นางไม่อาจรู้ความทรงจำของเสวี่ยเอ๋อร์ได้ แต่ว่าห้วงฝันนั่นนางเคยเห็นมาก่อน
เสวี่ยเอ๋อร์ก็เคยพูดคุยเรื่องราวในใจกับนางด้วยเช่นกัน ในบทสนทนานั้นมีแต่เฟิงอวี้เฉินทั้งสิ้น นางจึงรู้เรื่องราวระหว่างพวกเขาทั้งหมด
เสวี่ยเอ๋อร์ที่เป็นเจ้าของร่างเดิมรักและจริงใจต่อเฟิงอวี้เฉิน
เฟิงอวี้เฉินจะไม่รักและจริงใจต่อเจ้าของร่างเดิมได้หรือ
เขาเป็นคนที่ยินดีสละชีวิตทิ้งได้เพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันกับเจ้าของร่างเดิม
ทว่าสวรรค์กลับเล่นตลกให้นางมั่วเชียนเสวี่ยข้ามภพมา
ให้นางมีหนิงเซ่าชิงเสียก่อน
กาลเวลาผันผ่านไปพร้อมกับการบอกเล่า
มั่วเชียนเสวี่ยเล่าเสียกินใจ หลันรั่วเมิ่งฟังแล้วจิตใจเหม่อลอย
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเล่าจบก็หยิบถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กๆ กลางป่าไผ่ขึ้นมา เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว
แม้แต่มั่วเชียนเสวี่ยเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ
กับเฟิงอวี้เฉินไม่ได้มีอะไรแท้ๆ มีแต่เรื่องเก่าๆ ระหว่างเสวี่ยเอ๋อร์กับเขา แต่ไม่อยากพูดขึ้นมา แต่ก็ยังเยอะมากอยู่ดี
แน่นอนว่ามั่วเชียนเสวี่ยก็ชี้แจงอย่างระมัดระวังกับหลันรั่วเมิ่งแล้วว่าตัวเองสูญเสียความทรงจำไป ไม่คิดอะไรกับเฟิงอวี้เฉินไปนานแล้ว
ยามนี้สิ่งที่นางรู้อันที่จริงโดยมากก็ฟังมาจากพวกสาวใช้คุยกัน ได้ยินสิ่งที่เฟิงอวี้เฉินพูดเพื่อกระตุ้นความทรงจำนาง
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันก็เดินมาถึงศาลาที่มีไว้เพื่อหลบแดดโดยเฉพาะ แล้วพากันนั่งลง
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยจบก็เหลือบตาขึ้นน้อยๆ เห็นท่าทางใจลอยของหลันรั่วเมิ่ง
นางรู้ว่าระหว่างความรักกับมิตรภาพนั้น คนทั่วไปต่างเลือกความรักทั้งสิ้น
นางไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าย่อมมองออกอยู่แล้ว เฟิงอวี้เฉินยังไม่ได้มีความรู้สึกให้หลันรั่วเมิ่งมากมาย แต่หลันรั่วเมิ่งกลับรักลึกซึ้งต่อเฟิงอวี้เฉินแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้นางอับจนหนทางที่สุด
บุปผาร่วงหล่นมีใจ สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก
นี่นางทำร้ายหลันรั่วเมิ่งรึ
นึกถึงตอนนั้นที่เรียกได้ว่าตนเป็นคนผูกด้ายแดงให้พวกเขาทั้งสองคนเอง
อย่างไรเสียหากไม่มีหวังก็ย่อมไม่ผิดหวัง
มั่วเชียนเสวี่ยค่อนข้างไม่สบายใจ แต่มือที่นางจับหลันรั่วเมิ่งไว้กลับไม่ได้ปล่อยออก นางหวังเพียงว่าหลันรั่วเมิ่งจะคิดตกได้
นางเชื่อว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้
หากมีระยะเวลากำหนดมาให้เฟิงอวี้เฉินคงจะหลงรักภรรยาที่ดีอย่างหลันรั่วเมิ่งได้แน่ หากหลันรั่วเมิ่งสามารถปล่อยวางลงได้ก็คงจะพบกับความสุขที่นางต้องการแน่นอน
เฟิงอวี้เฉินเป็นคนรักษาตนให้บริสุทธิ์ไม่ให้แปดเปื้อนและเป็นคนรักปักใจมั่น จุดนี้เห็นได้ตั้งแต่ที่เขาปฏิบัติต่อตนเลย ในอนาคตขอแค่เขาทุ่มเทความสนใจไปยังหลันรั่วเมิ่ง คงจะเป็นคู่สามีภรรยาที่สมบูรณ์แบบแน่…
หลันรั่วเมิ่งยามนี้เรียกได้ว่าสมองมีแต่ความมึนงง
นางเป็นคนมีไหวพริบจึงเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว บางทีระหว่างลูกพี่ลูกน้องอย่างเฟิงอวี้เฉินกับมั่วเชียนเสวี่ยอาจจะมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อกัน
เมื่อครู่นี้ก่อนที่ถามออกไป นางนึกว่าตัวเองเตรียมตัวเตรียมใจมาดีแล้วแท้ๆ
ทว่านางกลับไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นเช่นนี้
นางคิดไม่ถึงว่าความรู้สึกระหว่างพวกเขาจะ…ลึกซึ้ง ทำให้นาง…ทำให้นางไม่อาจรับได้
หากตอนนั้นมั่วเชียนเสวี่ยไม่โดนลอบฆ่า เช่นนั้นพวกเขาในยามนี้คงกลายเป็นสามีภรรยาที่น่าอิจฉาไปแล้วแน่ๆ ไหนเลยยังจะมีความรักระหว่างมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงเกิดขึ้นมาได้อีก
นึกย้อนกลับไปอีก หัวข้อสนทนาระหว่างนางกับเฟิงอวี้เฉินในทุกๆ คราเหมือนว่า…เหมือนว่าจะมีแต่มั่วเชียนเสวี่ยตลอดเลย
หากไม่มีคนเชื่อมความสัมพันธ์อย่างมั่วเชียนเสวี่ย พวกเขาก็คงไม่มีอะไรจะคุยกันแล้ว
หลันรั่วเมิ่งเข้าใจกระจ่าง นางไม่ใช่คนโง่และไม่ใช่สตรีใจแคบแบบนั้น ตรงกันข้ามนางเป็นสตรีที่คมในฝัก แม้ว่านางจะรับไม่ได้ในตอนนี้ แต่ก็เข้าใจในความลำบากใจของมั่วเชียนเสวี่ยได้
นางจะเลือกไม่บอกตนก็ได้ เลือกจะเยาะเย้ยตนก็ได้ ดูถูกตนก็ได้
แต่ว่า….
นางกลับไม่ทำ
นางจริงใจ
นางบอกเล่าความจริงอย่างจริงใจ
นางอยากจะช่วยตน
หลันรั่วเมิ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ
มั่วเชียนเสวี่ยมองสีหน้าเหม่อลอยของอีกฝ่าย ไม่อยากเสียมิตรภาพนี้ไปจริงๆ และไม่อยากให้นางกับเฟิงอวี้เฉินต้องเกิดช่องว่างขึ้นเพราะตนด้วย จึงเอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ยามนี้สำหรับข้าแล้วท่านพี่เป็นพี่ใหญ่ที่สนิทที่สุด สำหรับพี่ใหญ่ข้าก็เป็นแค่น้องสาวเท่านั้น รั่วเมิ่ง เจ้าเข้าใจหรือไม่ ยามนี้ข้ามีหนิงเซ่าชิงแล้ว ข้าพอใจแล้ว! ข้าอยากใช้ชีวิตกับหนิงเซ่าชิงไปจนแก่เฒ่า ไม่ขอให้เขาร่ำรวยเงินทองมหาศาล และไม่ขอให้เขามีฐานะสูงส่ง ต่อให้เขายังเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาชนบท ต่อให้เป็นขอทานไร้บ้าน ก็ต้องการเพียงเขาคนนั้นอยู่ดี เขาสอนหนังสือ ข้าก็จะทำกับข้าวให้เขา เขาต้องการข้าว ข้าก็จะควักเงินช่วยเขา หากเขาปล้นชิงของ ข้าก็จะถือดาบอยู่ข้างเขา!”
ถ้อยคำของมั่วเชียนเสวี่ยราวกับกำลังสาบาน วนเวียนอยู่ข้างหูหลันรั่วเมิ่งทำให้นางใจลอยอีกระลอก
และอิจฉาขึ้นมาอีกระลอก
ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่นางเฝ้าฝันมาทั้งชีวิต
หลันรั่วเมิ่งคิดว่ามนุษย์ไม่ควรคิดจุกจิกมากมาย
นางเกลียดมั่วเชียนเสวี่ยไปแล้วจะได้อะไร
อย่างไรเสียตอนนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็เป็นคนผูกด้ายแดงระหว่างตนกับเฟิงอวี้เฉิง
หากไม่ได้มั่วเชียนเสวี่ย บางทีเฟิงอวี้เฉินอาจจะไม่แม้แต่จะปรายตามองตนสักแวบด้วยซ้ำ
นางไม่ได้ไม่พอใจเท่านั้น ยังอยากจะขอบคุณมั่วเชียนเสวี่ยเสียด้วยซ้ำ
หากไม่ได้มั่วเชียนเสวี่ย บางทีชั่วชีวิตนี้นางอาจจะใช้ชีวิตอยู่กับการรักข้างเดียวและความผิดหวังอันขมขื่นต่อไปก็ได้ และสุดท้ายก็ต้องแต่งงานกับคนอื่นไป
แต่งกับบุรุษที่นางไม่ได้ถูกตาต้องใจ แต่งกับคนที่นางไม่ได้รัก
หลันรั่วเมิ่งคิดได้ดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น แววตาแจ่มใสอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะแย้มยิ้มอ่อนโยนให้มั่วเชียนเสวี่ย
“เชียนเสวี่ยเจ้าวางใจได้ แต่นี้ต่อไปเจ้าคือน้องสาวของข้า หากมีปัญหาอะไรข้าไม่มีทางยืนดูอยู่เฉยๆ แน่นอน!”
มั่วเชียนเสวี่ยลอบพรูลมหายใจโล่งอกออกมา ก่อนยิ้มจางๆ ให้หลันรั่วเมิ่ง แล้วตบหลังมือนางเบาๆ “เช่นนั้นก็ดี วันนี้เชียนเสวี่ยขอเรียกรั่วเมิ่งว่าอาซ้อใหญ่ไว้ล่วงหน้าเลยแล้วกัน…”
หลันรั่วเมิ่งก็ไม่ได้โวยวาย นางใช้มือกุมหลังมือมั่วเชียนเสวี่ย “ภายหน้าตระกูลเฟิงก็คือบ้านเดิมของเจ้า”
ตกค่ำฟากฟ้ามืดมิด
หลังจากที่อวิ๋นอิ๋นกล่อมซีซีนอนแล้วก็ตรงออกจากห้องมา นางมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง เมื่อพบว่าไม่มีใครสะกดรอยตามนางแล้ว ก็เร่งฝีเท้าวิ่งขึ้นไปบนเขา
ที่นั่นมีบุรุษที่ทำให้นางคะนึงหารอนางอยู่
ตอนกลางวันนางไปทำสัญลักษณ์ไว้ที่นั่นแล้ว เขาบอกไว้ว่าขอแค่นางเรียกเขา เขาก็จะมาทันที
แต่ทั้งหมดนี้ไม่มีใครสะกดรอยตามมาจริงๆ น่ะรึ
แน่นอนว่าไม่มีทาง
องครักษ์ลับที่หนิงเซ่าชิงให้ไว้กับมั่วเชียนเสวี่ย องครักษ์ตระกูลถงที่ถงจื่อจิ้งพามาเองแทบจะคุ้มกันทั้งบ้านไร่แห่งนี้แน่นหนา ต่อให้คนนอกอยากเข้ามาก็ต้องลำบากเปลืองแรงยกใหญ่
และการกระทำทั้งหมดของอวิ๋นอิ๋นก็ล้วนอยู่ในสายตาของพวกองครักษ์ลับทั้งหมดอย่างไม่มีทางหลบซ่อนได้