the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 247 ชิ่งเจิ่นชิงอำนาจสั่งการ

ชิ่งอวิ่นมองชิ่งเจิ่ง “ฉันหวังว่านายจะเข้าใจนะว่าที่นี่ฉันเป็นผู้บังคับบัญชา นายเสนอคำปรึกษาได้ แต่อย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดคนเดียวของกองบัญชาการล่ะ”

ชิ่งเจิ่นจ้องชิ่งอวิ่น พูดอย่างตระหนกว่า “ฉันไม่เคยพูดนะว่าแถวนี้ตัวเองเป็นคนฉลาดคนเดียว หลัวหลานเองก็หัวดีไม่เลวหรอก”

หลัวหลานโดนเสียงโหวกเหวกปลุกตื่น ถามอย่างสะลืมสะลือว่า “อะไรนะ พูดว่าอะไรนะ”

ชิ่งเจิ่นยิ้ม “ฉันพูดว่านอกจากนายกับฉันแล้ว ทุกคนในกองบัญชาการนี้โง่หมดเลย”

หลัวหลานนั่งหลังตรงพึ่บ “ชิ่งเจิ่นพูดถูก”

หน้าของชิ่งอวิ่นแปรเปลี่ยนเป็นเกลียดชังโดยพลัน “ทำตัวเป็นฉลาด สุดท้ายก็เป็นแค่นักโทษไม่ใช่เหรอไง”

แต่พอเขาพูดจบ ชิ่งเจิ่นก็ยิ้มเอ่ย “ถ้าให้นายเป็นผู้บัญชาการที่นี่ต่อ สมาคมตระกูลชิ่งได้จบสิ้นแน่ คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ทันที ฉันจะเป็นผู้มีอำนาจสั่งการกองกำลังทุกกองที่แนวหน้านี้ เลขาโจว คุณกลับไปบอกพวกพวกตาแก่ในสมาคมนะว่า รอสงครามจบก่อนค่อยออกความเห็นเรื่องนี้”

สิ้นเสียงชิ่งเจิ่น รองผู้บัญชาการของชิ่งอวิ่นก็ควักปืนพกขึ้นมาชักยิงที่ศีรษะของชิ่งอวิ่นทันที

เสียงปืนดังสนั่นจนนายทหารคนอื่นๆ ในเต็นท์เกือบกรีดร้องออกมา! ทว่าก็ไม่มีเสียงใด ได้แต่กล้ำกลืนมันลงไป

คนสนิทของชิ่งอวิ่นควักปืนออกมาคิดสู้กลับ แต่พวกเขาก็พบว่าคนในเต็นท์ห้านายนั้นควักปืนออกมาเล็งมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงแล้ว!

ทุกคนในเต็นท์เงียบไป ตอนนั้นเองทุกคนจึงจำความอำมหิตที่ชิ่งเจิ่นเคยลงมือมาในอดีตได้

นี่คือคนบ้าคลั่งที่สุดในสมาคมตระกูลชิ่ง!

ชิ่งอวิ่นพยายามทุกวิถีทางเพื่อชิงการยอมรับจากสภา

แต่เขาไม่คิดเลยว่าชิ่งเจิ่นจะพลิกโต๊ะกลับแบบนี้

ในที่สุดพยัคฆ์หมอบแห่งสมาคมตระกูลชิ่งก็กลับมาแล้ว

เลขาโจวพูดอย่างตกตะลึง “ชิ่งเจิ่น! คุณกล้าสังหารผู้บัญชาการของกองทัพได้ยังไง ทั้งยังกล้าวางคนของตัวเองไว้ข้างกายชิ่งอวิ่นด้วย!”

ชิ่งเจิ่นยิ้ม กล่าวย้ำ “เลขาโจว ฉันอาจจะวางคนไว้ข้างกายคุณด้วยก็ได้นะ”

เลขาโจวหวาดผวาวิ่งออกจากกองบัญชาการไปขึ้นรถทันที เขาไม่กล้าพาพลขับไปด้วยซ้ำ ได้แต่ขับรถกลับด้วยตัวเอง

“สงบได้สักที” หลัวหลานหัวเราะลั่น “เราจะสู้สงครามนี้ไงดี”

ชิ่งเจิ่นว่า “จัดการกิจการภายในก่อน” หลังจากมองโต๊ะทรายแล้ว ก็ว่า “เสริมกำลังที่แนวป้องกันก่อน อย่าเพิ่งกระจายกำลังไปที่เขาต้าผิง พลลาดตระเวนบนสนามรบก็ทำหน้าที่ต่อไป กันไม่ให้สมาคมตระกูลหลี่และหยางซุ่มโจมตี อาวุธหนักคงใช้งานไม่ได้มากบนภูเขา และถนนหนทางของพวกเขาก็ไม่ดีเท่าเรา ดังนั้นให้ระวังทหารนาโนแมชชีนของทั้งสองสมาคมก็พอ”

ชิ่งเจิ่นสั่งการต่อ “ถึงพวกเรายังไม่เห็นว่าทหารนาโนแมชชีนหน้าตาเป็นแบบไหน แต่พวกเราถือเป็นเป้าหมายน่าเพ่งเล็ง ถึงยังไงเราก็เป็นสมาคมเดียวที่ไม่มีทหารนาโนแมชชีน ถ้าเราเผยจุดอ่อนก่อน สงครามคงได้ลำบากแล้วล่ะ ดังนั้นที่เราต้องทำไม่ใช่ไปบุกคนอื่น แต่คือการไม่ทำอะไรพลาดต่างหาก”

กระดานหมากนี้มันใหญ่เกินไป มีแต่ผู้ที่ทำพลาดน้อยที่สุดถึงจะอยู่ได้นานที่สุด

ชิ่งเจิ่นมองหลัวหลาน “ฉันอยากให้นายไปเจรจากับสมาคมตระกูลหยางพรุ่งนี้ บอกเขาว่าพวกเราจะจัดการสมาคมตระกูลหลี่ก่อน”

หลัวหลานพยักหน้า ก่อนจะได้ยินชิ่งเจิ่นกล่าวกับอีกคนว่า “ฉันอยากให้นายไปเจรจากับสมาคมตระกูลหลี่ บอกเขาว่าพวกเราจะช่วยทำลายแนวป้องกันของสมาคมตระกูลหยางที่เขาผิงซานให้ เดินทางทันที ถ้านายเจรจาสำเร็จ กลับมาแล้วฉันคงจำผลงานของนายได้ดีเชียวล่ะ”

ถึงคนผู้นี้จะเป็นคนสนิทของชิ่งอวิ่น ชิ่งเจิ่งไม่ลงมือสังหาร กลับมอบภารกิจสำคัญให้

หลังจากเขาออกไปแล้ว หลัวหลานก็กดเสียงต่ำถาม “ทำไมไม่ให้ฉันไปสมาคมตระกูลหลี่แทนล่ะ”

“เพราะสมาคมตระกูลหลี่สติสตังไปหมดแล้วน่ะสิ” ชิ่งเจิ่นว่าเสียงค่อย “อีกอย่างที่นั่นมีคนบ้าของแท้อยู่ด้วย ใครไปหาได้ตายแน่”

หลัวหลานเข้าใจแล้ว ชิ่งเจิ่นรู้แต่แรกว่าอย่างไรก็ไม่อาจร่วมมือกับสมาคมตระกูลหลี่ได้ การส่งคนสนิทของชิ่งอวิ่นไปยังสมาคมตระกูลหลี่ ก็เหมือนส่งเขาไปตายนั่นแหละ

ชิ่งเจิ่นพูด “แถมตอนนี้เขาน่าจะกลัวถึงกระดูกแล้วมั้ง กำลังทหารที่นำไปต้องเป็นคนที่เขาเชื่อใจที่สุด น่าจะเป็นคนวงในของชิ่งอวิ่นด้วย ส่งพวกเขาไปสมาคมตระกูลหลี่ ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายด้วยตัวเองแล้ว”

หลัวหลานตาทอประกาย “โคตรฉลาด!”

ชิ่งเจิ่นพลันถอนหายใจ “ถ้าฉันคิดผิดแล้วล่ะ”

หลัวหลานผงะ “นายคิดอะไรผิดเหรอ”

ชิ่งเจิ่นมองหลัวหลาน “ที่จริงฉันเป็นแค่คนฉลาดคนเดียวของที่นี่ นายไม่นับ…”

หลัวหลาน “???”

จากนั้นชิ่งเจิ่นก็หันไปหานายทหารคนอื่นๆ “คิดวิธีปกป้องแนวป้องกันเราเป็นหลัก ฉันอยากเห็นกลยุทธ์มาวางบนโต๊ะทรายพรุ่งนี้เช้า”

มีคนลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ทหารชั้นยอดของพวกเราถูกส่งไปที่เขตของสมาคมตระกูลหลี่แล้วครับ ชิ่งอวิ่นมีแผนจะไปขัดขวางกองพันเทพยนต์ของสมาคมตระกูลหลี่ จากข้อมูลที่ได้มากองพันเทพยนต์ประมาทเกินไปถึงเคลื่อนไหวเป็นเอกเทศโดยไม่ร่วมมือกับกองกำลังอื่น ดังนั้นชิ่งอวิ่นเลยคิดใช้โอกาสนี้กำจัดภัยแต่เนิ่นๆ”

ชิ่งเจิ่นผงะ “เขาส่งกำลังออกไปตอนไหน แล้วตอนนี้อยู่ไหนกันแล้ว”

“ส่งไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว พวกเขากำลังมุ่งไปยังแนวหน้าที่เขาเฟิ่งอี๋กับเขาชวงหลง” นายทหารว่า

ชิ่งเจิ่นเอ่ย “เรียกพวกเขากลับมา ตอนนี้ยังไม่ต้องเคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น”

นายทหารคนนั้นอึกอัก ก่อนจะว่า “ผมคิดว่าไม่ทันแล้วครับ”

พวกเริ่นเสี่ยวซู่กำลังเดินตามป่าอยู่บนเขา หิมะบนพื้นยังไม่ละลายเพราะบนเขาอากาศหนาวเย็นนัก สภาพอากาศแบบนี้เดินทางยากมาก แถมหิมะตกอีกรอบด้วย

หลี่ชิงเจิ้งสูดน้ำมูก “ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้นะ ตอนนั้นคงหาที่หลบซ่อนตัวแล้ว นึกว่าหลังจากร่วมกองกำลังส่วนตัวจะมีแต่ความสุข แต่ชีวิตตอนนี้หนักกว่าเดิมอีก…ฉันล่ะคิดถึงชีวิตอันอิสระเสรีที่ป้อมสังเกตการณ์เสียจริง!”

ทหารที่อยู่ข้างเขามาจากหน่วยอื่น ถามอย่างสงสัยว่า “ป้อมสังเกตการณ์พวกนายสบายมากเลยเหรอ ทำไมพวกเรามันโคตรเศร้าเลยล่ะ”

หลังได้ยินคนโพล่งถามมาแบบนี้หลี่ชิงเจิ้นหุบปากทันที เขาบอกคนอื่นๆ ไม่ได้ว่ามีหมาป่าคอยส่งเนื้อสัตว์มาให้ถึงป้อมสังเกตการณ์หรอก

พายุหิมะหนักขึ้นเรื่อยๆ เริ่นเสี่ยวซู่แหงนหน้ามองฟ้า “บนป่าเขาหิมะตกหนักแบบนี้ ปกติแล้วจะตกอย่างน้อยเป็นสัปดาห์ พวกเราเคลื่อนตัวต่อไม่ได้แล้ว ถ้ายังเดินทางต่อ พวกเราได้หลงทางแน่”

กองพันเทพยนต์ที่นำหน้าอยู่หันมามอง “จะกลัวอะไร พวกเรามีจีพีเอสอยู่ ไม่หลงทางหรอกน่า! ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่ง พวกเราจะเดินทัพต่อไป!”

หลังจากผู้บัญชาการของกองพันเหล็กที่สองถูกทุบตี ก็ไข้ขึ้นสูงยังไม่ได้สติ พอไม่มีเขาแล้ว ก็ไม่มีใครในกองพันเหล็กที่สองมีปากเสียงอีก ดังนั้นทุกคนได้แต่ทำตามคำสั่งกองเทพยนต์และเดินทัพต่อไป

ถึงตัวตนของเริ่นเสี่ยวซู่จะพิเศษมาก แต่ทหารจากกองพันเทพยนต์คุยกับเขาเรื่องนี้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าแผนการพวกเขาล่มคงไม่มีใครแบกรับไหวแน่ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะมีสถานะคนของกองสืบสวนพิเศษ ก็ไม่อาจละเมิดคำสั่งทหารได้อยู่ดี

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ตอนนี้คิดว่าไหนๆ เขาเคยละเมิดอำนาจกองตรวจสอบด้วยการไปสืบสวนการค้าของเถื่อนแล้ว จะทำงานของกองพันเทพยนต์ด้วยก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก…

ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset