แต่ตัวอยู่ในรถอสูรในยามนี้ แน่นอนว่าย่อมศึกษาไม่สะดวก
หานลี่จึงทำได้เพียงฝืนระงับความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้ เก็บกล่องหยก นั่งสงบจิตสงบใจทำสมาธิอยู่บนรถ
สองสามชั่วยามต่อมา รถอสูรมาก็ถึงตีนเขา
หานลี่ลงจากรถ โยนศิลาวิญญาณก้อนหนึ่งให้พลขับอย่างส่งๆ แล้วบินขึ้นภูเขาไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
ถ้ำพำนักของเขาอยู่ตรงสันเขา และผู้บำเพ็ญเพียรชนต่างเผ่าคนอื่นๆ บนภูเขาไม่ออกไปด้านนอกตลอดทั้งปี ก็ต้องฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักอยู่ในถ้ำพำนัก ดังนั้นแม้ว่าภูเขาลูกนี้จะไม่เล็ก ปกติแล้วก็ไม่ค่อยมีเงาร่างมากนัก
แต่ครั้งนี้เมื่อลำแสงหลีกหนีของหานลี่หม่นแสงลงปรากฏตัวที่สันเขา กลับพบแขกที่ไม่ได้รับเชิญสองท่านอยู่หน้าถ้ำพำนักของตน
หนึ่งในนั้นเป็นชายชราสวมชุดสีแดง อายุหกสิบกว่าปีที่เพิ่งจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ใช้น้ำเต้าสีแดงสดดูดซับพลังปราณฟ้าดินทั้งหมดของต้นกำเนิดกิเลนเที่ยงแท้ที่สูญเสียการควบคุมจากเขาไปนามว่า ‘ตัวประหลาดเฒ่าสวี่’
ยามนี้ตรงเอวของเขามีน้ำเต้าผลนั้นแขวนอยู่
เมื่อหานลี่มาปรากฏกาย เขาก็นั่งสมาธิอยู่หน้าประตูหินของถ้ำพำนักพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาหมดจดอายุสิบสี่สิบห้าปี
หานลี่เห็นเช่นนี้พลันได้สติ แน่นอนว่าย่อมเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงการกลับมาของเจ้าของ ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ ประสานสายตากับหานลี่ที่มองมาอย่างพอดิบพอดี
“นายท่านคือสหายหานที่เพิ่งย้ายเข้ามาสินะ” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เบะปากเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว ข้าคือผู้แซ่หาน สหายสวี่มาปรากฏตัวที่นี่ หรือว่ามาหาข้าน้อยโดยเฉพาะ” หานลี่เก็บสีหน้าตกตะลึง ปากพลันตอบกลับอย่างเกรงใจ
อีกฝ่ายทำให้ชนต่างเผ่าระดับเดียวกันทั้งภูเขาวิญญาณหวาดกลัว แน่นอนว่าย่อมมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย เขาจึงไม่อยากไปล่วงเกินคนผู้นี้อย่างเปล่าประโยชน์
“หึๆ ใช่แล้ว ผู้แซ่สวี่มาเยี่ยมเยียนสหาย ผู้นี้คือทายาทสายตรงของข้าน้อย รีบคารวะสหายหานเร็วเข้า” นอกเหนือความคาดหมายของหานลี่ ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ผู้นี้หัวเราะร่า แล้วแนะนำชายหนุ่มหน้าตาหมดจดข้างกาย และออกคำสั่งสำทับ
“ชนรุ่นหลังสวี่หลุนเสียงคารวะท่านอาวุโสหาน” ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดได้ยิน ก็สาวเท้าก้าวเข้ามาข้างหน้า เอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส
“หลานไม่ต้องมากพิธีหรอก” หานลี่กวาดจิตสัมผัสไปบนร่างของชายหนุ่ม คาดไม่ถึงว่าจะเทียบเท่ากับระดับยอดสุดของระดับสร้างปราณในเผ่ามนุษย์ และเกือบจะบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว
จากอายุของชายหนุ่มผู้นี้ นับว่ามีพรสวรรค์เหนือชั้น
“การมาเยี่ยมเยือนของตาเฒ่า สหายหานคงไม่ได้รู้สึกว่าบุ่มบ่ามเกินไปหน่อยกระมัง” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะ
“ผู้แซ่หานจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร สหายสวี่มาเยี่ยมถึงเรือนได้ ย่อมเป็นโชคดีของผู้แซ่หาน หากไม่ใช่สองสามวันมีธุระต้องออกไปพอดี ก็น่าจะได้ต้อนรับสหายตั้งนานแล้ว มา พี่สวี่ เข้าไปพักในถ้ำพำนักเถิด” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลง และยิ่งไปกว่านั้นยังสะบัดแขนเสื้อไปทางประตูถ้ำพำนักขณะเอ่ย
หมอกสีเขียวม้วนวนออก ชั่วขณะนั้นประตูหินพลันเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ด้านในเผยทางเดินสีขาวโพลนออกมา พื้นดินปูด้วยหยกงามสีเขียว
ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เองก็ไม่เกรงใจ เอ่ยปากขอบคุณ พาชายหนุ่มเดินตามหานลี่เข้าไปข้างใน
เมื่อเข้าไปในถ้ำพำนัก หานลี่พลันแผ่จิตสัมผัสออก เชื่อมโยงกับจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สองที่ให้รักษาการณ์อยู่ทันที
หลังจากได้รู้ว่าสามวันนี้นอกจากตัวประหลาดเฒ่าทั้งสองที่มาหาแล้ว ในถ้ำพำนักก็ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นอีก เขาจึงวางใจ พาตัวประหลาดเฒ่าสวี่และพวกทั้งสองคนไปที่ห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลังจากรักษามารยาทรอบหนึ่ง ตัวประหลาดเฒ่าสวี่และหานลี่ก็แยกกันนั่งตรงตำแหน่งหลัก ชายหนุ่มกลับยืนประสานมือกันอยู่ด้านหลังตัวประหลาดเฒ่าสวี่อย่างเงียบๆ
“ไม่ปิดบังสหายหาน เดิมผู้แซ่สวี่กักตนมาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานถึงได้ออกจากการกักตนมา หลังจากออกจากการกักตน ก็ได้ยินว่าในภูเขาวิญญาณมีสหายย้ายมาพักใหม่ ได้ยินว่าถ้ำพำนักของพี่หานเป็นอาวุโสเชียนจีจื่อของเผ่าหมื่นโบราณเป็นผู้ออกคำสั่งจัดการด้วยตัวเอง สหายและท่านอาวุโสเชียนจีจื่อมีที่มาเดียวกันหรือ?” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เพิ่งนั่งลง ก็เอ่ยถามสิ่งที่ทำให้หานลี่รู้สึกประหลาดใจด้วยรอยยิ้ม
“หึๆ ข้าน้อยเป็นชาวนอกเผ่า ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับท่านอาวุโสเชียนจีจื่อ แค่ยี่สิบสามสิบปีก่อนข้าน้อยบังเอิญมีบุญคุณกับสหายอีกคนในเผ่าหมื่นโบราณ และสหายผู้นี้ก็มีความเกี่ยวข้องกับท่านอาวุโสเชียนจีจื่อเท่านั้น” แววตาของหานลี่เปล่งประกาย พลางตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ก็เพียงพอแล้ว แม้ว่าเผ่าหมื่นโบราณจะมีตำแหน่งไม่ต่ำต้อยในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์ ท่านอาวุโสเชียนจีจื่อเองก็เป็นอาวุโสของเผ่าหมื่นโบราณ ขอแค่เขาเอ่ยปากคำเดียว ก็เพียงพอจะรับประกันว่าพี่หานจะปลอดภัยในเมืองเมฆาแล้ว” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่หัวเราะร่าออกมาขณะเอ่ย
หานลี่ได้ยินก็แค่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ
เขารู้ดีอยู่แก่ใจ คนผู้นี้มาหาถึงที่จะต้องมีสาเหตุอื่นแน่ จากนี้ถึงจะเป็นเนื้อหาที่แท้จริง
ดังคาดตัวประหลาดเฒ่าสวี่หยุดหัวเราะ หน้าเปลี่ยนสีเป็นจริงจังพลางเอ่ยขึ้น
“ความจริงแล้วที่ตาเฒ่ามาโดยไม่บอกกล่าวครั้งนี้ ก็เพราะมีเรื่องอยากสอบถามสหาย หากมีจุดที่สะเพร่าก็หวังว่าพี่หานจะให้อภัย”
หานลี่ได้ยินคำนี้ก็รู้สึกระมัดระวังขึ้นสามส่วน แต่ปากกลับตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เหตุใดพี่สวี่ต้องเกรงใจเพียงนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราทำทุกอย่างเพราะมีผลประโยชน์กันทั้งนั้น สหายมีเรื่องอันใด ก็เอ่ยมาเถิด หากผู้แซ่หานรู้ จะต้องบอกอย่างไม่ปิดบัง”
“สหายหานกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่สวี่ก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว” ใบหน้าของตัวประหลาดเฒ่าสวี่อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วประสานมือคารวะอีกครั้ง
หลังจากที่เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ถึงได้เอ่ยปากอย่างเคร่งขรึมว่า
“สองสามวันก่อนที่มีปรากฏการณ์บนภูเขาของพวกเรา รวบรวมปรากฏการณ์สวรรค์ที่น่าตกตะลึงนั้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสหายหานหรือไม่?” ในเวลาเดียวกันที่ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ถามคำนี้ แววตาพลันฉายแวววาวโรจน์ จ้องเขม็งไปยังหานลี่อย่างไม่กะพริบตา
หานลี่ได้ฟังพลันใจหายวาบ แต่กลับไม่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แม้กระทั่งกลับยิ้มแล้วถามย้อนกลับ
“เหตุใดสหายถึงคิดว่าปรากฏการณ์สวรรค์วันนั้นเกี่ยวข้องกับผู้แซ่หาน?”
“ง่ายมาก แม้ว่าปรากฏการณ์สวรรค์นั้นจะมีพลังปราณฟ้าดินที่น่าตกตะลึง แต่ใจกลางตรงจุดที่ระเบิดออก ผู้แซ่สวี่ย่อมคาดคะเนได้สองสามส่วน และยิ่งไปกว่านั้นวันนั้นเป็นเพราะข้าน้อยร้อนใจออกจากถ้ำพำนัก จึงได้เห็นลำแสงสีทองสายหนึ่งบินออกมาจากฉากใกล้ๆ กับถ้ำพำนักของสหาย” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่กลับไม่ปิดบังเลยสักนิด พลางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
หานลี่ได้ฟัง ก็ขมวดคิ้วมุ่น แต่ทันใดนั้นก็คลายออกแล้วฉีกยิ้มขณะเอ่ย
“ในเมื่อสหายสวี่มาถึงที่นี่แล้ว ผู้แซ่หานก็จะไม่มีปิดบัง ปรากฏการณ์สวรรค์วันนั้นข้าน้อยก่อขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณสหายที่สลายพลังปราณฟ้าดินในวันนั้นไปจนเกลี้ยง มิเช่นนั้นจากพลังยุทธ์ของข้าน้อย คิดจะขจัดปรากฏการณ์สวรรค์ คงต้องเสียแรงอีกมาก”
“ที่แท้สหายหานก็เป็นคนดึงดูดปรากฏการณ์สวรรค์เหล่านั้น ช่างดีเหลือเกิน ไม่ทราบว่าพี่หานมั่นใจว่าจะรวบรวมพลังปราณฟ้าดินแบบเดียวกันได้อีกครั้งหรือไม่” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ได้ยินหานลี่ไม่ปฏิเสธ ทันใดนั้นก็รู้สึกดีใจ และเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“รวบรวมพลังปราณฟ้าดินอีกครั้ง? เหตุใดสหายถึงถามเช่นนี้ อธิบายให้ผู้แซ่หานฟังได้หรือไม่” หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“นั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ สหายหานรู้หรือไม่ว่าข้าน้อยอยู่ในสังกัดเผ่าใดในสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่พลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงแหบแห้งขณะเอ่ย
“เรื่องนี้…ข้าน้อยพลังยุทธ์ตื้นเขิน จึงดูไม่ออกจริงๆ” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง มองอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ที่อยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะรูปกายภายนอกก็แทบจะไม่ต่างอันใดกับเผ่ามนุษย์ธรรมดาๆ ช่างดูลักษณะพิเศษของชนต่างเผ่าไม่ออกเลยจริงๆ
“พี่หานดูไม่ออกก็ไม่แปลก เพราะว่าเผ่าเมฆาของพวกเรา เดิมก็เชี่ยวชาญการอำพรางกายอยู่แล้ว ต่อให้ผู้ที่อยู่ระดับสูงกว่าพวกเราสองสามขั้น ขอแค่พวกเราจงใจเก็บกลิ่นอาย ก็ไม่อาจแยกแยะได้เช่นกัน แต่แค่ตาเฒ่าเป็นตัวประหลาดในเผ่า กลับฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุเพลิงอาทิตย์ เทียบกับระดับเดียวกันในเผ่า การแปลงกายกลับไม่เพียงพอ สหายที่อยู่ที่ภูเขาแห่งนี้มานานย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางของตาเฒ่า” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่หัวเราะออกมา
“เผ่าเมฆา? คือเผ่าที่มีอยู่น้อยมากในสิบสามเผ่า แต่จัดอยู่ในสามอันดับแรก” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี พลันตกตะลึงขึ้นมาจริงๆ
เขาเคยได้ยินความลับของสิบสามเผ่าเมฆาสวรรค์มาแล้ว
“หึๆ ดูแล้วพี่หานคงรู้จักเผ่าเมฆาของพวกเราไม่น้อย เผ่าเมฆาและเผ่าผลึกของพวกเรานับว่าเป็นเผ่าที่มีอยู่น้อยที่สุดในสิบสามเผ่า แต่เผ่าผลึกนั้นไม่เหมือนกัน เผ่าเมฆาของพวกเรามีกำลังกายไม่อ่อนแอ ทั้งเผ่าไม่เคยอยู่เลยสามอันดับแรกในสิบสามเผ่า” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
“เสียมารยาทจริงๆ ผู้แซ่หานเพิ่งเคยเห็นเผ่าของท่านเป็นครั้งแรก” หานลี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะเอ่ย
“ไม่เป็นอันใด แม้ว่าเผ่าของพวกเราจะมีประชากรไม่มาก แต่ในเมืองเมฆาก็มีคนอยู่ไม่น้อยจริงๆ แต่แค่ไม่ค่อยแสดงฐานะต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น แม้กระทั่งเผ่าอื่นๆ ที่เจ้ารู้จักก็อาจจะเป็นคนของเผ่าเมฆาของพวกเราที่แปลงกายมา” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เอ่ยอย่างมีเลศนัย
หานลี่ได้ยินกลับรู้สึกหมดคำพูด
“ทว่า แม้ว่าเผ่าเมฆาของพวกเราจะมีชื่อเสียงด้านการแปลงกาย แต่ความจริงแล้วอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงของพวกเรา กลับเป็นพรสวรรค์อีกอย่างหนึ่ง สหายหานน่าจะเคยได้ยินมาสินะ” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ระงับสีหน้าพึงพอใจ พลางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
“อสูรเมฆาประจำกาย!” หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยออกมา ก็เอ่ยปากออกไปแล้ว
“ใช่แล้ว ก็คืออสูรวิญญาณและอสูรเมฆาประจำกายที่แปลงกายนั่น เผ่าของเรามีเพียงต้องฝึกฝนอสูรเมฆาของตนเอง ถึงจะนับว่าเป็นเผ่าเมฆาที่แท้จริง” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่เอ่ยอย่างแช่มช้า
“อืม ข้าน้อยเองก็ได้ยินมาตำนานอสูรเมฆาประจำกายของเผ่าท่าน ว่ากันว่าหากเผ่าของท่านฝึกฝนอสูรเมฆาได้ ไม่เพียงจะเทียบเท่ากับมีร่างแยกที่มีอิทธิฤทธิ์เท่ากับตนเองเพิ่มขึ้นมาร่างหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นในยามคับขันยังรวมร่างกับอสูรวิญญาณได้ กลายเป็นจิตวิญญาณยักษ์อสูรเมฆาในตำนาน หากเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงพลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ที่เดิมไม่อาจสำแดงออกมาได้ได้อีกด้วย สหายกล่าวเรื่องนี้กับข้าน้อย หรือว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอสูรเมฆาประจำกายของสหาย?” หานลี่ลูบใต้คางเอ่ยด้วยท่าทีครุ่นคิด
“สหายช่วงดวงตาเฉียบแหลมนัก เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอสูรเมฆาจริงๆ แต่ไม่ใช่อสูรเมฆาของตาเฒ่า แต่เกี่ยวข้องกับอสูรเมฆาประจำกายของชนรุ่นหลังผู้นี้” ตัวประหลาดเฒ่าสวี่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ แต่ชี้ไปที่ชายหนุ่มด้านหลังขณะเอ่ย