หัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่กระแอมไอ เอ่ยอย่างไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำว่า “เรื่องนี้พวกเรามิอาจตัดสินข้อสรุปที่แน่นอนเร็วขนาดนี้ ความจริงแล้ว เรื่องนี้นอกจากฮ่องเต้ ก็ไม่มีใครสามารถทำออกมาได้ แต่เป้าหมายนั้น…”
หัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่เอ่ยถึงตรงนี้แล้ว ก็เงยหน้ามองทุกคนที่นั่งอยู่แวบหนึ่งอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง
“เป้าหมายของเขาไม่มีทางที่จะธรรมดาขนาดนั้น!”
ชังมู่เป็นบุตรชายของหัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่ เป็นผู้สืบทอดของชนเผ่าเฮยมู่ในอนาคต และยิ่งเป็นแม่ทัพของชนเผ่าเฮยมู่ ดังนั้นครั้งนี้จึงมาที่นี่พร้อมกับหัวหน้าชนเผ่าด้วย
ได้ยินหัวหน้าชนเผ่าเอ่ยเช่นนี้แล้ว ก็นึกถึงตอนที่ไปพบมั่วเชียนเสวี่ยที่เมืองหลวงกับอวี่เสวียน มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยคลุมเครือถึงป้ายไม้ ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
จึงเอ่ยเตือนว่า “เกรงว่า ฮ่องเต้จะคิดถึงป้ายไม้ดำ!”
ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง!
เมื่อคำว่าป้ายไม้ดำถูกหยิบยกขึ้นมา หลายคนที่นั่งอยู่ล้วนนิ่งเงียบ
ป้ายไม้ดำแสดงถึงสิ่งใด ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขาที่นั่งอยู่ที่นี่อีกแล้ว
แม้ว่าเกาเหอซวี่กับฮูเหยียนเจียง แม่ทัพสองท่านนี้จะไม่ใช่คนของสองชนเผ่า แต่ใช้ชีวิตอยู่ที่เขตแดนทั้งสองเมืองของสองชนเผ่า สายเลือดในกายล้วนมีโลหิตของสองชนเผ่าไหลเวียนอยู่ไม่มากก็น้อย
พวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชนเผ่าเฮยมู่และชนเผ่ารั่วสุ่ย ย่อมรู้ตำนานป้ายไม้ดำไม่น้อย
ถ้าหากว่าเป็นเพราะป้ายไม้ดำแล้วก่อหายนะขึ้นมาจริงๆ ถ้าหากเป็นเพราะป้ายไม้ดำทำให้เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่ว หลังจากพวกเขาตายไป จะมีหน้าไปพบมั่วกั๋วกงกับมั่วกั๋วกงฮูหยินได้อย่างไร?
“ไม่ได้! พวกเราต้องไปเมืองหลวงสักครา!” ผู้อาวุโสของชนเผ่าเฮยมู่ลุกขึ้น มองผืนฟ้านอกหน้าต่างแวบหนึ่งแล้ว ก็ทอดถอนใจเล็กน้อย
เกรงว่าขั้วอำนาจการปกครองจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว!
หัวหน้าชนเผ่ารั่วสุ่ยก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ จึงพยักหน้าสำทับ
ชังมู่เอ่ยอีกว่า “จริงขอรับ แม้ว่าพวกเราจะมิอาจทำสิ่งใดได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ! พวกเราต้องให้เขารู้ว่า ตระกูลมั่วไม่ได้มีคุณหนูใหญ่มั่วแค่คนเดียว! อย่างไรเสียพวกเราสองชนเผ่าบวกกับกองทัพตระกูลมั่ว รวมกันทั้งหมดก็มีทัพสี่ห้าแสนคน และคนเหล่านี้ก็ไม่ได้กินข้าวเสียเปล่า!”
แม่ทัพเกาเอ่ย “ถูกต้อง! บิดาเห็นฮ่องเต้สุนัขนั่นหน้าไม่อายมานานแล้ว! ที่มั่วกั๋วกงตายในปีนั้นก็น่าสงสัย บิดาจะเข้าเมืองหลวงไปถามฮ่องเต้นั่นสักหน่อย แต่พวกเจ้ากลับไม่เห็นด้วย! ตอนนี้ได้แล้ว! บุตรีของเขาประสบหายนะแล้ว!”
สำหรับวาจาของแม่ทัพเกา ผู้อาวุโสทั้งสองชนเผ่าทำได้เพียงแค่ยิ้มเจื่อนๆ อย่างเงียบงัน
พวกเขาจะไม่รู้ว่าการตายของมั่วกั๋วกงนั้นน่าสงสัย ตายอย่างไม่เป็นธรรมได้เช่นไร
แต่ตอนนั้น ในช่วงเวลาสำคัญ พวกเขาจะหุนหันพลันแล่นได้อย่างไร
ป้ายไม้ดำยังไม่แตก คุณหนูใหญ่จะต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน
พวกเขาทำได้แค่ส่งคนไปตามหาเงียบๆ
ถ้าหากว่าตอนนั้นพวกเขามีความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย คิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ตาย ก็อาจจะมีคนลอบตามฆ่านางเพิ่มมากขึ้น วันนี้คนรุ่นหลังของตระกูลมั่วก็คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
สองชนเผ่าเฮยมู่รั่วสุ่ย แต่ไหนแต่ไรมาก็ดูทิศทางของชนเผ่าเฮยมู่ว่าตัดสินใจเช่นไร
เมื่อเห็นแววตาของหัวหน้าชนเผ่าอวี่ของชนเผ่ารั่วสุ่ยและอีกหลายคนล้วนมองมา หัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่ก็เอ่ยว่า “ตกลง พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวสักหน่อย เลือกคนในแต่ละหน่วยของตนเองมาหนึ่งคน รวมกันเป็นผู้แทนหนึ่งขบวน และเลือกวันเร่งเดินทางไปเมืองหลวง ไปเจรจากับฮ่องเต้เฒ่านั่นสักครา”
สองแม่ทัพก็ให้เกียรติหัวหน้าชนเผ่าทั้งสองมาก ดังนั้นเมื่อหัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่ตัดสินใจแล้ว หลายคนที่อยู่ที่นั่นล้วนไม่คัดค้าน
หัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่ลุกขึ้น สีหน้าจริงจัง “ส่วนเรื่องที่ควรจะกล่าวอันใด เมื่อไปถึงเมืองหลวง คิดว่าในใจทุกท่านล้วนจะรู้ดีนะ! เรื่องพวกนี้ไม่ต้องให้ข้าอธิบายแล้ว!”
หลายคนล้วนพยักหน้า ลุกขึ้นเตรียมถอยออกไป แต่กลับได้ยินน้ำเสียงสุขุมมั่นคงของผู้อาวุโสชนเผ่ารั่วสุ่ยเอ่ยขึ้นในตอนนี้
“มีบางวาจา มิรู้ว่าสมควรจะเอ่ยหรือไม่”
“เหตุใดหัวหน้าชนเผ่าอวี่แห่งชนเผ่ารั่วสุ่ยถึงได้อึกๆ อักๆ ราวกับเหล่าสตรีเล่า มีอันใดจะเอ่ยก็ว่ามาได้เลย!”
“ใช่แล้ว หลายคนที่อยู่ที่นี่ล้วนไม่ใช่คนนอก หัวหน้าชนเผ่าอวี่มีอันใดจะกล่าวก็กล่าวเถอะ”
“ตกลง” หัวหน้าชนเผ่าอวี่แห่งรั่วสุ่ยกระแทกเท้าราวกับตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว
“จากที่อวี่เสวียนรายงานมา หลังจากเพลิงไหม้ คุณหนูใหญ่มั่วได้เจรจากับฮ่องเต้เฒ่าในห้องทรงพระอักษร ก่อนเข้าไปเจรจา คุณหนูใหญ่มั่วได้กำชับบางอย่างกับอวี่เสวียน กล่าวว่าหากนางไม่ออกมา ก็ให้ส่งข่าวกลับมา หากว่าออกมาอย่างปลอดภัย ก็ช่างมัน”
หัวหน้าชนเผ่าอวี่มองไปรอบด้าน “แม้ว่าคุณหนูใหญ่มั่วจะออกมาจากห้องทรงพระอักษรอย่างปลอดภัย แต่อวี่เสวียนก็ยังส่งวาจาเหล่านั้นกลับมา”
“วาจาใดหรือ”
“หากว่านางตาย ทั้งสองเมืองก็ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสาบานที่ให้กับกั๋วกง จงรักภักดีต่อเทียนฉี แม่ทัพทั้งสองท่านก็สามารถอยู่ต่อหรือจากไปได้ จะเป็นโจรหรือแต่งตั้งตนเองเป็นอ๋องก็ตามใจ”
นี่คือการตัดสินใจที่สำคัญและแฝงไปด้วยจุดเปลี่ยน
บรรยากาศภายในห้องหนังสือน่าอึดอัด
มั่วเทียนฟ่างมีบุญคุณต่อคนในชนเผ่าเฮยมู่และรั่วสุ่ยอย่างใหญ่หลวง หลายปีมานี้คนทั้งสองชนเผ่าสามารถใช้ชีวิตเป็นปกติสุขล้วนเป็นท่านกั๋วกงมอบให้ ทั้งสองเมืองกลับคืนสู่เทียนฉี ก็เพื่อเจิ้นกั๋วกง
เดิมเกาเหอซวี่กับฮูเหยียนเจียงสองท่านนี้มีฐานะเป็นโจร หากไม่ได้ถูกรัศมีแห่งความกล้าหาญองอาจอันเป็นวีรบุรุษ ความจงรักภักดีต่อผู้ปกครองบ้านเมือง และความรักในแว่นแคว้นที่ฉายออกมาจากมั่วเทียนฟ่างทำให้เลื่อมใส จะมาเป็นแม่ทัพนำกองทัพตระกูลมั่วใต้บังคับบัญชาเขาได้อย่างไร
เงียบกันไปครู่หนึ่ง หัวหน้าชนเผ่าเฮยมู่ก็ลุกขึ้น แสดงท่าทีก่อน โดยการกำหมัดแนบลงบนหน้าอกเฉกเช่นสาบาน
“ดี! ถ้าหากเจรจาไม่สำเร็จ ก็บอกกับฮ่องเต้ไปตรงๆ ว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วปลอดภัย ทั้งสองชนเผ่าก็จะเป็นประชาชนของเทียนฉี ปกป้องเทียนฉีให้อายุยืนยาวหมื่นๆ ปี ถ้าหากคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วได้รับบาดเจ็บแม้เพียงน้อยนิด พวกเราเฮยมู่รั่วสุ่ยสองชนเผ่า ก็จะกลายเป็นเมืองเอกราช ไม่ให้เขาใช้สอยได้อีก ทั้งจะให้ชาวชังหยิบยืมเส้นทางทำสงครามกับเทียนฉีด้วย!”
แม้แม่ทัพเกาจะดูมุทะลุดุดัน แต่ความจริงแล้วกลับมีความละเอียดอ่อนในความมุทะลุนั้น
แค่มองการเอ่ยวาจาทุกครั้งของเขาล้วนสามารถแสดงความเห็นของแม่ทัพฮูเหยียนที่มาด้วยกันได้หมด
เขาสบตากับฮูเหยียนเจียงแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าให้กัน พลางลุกขึ้น “ดี! ถ้าหากว่าเจรจาไม่สำเร็จก็บอกฮ่องเต้ไปว่า ทหารสามแสนนายของกองทัพตระกูลมั่วที่ข้าเหล่าเกากับฮูเหยียนเป็นผู้นำทัพจะเป็นโจร ใช่ จะเป็นโจรที่พุ่งเป้าใส่เทียนฉีของเขาเท่านั้น!”
……
หนิงเซ่าชิงปลอบโยนคลอเคลียกับมั่วเชียนเสวี่ยครู่หนึ่ง รอถึงตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยพักผ่อนช่วงบ่ายหลังเที่ยง หนิงเซ่าชิงก็จากไป
อย่างไรเสียเขาก็เป็นหัวหน้าตระกูลหนิง มีเรื่องมากมายที่ต้องผ่านมือเขา และแม้ว่าเขาอยากจะมีสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับมั่วเชียนเสวี่ย แต่บางครั้งเป็นเพราะเวลาและฐานะไม่เอื้ออำนวย
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะอาลัยอาวรณ์เช่นกัน แต่กลับรู้ว่าไม่สามารถใช้ความรักอันลึกซึ้งระหว่างบุรุษและสตรีมารั้งเขาไว้ข้างกายตนเอง ไม่ต้องเอ่ยว่ามีเรื่องราวมากเพียงใดที่รอให้หนิงเซ่าชิงไปจัดการ ถ้าหากหนิงเซ่าชิงเป็นคนติดสตรี ไม่รู้จักเรื่องหนักเบาจริงๆ นางก็ไม่มีทางเทใจให้เขา
ทุกครั้งที่นางมีเรื่องที่ต้องการเขา เขาล้วนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็พอใจมากแล้ว
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า รู้จักพอเพียงแล้วจะมีความสุข
แต่ว่า มั่วเชียนเสวี่ยในตอนนี้กลับมีความสุขไม่ลง
สาเหตุย่อมไม่มีอันใด ที่สำคัญก็คือนางคิดถึงปัญหาเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาว
ห้องครัวทำขนม ชูอียกมาให้มั่วเชียนเสวี่ยชิม จึงเห็นท่าทางกลุ้มใจของมั่วเชียนเสวี่ยเข้าพอดี ก็แอบหัวเราะในใจ