของผู้คนที่โชคดีรอดมาได้ในจวนกั๋วกงบางส่วน…
เดิมจวนกั๋วกงก็มีคนที่ฮ่องเต้วางเอาไว้ เรือนเสวี่ยหว่านก็มี แม้ว่าหนอนบ่อนไส้ที่วางเอาไว้ในเรือนเสวี่ยหว่านจะถูกไฟคลอกตาย แต่ฮ่องเต้ก็รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยกับตระกูลมั่วพวกนั้น คนในจวนกั๋วกงก็รู้เช่นกัน
ข้ารับใช้ซึ่งหลงเหลือในจวนกั๋วกงที่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์พวกนั้นจะต้องไม่ “ปกป้อง” คนตระกูลมั่วแน่นอน
มั่วเชียนเสวี่ยที่เป็นสตรีตัวเล็กๆ นางหนึ่ง เพียงแค่อยากจะระบายความโมโหให้กับตนเองและบิดา จะต้องคิดวางแผนยาวไกลขนาดนั้นไม่ได้แน่นอน ไม่มีทางกล่าวแทนคนพวกนั้นของตระกูลมั่วเด็ดขาด
การแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งและการบอกเป็นนัยๆ ข้างต้น ฮ่องเต้คิดจะพุ่งโจมตีศัตรูให้มั่วเชียนเสวี่ย น่าอู่ฉังอยากจะปิดคดี ก็สามารถร่วมมือกันได้อย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์เพลิงไหม้นี้ หากเป็นเพียงการเกิดจากการต่อสู้กันในตระกูล จะเกี่ยวข้องอันใดกับแม่ทัพเก้าประตูด้วยเล่า ส่วนเรื่องการจัดการรายละเอียด ตอนน่าอู่ฉังออกจากประตูวัง ก็มีแผนการในใจแล้ว
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ชอบตระกูลมั่ว แต่กลับไม่สามารถมองตระกูลมั่วถูกฮ่องเต้เล่นงาน ถูกใช้เป็นเครื่องมือจนโดนฆ่าล้างตระกูลได้
ไม่เช่นนั้น ป้ายวิญญาณของท่านย่าจะมีผู้ใดรับผิดชอบเซ่นไหว้?
อีกอย่าง แม้ว่าหลายปีมานี้บิดาจะไม่ได้ให้การดูแลตระกูลมั่วอย่างเปิดเผย แต่กลับให้ตระกูลมั่วไปรับเงินเดือนจากจวน และยอมให้พวกเขาใช้ชื่อจวนกั๋วกงในการคบหาสมาคมภายนอก จะไม่มีความรู้สึกพิเศษในส่วนลึกของหัวใจเสียที่ใดกัน
บุรุษที่แข็งแกร่งกว่านี้ ในใจย่อมมีจุดอ่อน เขาเกลียดหัวหน้าตระกูลมั่วเพียงใด แต่ป้ายวิญญาณมารดาเขาก็ตั้งอยู่ที่ตระกูลมู่ แต่ชีวิตของเขาก็มีมั่วเหล่าเหยียเป็นผู้มอบให้
ดังนั้น มั่วเชียนเสวี่ยไม่มีทางไม่สนใจตระกูลมั่วจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น การมาเยือนเช่นนี้ นางยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
อย่างแรกคือทำลายแผนร้ายของฮ่องเต้ อย่างที่สองคือกำจัดหัวหน้าตระกูลมั่วที่เป็นหนามยอกอก เปลี่ยนหัวหน้าตระกูลเป็นคนที่นางเห็นแล้วไม่ขัดตา
ตอนนี้หัวหน้าตระกูลมั่วรู้สึกถึงความหนักหนาของเรื่องนี้แล้ว จึงไม่กล่าวอันใด
เดิมห้องหนังสือก็อุดอู้
ตอนนี้ยิ่งอึดอัดเข้าไปใหญ่
มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากอยู่ที่นี่อีก จึงเอ่ยกับหัวหน้าตระกูลมั่วที่ยืนอึ้งอยู่ว่า “ท่านว่า หากฮ่องเต้ส่งคนมาถามเชียนเสวี่ย เชียนเสวี่ยจะเอ่ยเรื่องของมั่วจื่อฮว่ากับมั่วจื่อเยี่ยในตอนนั้นให้ฮ่องเต้ฟังดีหรือไม่”
หัวหน้าตระกูลมั่วหน้าเขียวคล้ำ มุมปากกระตุก
“ถึงตอนนั้นฮ่องเต้จะต้องผลักหัวหน้าตระกูลมั่วออกมา หากหัวหน้าตระกูลมั่วถูกลงโทษด้วยเหตุนี้ ฆาตกรรมชนชั้นสูงผู้มีอำนาจในเมืองหลวง เผาทำลายคฤหาสน์ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้…ไม่ว่าความผิดในข้อใดก็ล้วนเป็นโทษร้ายแรงถึงขั้นริบทรัพย์ ฆ่าล้างตระกูลทั้งนั้น!”
เรื่องทรี่มั่วเชียนเสวี่ยวิเคราะห์ได้ หัวหน้าตระกูลมั่วย่อมวิเคราะห์ได้เช่นกัน
เห็นได้ชัดเจนมากว่าเรื่องเพลิงไหม้ที่จวนกั๋วกงไม่ได้อยู่ในการคาดการณ์ของฮ่องเต้
แต่ทว่า เพลิงไหม้ที่รุนแรงในจวนกั๋วกง ขอเพียงแค่สืบสวนลงลึก แม่ทัพเก้าประตูก็มิอาจปัดความรับผิดชอบได้
แม่ทัพเก้าประตูมิอาจปัดความรับผิดชอบได้ เช่นนั้นฮ่องเต้…
เพลิงไหม้นี้เป็นอุบัติเหตุ แต่ อุบัติเหตุนี้ ฮ่องเต้จำเป็นต้องหาคนมาแบกรับความผิดให้ตนเอง เขาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแน่นอน
จุดจบของการแบกรับความผิดมีเพียงความตายสถานเดียว!
หัวหน้าตระกูลมั่วยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวหนักหนา พลันตวาดเสียงดังว่า “เจ้า เจ้าแซ่อะไรกันแน่ ถึงได้ทำร้ายตระกูลมั่ว ทำร้ายข้าเช่นนี้”
ดื้อดึงไม่ยอมรับผิด! มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจลึก หากว่าเป็นไปได้ นางก็หวังว่าตนเองจะไม่ได้แซ่มั่ว
ทันใดนั้น นางก็ลืมตากลมโต เอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “ชีวิตของท่านเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เพียงแต่ เรื่องที่ทำผิดไป ก็ต้องชดใช้คืน”
“คืน…?” หัวหน้าตระกูลเสียงสั่น
เขานึกถึง ช่วงเวลากลางวันในวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เขานำคนไปไล่สตรีนางหนึ่งกับเด็กชายผอมแห้งออกจากจวนไปถึงถนนอย่างดุร้าย
เขานึกถึง ค่ำคืนที่มีลมพายุหิมะในหลายปีก่อน เงาร่างผอมเล็กที่ดื้อรั้นหัวแข็งซึ่งถูกไล่ออกจากจวน แต่กลับไม่เอ่ยอันใดสักคำ นั่งคุกเข่าวิงวอนเขาที่หน้าประตู เอ่ยว่ามารดาป่วยหนัก ขอร้องให้เขาบริจาคเงินให้สักเล็กน้อย เพื่อช่วยชีวิตมารดาเขา
เขานึกถึงเรื่องที่เขากว้านซื้อนักฆ่าร้อยกว่าคนให้จู่โจมปลิดชีพมั่วเชียนเสวี่ยระหว่างเส้นทางมั่วโจวกลับมายังเมืองหลวงในคราแรก
เขานึกถึงเรื่องที่เขากว้านซื้อประมุขนักฆ่าของหอนักฆ่าให้ตามฆ่ามั่วเชียนเสวี่ยระหว่างเดินทางจากอำเภอเทียนเซียงกลับมายังเมืองหลวงในครั้งที่สอง
เขานึกถึง ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยเข้าเมืองหลวงเป็นคราแรก เขาได้ตระเตรียมขอทานกลุ่มหนึ่งไว้…
ผู้นำตระกูลมั่วเงยหน้าขึ้น ปรากฏความเสียใจในภายหลังขึ้นเป็นครั้งแรกในแววตา
เขามองไปทางมั่วเชียนเสวี่ยอย่างวิงวอน เขาเชื่อว่าขอเพียงมั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้น ด่านนี้ เขาก็สามารถผ่านไปได้
“ในปีนั้นลุงมีความผิดจริง แต่ แม้ว่าจะต้องชดใช้ เจ้าก็ไม่ถึงกับต้องใจร้ายเช่นนี้ จัดการลุงแท้ๆ ของเจ้าถึงตายหรอก” วาจานี้ไร้ซึ่งความมั่นใจเป็นอย่างมาก
มั่วเชียนเสวี่ยยิ่งรู้สึกดูแคลนในใจ
“หัวหน้าตระกูลมั่วกล่าวเกินจริงไปแล้ว เชียนเสวี่ยเอ่ยเมื่อใดว่าจะจัดการหัวหน้าตระกูลถึงตายกัน เพียงแต่ชีวิตของคนในตระกูลมั่วทั้งตระกูลล้วนอยู่ในมือของหัวหน้าตระกูล ความเป็นความตายของภารยาและบุตรในครอบครัวของหัวหน้าตระกูลมั่วล้วนอยู่ในมือท่าน เกียรติของบรรพบุรุษตระกูลมั่วล้วนอยู่ในมือท่าน”
ความเย็นชาบนใบหน้าและรอยยิ้มเยาะที่มุมปากมั่วเชียนเสวี่ยทำให้หัวใจของหัวหน้าตระกูลมั่วหนาวเหน็บ
วาจาจากปากนางยิ่งเด็ดขาดไร้ช่องโหว่ หัวหน้าตระกูลมั่วพบเจอเรื่องราวบนโลกมามากมาย ยังมีสิ่งใดที่ไม่เข้าใจอีก
เดิมมั่วเชียนเสวี่ยก็เป็นคนที่ทิฐิสูง เกรงว่าการมาในครั้งนี้มีความตั้งใจที่จะบีบบังคับให้เขาตายแน่นอน
แม้ว่าหัวหน้าตระกูลจะเลวร้ายแต่กลับไม่ได้เป็นคนขี้ขลาดตาขาว รักตัวกลัวตาย
อย่างน้อย ต่อหน้าผลประโยชน์ของตระกูล เขาก็มีความกล้าที่จะตาย
ความกล้าหาญที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เขาหลังที่โค้งงอของเขายืดตรงขึ้นมา “ได้…เจ้าไม่ต้องกล่าวอันใดแล้ว หากการที่ข้าตายจะช่วยให้เจ้าบรรลุความปรารถนา ข้าก็จะตาย เพียงแต่ว่าเจ้าจำเป็นต้องรับปากข้าว่าจะส่งมอบบรรดาศักดิ์นี้ให้กับตระกูลมั่ว”
เสียงนี้ไม่เพียงจะไม่สั่นเหมือนเมื่อครู่ แต่ยังมีความเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผายอยู่ด้วย
ท่าทีเช่นนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยต้องเปลี่ยนมุมมองที่เขาปฏิบัติต่อผู้อื่นเล็กน้อย แต่กลับไม่อยากช่วยให้เขาสมปรารถนา