เตาหนูไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ใช้ฝ่ามือฟาดกลับไปทันที
ทว่าโชคดีที่กุ่ยซาคุ้นเคยกับท่าของเตาหนูดี จึงรอดกระบวนท่านี้ไปได้
“ทำอะไรของเจ้าน่ะ จะฆ่ากันรึ”
เตาหนูหันกลับไปมอง ที่แท้ก็กุ่ยซานี่เอง
ทันใดนั้นจึงไม่แสดงสีหน้าใดออกไปให้กุ่ยซา แล้วหันหลังกลับไปมองสืออู่ที่กำลังเหม่อลอยอยู่ตรงหน้าประตูต่อ
“เฮ้ย! ข้าถามหน่อย เจ้าก็ถูกใจชูอีเช่นกันรึ”
กุ่ยซายืนอยู่ข้างๆ เห็นดวงตาสองข้างของเตาหนูที่มองจ้องไปใต้หลังคา พลันไม่พอใจขึ้นมา
ว่ากันว่าความงามอยู่ที่สายตาของผู้มอง และชายหญิงที่มีรักมักจะสติปัญญาถดถอย
กุ่ยซาในยามนี้ ในสายตาเขามีแต่ชูอี คนที่ยืนอยู่ข้างล่างคือสืออู่แท้ๆ แต่คนเขายืนนิ่งๆ ให้เจ้ามองเจ้าก็ไม่มอง
เตาหนูหันกลับมามองกุ่ยซาอีกหน
“พิกลนัก!”
จากนั้นส่งสายตา ‘เจ้ามันเกินจะเยียวยา’ ไปให้เขา แล้วหันหนีไม่สนใจเขาอีกเลย
ชูอีดีมากนักใช่หรือไม่
หรือว่าบนโลกใบนี้มีสตรีเหลือแค่ชูอีคนเดียวแล้ว เหตุใดเขาต้องถูกใจชูอีด้วย แรกๆ คุณหนูใหญ่มั่วก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง สืออู่ของพวกเขาดีจะตาย
นิสัยร่าเริงไม่เก็บเงียบ ไหนเลยจะเหมือนชูอี คำพูดและการกระทำอยู่ในกรอบเสียจนเหมือนป้าแก่ๆ อย่างไรอย่างนั้น
กุ่ยซาเห็นว่าตัวเองถามไปแล้วเตาหนูไม่สนใจ ไม่เพียงแต่จะไม่สนใจเท่านั้น ยังส่งสายตาให้เขาทำนองว่า ‘โรคจิต’ อีก เขาพลันรับไม่ได้ขึ้นมา
“ห้ามมอง! ชูอีเป็นของข้าคนเดียว! เจ้าห้ามมาแย่งข้านะ!”
เอาสิ ยามนี้แปลงร่างมาเป็นเด็กน้อยแล้ว
เพราะสตรีเพียงคนเดียว นึกไม่ถึงว่ากุ่ยซาจะไม่สนใจแม้แต่ภาพลักษณ์ที่ลำบากลำบนแสร้งทำเป็นเท่แล้ว ดึงเสื้อเตาหนูแกว่งไปแกว่งมาทันที
หมายจะให้เขามองชูอีที่เขาคิดถึงคะนึงหาอีก
แต่ในขณะนั้นเอง สืออู่ที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าประตูก็เหมือนได้ยินเสียงลมพัดใบหญ้าไหวบางอย่าง รีบเงยหน้าขึ้นมองที่ที่กุ่ยซาและเตาหนูหลบซ่อนตัวอยู่
แน่นอนว่าไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว
“หรือข้าจะตาฝาดกันนะ”
สืออู่ส่ายหน้าอย่างจนใจ คิดไม่ออกก็ไม่ต้องไปคิดแล้ว นี่เป็นแนวทางที่สืออู่ใช้มาโดยตลอด
ทว่าเตาหนู่ที่อยู่ในที่ลับนั้น ชั่วขณะที่เห็นสืออู่มองมาทางนี้ก็พลันดึงกุ่ยซาไว้ให้เขาเงียบๆ หน่อย
“ชูอีของเจ้าไม่มีใครอยากได้หรอก ข้าก็ไม่ชอบสตรีอย่างชูอีเหมือนกัน เข้าใจหรือไม่”
จากนั้นกุ่ยซาก็ไม่ดิ้นอีกเลย
“เจ้าก็รีบๆ บอกเสียแต่ทีแรกสิ!”
ในน้ำเสียงกลับแฝงด้วยการพร่ำบ่นที่เตาหนูไม่บอกเสียแต่ทีแรก
เขาไม่สนหรอกว่าเตาหนูจะไปถูกตาต้องใจใครเข้า แต่ขอแค่ไม่ใช่ชูอีก็พอแล้ว
ขอแค่ไม่ใช่ชูอี แม้ว่าเขาจะไปจี๋จ๋ากับบุรุษด้วยกันตนก็ไม่สนใจ!
คืนนี้กุ่ยซาวางใจลงได้แล้ว จากนั้นจึงไปนอนเสียแต่โดยดี
ทว่าแม้เตาหนูจะยืนอยู่ในตำแหน่งเฝ้ายามตรงนั้นนิ่งงันเป็นเสาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ทว่า แววตาเขากลับกวาดตามองสืออู่ไปโดยไม่รู้ตัวเสมอ
…
วันรุ่งขึ้น
ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร การประชุมเช้าที่ควบคุมโดยฝ่าบาทจึงเลิกประชุมอย่างรวดเร็ว
ฝ่าบาทเข้ามาในห้องทรงพระอักษร
“ผู้มาเยือนจากชายแดนตะวันตกขอเข้าเฝ้า!” เสียงก้องกังวานของขันทีระงมอยู่เหนือวังหลวงเนิ่นนาน
ชายแดนตะวันตกเรียกตัวเองว่าทูต แต่ขันทีกลับเรียกว่าผู้มาเยือน
ทูตหมายถึงคนต่างแคว้นขอเข้าเฝ้า แต่ผู้มาเยือนหมายถึงชาวเมือง
ระหว่างสองคำนี้พวกเขาแบ่งแยกชัดเจน
ชังมู่กับแม่ทัพจางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางเรียบร้อย ก่อนจะพาทูตอีกสองคนก้าวเดินอย่างเคร่งขรึมเข้าสู่ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเจรจาอะไรกันในนั้น ระหว่างเจรจาปรีดาหรือไม่
ทว่าหลังจากที่พวกชังมู่กับแม่ทัพจางออกจากห้องทรงพระอักษรมาแล้ว แววตาของพวกเขาประดับด้วยรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำฝีเท้าก็แผ่วเบาและรวดเร็วมากขึ้นด้วย
หลังจากพวกเขากลับไปไม่นาน ขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็เห็นลู่กงกงออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องหยกถูกกระแทกแตกลอยมาจากห้องทรงพระอักษร ซ้ำยังเป็นเสียงหอบหายใจของฮ่องเต้ และเสียงเดือดดาล…
…
ดวงตะวันเคลื่อนขึ้นสูง
มั่วเชียนเสวี่ยยามนี้หลับจนกระทั่งรู้สึกตัวตื่นเองทุกวัน
เรื่องสร้างเพิงใหญ่นางเป็นคนวางแผนและออกความเห็น ถงจื่อจิ้งเป็นคนไปจัดการให้นาง นางจึงสบายใจ
ตอนกลางวันแม้ว่านางจะไม่ฝึกกระบี่อีกแล้ว แต่ตอนกลางคืนกลับฝึกจิตและกำลังภายในไม่หยุด
การควบคุมดาบด้วยลมปราณต่างหากจึงจะเหนือชั้นกว่า
และที่สำคัญกว่านั้นคือนางต้องใช้พลังจิตเลี้ยงบำรุงร่างกายตัวเองให้แข็งแรง ต่อไปนี้ก็จะไม่หวั่นต่อความต้องการที่มากล้นของหนิงเซ่าชิงแล้ว
ตื่นเช้ามาได้ไม่นาน ชุนเยี่ยนก็มารายงานว่ามีราชโองการมาจากวังหลวงให้มั่วเชียนเสวี่ยไปรับราชโองการด้วยตัวเอง
มั่วเชียนเสวี่ยที่เพิ่งทานมื้อเช้าเสร็จลุกขึ้นอย่างสงบนิ่ง เปลี่ยนเสื้อใหม่แล้วเดินไปโถงหน้าอย่างเนิบช้าเพื่อรับราชโองการ
หากนางเดาไม่ผิดล่ะก็ วันนี้พวกชังมู่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว
ราชโองการของฝ่าบาทคงเกี่ยวกับพวกเขาแน่
ทว่าต่อให้เกี่ยวข้องกับพวกเขา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมั่วเชียนเสวี่ยกันล่ะ
มั่วเชียนเสวี่ยหอบความสงสัยไปรับราชโองการที่โถงหน้า
อันที่จริงราชโองการครานี้ของฝ่าบาทเป็นราชโองการปากเปล่า ขันทีคนนั้นพล่ามประโยคลิ้นพันพวกนั้นเป็นชุด มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินแล้วมึนงงไปหมดและค่อนข้างไม่เข้าใจ ทว่าความหมายในราชโองการนี้นางยังคงกระจ่างอยู่ดี ในนั้นมีทั้งเหน็บแนม ทำให้ตกใจกลัว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประนีประนอม
เมื่อส่งขันทีที่มาประกาศราชโองการกลับไป
มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา
นางรู้ดีแก่ใจ ทูตของชายแดนตะวันตกคงไปกดข่มฮ่องเต้เข้า
มิฉะนั้นการตรวจสอบเรื่องไฟไหม้ในจวนกั๋วกงนี้ หลังจากจวนกั๋วกงไฟไหม้ก็ควรดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดแล้ว แต่ฝ่าบาทในตอนนั้นกลับแค่มาให้เห็นหน้าพอเป็นพิธี พอเห็นว่าเรื่องนี้ลากตระกูลมั่วไปเป็นแพะไม่ได้ก็ไม่สนใจอะไรอีก
ยามนี้ผ่านไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้วกลับมาร้องทุกข์ให้มั่วเชียนเสวี่ย ออกราชโองการปลอบขวัญและให้สัญญาว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด
นี่มันไม่ตลกไปหน่อยหรือไร
แต่แบบนี้ก็ดี
นางก็อยากจะดูเหมือนกันว่าฝ่าบาทจะให้คำอธิบายกับนางว่าอย่างไร
ในฐานะรองแม่ทัพประตูเก้า ความจริงแล้วหน้าที่รับผิดชอบในทุกๆ วันของซูชีแค่ลาดตระเวนดูระหว่างประตูเมืองใหญ่แต่ละบานกับกำแพงเมืองก็พอ
ทว่าตั้งแต่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่จวนกั๋วกงวันนั้น หน้าที่รับผิดชอบของรองแม่ทัพซูก็มีลาดตระเวนดูละแวกที่ตั้งจวนกั๋วกงว่าสงบดีหรือไม่เพิ่มเข้ามา
ยามนี้พวกขโมยขโจร พวกก่อเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือพวกบ้ากามข่มขืนไม่มีให้เห็นในละแวกนี้เลย
เช้าตรู่มาซูชีลาดตระเวนกำแพงเมืองเสร็จก็มายังบริเวณที่จวนกั๋วกงกำลังสร้างเป็นเพิงขายของโดยไม่รู้ตัว
ซูชีมองผู้คนที่ทำงานกันอยู่ มองสถานที่ก่อสร้างอันคึกคัก และวัสดุที่ขนเข้าๆ ออกๆ อย่างเหม่อลอย