วันนั้นเขาจะเป็นคนลงมือลักพาตัวมั่วเชียนเสวี่ยไปด้วยตนเอง
โชคดีที่เขาใช้ข้ออ้างว่าหาของให้นางทำงานในคราวที่แล้ว
อวิ๋นอิ๋นไม่รู้เหตุผล “ของอะไรหรือ”
หลูเจิ้งหยางหยั่งเชิง “ป้ายสีดำแผ่นหนึ่ง เจ้าเคยเห็นหรือไม่”
อวิ๋นอิ๋นส่ายหน้า “ไม่เคยเห็น สิ่งนี้สำคัญมากหรือเจ้าคะ”
“เจ้าก็รู้ฐานะของข้า ป้ายไม้นี้เป็นป้ายที่บรรพบุรุษของข้าส่งต่อกันมา สำคัญกับข้ามากจริงๆ คราแรก…”
หลูเจิ้งหยางเอ่ยด้วยท่าทางละอายใจสุดซึ้ง คล้ายกับว่ามิอาจปลอบโยนดวงวิญญาณบรรพบุรุษได้ หากหาป้ายนี้ไม่พบ
อวิ๋นอิ๋นใจอ่อน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวิ๋นอิ๋นจะตามหาสุดความสามารถเพื่อคุณชายเจ้าค่ะ” แม้เขาจะต้องการดวงดารา ขอแค่นางมีวิธีเอามาไว้ในมือได้ นางก็ไม่ลังเลที่จะมอบให้
หลูเจิ้งหยางยิ้มอบอุ่น เอ่ยกับอวิ๋นอิ๋นว่า “ความจริงแล้ว ข้าแข็งใจให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมจากการเป็นข้ารับใช้ไม่ลง”
อวิ๋นอิ๋นก้มใบหน้าแดงระเรื่อ “ความลำบากเล็กน้อยนี้ไม่นับเป็นอันใด”
“เฮ้อ…ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายต้องการช่วยหา เช่นนั้นข้าก็ไม่บอกปัดแล้ว”
หลูเจิ้งหยางคล้ายกับปวดใจและลำบากใจ
“เพียงแต่…เจ้าต้องรีบหน่อย การสร้างเรือนเสวี่ยหว่านมิอาจสร้างเสร็จในวันสองวัน เกรงว่าสิ่งนั้นจะถูกคนข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยเก็บเอาไว้ เจ้าต้องคิดหาวิธีไปอยู่ข้างกายนาง ด้วยความไว้ใจที่นางมีต่อเจ้า การหาของสิ่งนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับเจ้า! หาของสิ่งนั้นเจอไวหน่อย และมอบมันให้ข้า ข้าจะได้พาเจ้ากับซีซีจากไปเร็วหน่อยเช่นกัน”
อวิ๋นอิ๋นเงยหน้า
แม้ว่านางจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากช่วยหา แต่กลับไม่ได้บอกว่าจะขโมยออกมาให้หลูเจิ้งหยาง ตอนนี้ แค่คิดว่าต้องหักหลังมั่วเชียนเสวี่ยอีก ในใจก็รู้สึกแย่เล็กน้อย พลันรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
หลูเจิ้งหยางจับมือนางขึ้นมา “อิ๋งเอ๋อร์ เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า สาเหตุที่ตระกูลหลูของข้าถูกฆ่าล้างตระกูล ก็เพราะถูกคนขโมยของล้ำค่าที่ปกป้องตระกูลไป ขอแค่พวกเราหาของสิ่งนั้นมาไว้ในมือได้ ใต้หล้านี้ก็มิมีผู้ใดข่มขู่พวกเราได้! ถึงตอนนั้น ไม่ว่าที่ใดล้วนเป็นสถานที่แห่งความสุขของพวกเรา”
“แต่…คุณหนูใหญ่ดีต่อข้ามาก…ข้ากลับต้องขโมยของของนาง อวิ๋นอิ๋นรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้าง”
“เด็กดี ไม่ต้องคิดมากขนาดน้้น หลังจากทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าจะพาเจ้าไปให้ไกลจากที่นี่ และใช้ชีวิตที่เป็นของพวกเราสองคน หรือว่าเจ้าไม่ใฝ่ฝันถึงสิ่งเหล่านั้น”
ใฝ่ฝัน? อวิ๋นอิ๋นย่อมใฝ่ฝันถึงมัน!
แต่จะเป็นจริงได้จริงๆ หรือ
หลูเจิ้งหยางเห็นอวิ๋นอิ๋นเผยแววตาโลเลออกมาอีกครั้ง ก็ตัดใจเลื่อนหน้ากากขึ้น เชยคางอวิ๋นอิ๋นขึ้นมาแล้วจุมพิตนาง…
มองใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษผู้นี้ มองท่าทางที่เขาหลับตาจุมพิตนาง หัวใจก็ค่อยๆ เคลิบเคลิ้ม…
“คุณชาย…”
อวิ๋นอิ๋นก็หลับตาลง เข้าสู่ห้วงแห่งความฝัน
ฟ้ามืดแล้ว คนในจวนกั๋วกงพักผ่อนในกระโจมด้านนอกหลายสิบลี้นานแล้ว
ทุกแห่งในจวนล้วนเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง จะมีคนมาลาดตระเวนในยามค่ำคืนเสียที่ไหนกัน แม้ว่าจะมีคนลาดตระเวน ก็ไม่มีทางลาดตระเวนมาถึงที่นี่
ในป่าอันเงียงสงัด พลันเกิดเสียงร้องตื่นตระหนกดังขึ้นมา เจือไปด้วยความเจ็บปวดและอดกลั้นที่อธิบายออกมาไม่ได้ ผิวน้ำในสระบัวที่อยู่ไม่ไกลก็คล้ายว่าเกิดคลื่นน้ำเป็นระลอกๆ
ภายใต้ความมืดในยามค่ำคืน ผ้าแพรสีครามผืนหนึ่งค่อยๆ ปลิวขึ้นไปบนฟ้า
รอจนทุกอย่างเงียบสนิท
ชายหนุ่มกอดร่างของอวิ๋นอิ๋น มือลูบไปมาบนหัวไหล่ขาวเนียนของนาง น้ำเสียงแหบพร่า
“ระยะนี้ มั่วเชียนเสวี่ยมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ หรือไม่”
อวิ๋นอิ๋นซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างสบายใจ จิตใจสงบนิ่งและมีความสุขอย่างยิ่ง
ในที่สุดนางก็เหมือนกับคุณหนู เป็นสตรีของเขา
“ไม่เจ้าค่ะ เมื่อวานคุณหนูใหญ่แวะมาดูครู่หนึ่ง แต่กลับมิเอ่ยอันใด และต้องการให้ข้าตามกลับไปที่บ้านไร่ ทว่าข้าปฏิเสธไป”
“อืม หากนางเอ่ยขึ้นมาอีก เจ้าก็ถือโอกาสตามนางเข้าไปในคฤหาสน์ได้พอดี จำเอาไว้ว่า เมื่อได้ความแล้วต้องแจ้งให้ข้าทราบทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เข้าใจไหม”
อวิ๋นอิ๋นคุ้นชินกับการออกคำสั่งของหลูเจิ้งหยาง จึงพยักหน้าแสดงว่าตนเองเข้าใจ
หลังจากทั้งสองคนคลอเคลียใกล้ชิดกันอีกครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้น สวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย หลูเจิ้งหยางเก็บหน้ากากปีศาจขึ้นมา สวมลงบนใบหน้าอีกครั้ง
“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่มองเจ้าจากไป” ทั้งความหมายโดยตรงและโดยนัยล้วนเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
คำหวาน วาจาไพเราะอะไรพวกนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่สตรีต้านทานไม่อยู่ อวิ๋นอิ๋นไม่เพียงแต่เป็นสตรี แต่ยังเป็นสตรีที่รู้สึกโดดเดี่ยวคนหนึ่ง และเป็นสตรีที่หลงใหลเขาจนโงหัวไม่ขึ้น ย่อมหนีไม่พ้นด่านนี้
มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงพอใจและมีความสุขก้มตัวเล็กน้อยแล้วหมุนกายจากไป
เพียงแต่ หลังจากนางไปแล้ว คนที่อยู่ข้างหลังนางผู้นี้กลับบ้วนน้ำลายลงพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า
“สตรีหลงระเริงที่ถูกบุรุษย่ำยีแล้วทิ้งไป! หึ ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้ายังใช้ประโยชน์ได้นิดหน่อย ข้าคงสังหารเจ้าไปนานแล้ว!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสะอิดสะเอียน ไฉนเลยจะมีความรักความสิเน่หาเมื่อครู่นี้อีก!
…
กลางดึก มั่วเชียนเสวี่ยนอนอยู่บนเตียงคนเดียว ในใจรู้สึกทุกข์ใจจนอึดอัด พลิกไปพลิกมาอย่างไรก็นอนไม่หลับ
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิงเซ่าชิงจะสะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไม่สนใจไยดีเช่นนี้!
นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่บ้างว่า เหตุใดถึงได้กลายเป็นเช่นนี้
หนึ่งนาทีก่อนหน้านี้สุภาพอ่อนโยน นาทีถัดไปกลับบังคับขู่เข็ญ
หนิงเซ่าชิงสนับสนุนการตัดสินใจของนางเสมอ ครั้งนี้กลับใจแข็งไม่ยอมให้นางสร้างโรงเรือนเพาะปลูกพืชผัก!
ถ้าหากว่าเขาเอ่ยกับนางดีๆ แม้ว่านางจะตัดใจเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องโมโหขนาดนี้
มั่วเชียนเสวี่ยนอนไม่หลับ จึงลุกขึ้นมานั่งเสียเลย
“หนิงเซ่าชิงคนเลว! หนิงเซ่าชิงคนงี่เง่า! ผู้อื่นเสียใจขนาดนี้ยังไม่มาง้ออีก…จะไม่สนใจท่านอีกแล้ว!”
กระชากผ้าห่มด้วยความโมโห พลางงึมงำอยู่ตรงนั้น
แม้ว่าจะว่าร้ายหนิงเซ่าชิงไปมากมาย แต่ในใจกลับไม่รู้สึกสบายใจเลยสักนิดเดียว และรู้สึกอัดอั้นตันใจมากยิ่งขึ้น!
หนิงเซ่าชิงคนน่ารังเกียจ ท่านมาง้อข้านิดหน่อยแล้วจะตายหรือไง! บุรุษขี้เหนียว!
“กรี๊ด…”
สุดท้ายมั่วเชียนเสวี่ยก็ทนรับความอึดอัดใจเช่นนี้ไม่ไหว จึงตัดสินใจกรีดร้องเสียงดัง ดึงผ้าห่มคลุมศีรษะเอาไว้
ให้ตนเองแสร้งเป็นนกกระจอกเทศ ฝังตนเองไว้ใต้ผืนทรายไปชั่วชีวิต!
นางไม่ต้องการออกมาอีกแล้ว!
“คุณหนู? คุณหนูเป็นอันใดหรือเจ้าคะ”
คนที่รับหน้าที่เฝ้านางวันนี้คือชูอี
นางเหนื่อยมาทั้งวัน เดิมกำลังจะงีบหลับ ทว่าดันได้ยินเสียงกรีดร้องสยดสยองในห้องมั่วเชียนเสวี่ย
นางตกใจจนอาการง่วงเหงาหาวนอนหายเป็นปลิดทิ้ง ลุกขึ้นยืนตามปฏิกิริยาตอบสนอง รีบวิ่งออกมาจากห้องเข้าเวร และทุบประตูห้องของมั่วเชียนเสวี่ย
แต่ก่อนกลางคืนตอนนอน มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ลงกลอนประตูจากด้านใน พวกนางจะได้สะดวกเข้ามาปรนนิบัติได้ตลอดเวลา นับตั้งแต่มาที่คฤหาสน์นี้ หลังจากเข้าหอกับกูเหยียแล้ว ถึงได้ลงกลอน
“คุณหนู! คุณหนู ช่วยพูดอะไรหน่อยเจ้าค่ะ!” ชูอีทุบอีกหลายครั้ง กลับเห็นว่าด้านในไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ในใจก็กลัวยิ่งกว่าเดิม!