และในตอนนั้นเองกลางอากาศที่มืดสนิทก็มีลำแสงสีขาวเป็นสายๆ ปรากฎขึ้น ทันใดนั้นก็สลายออกกลายเป็นจุดลำแสงสีขาวนวลร่อนลงมาบนพื้น
แทบจะในเวลาเดียวกันผิวของอสูรน้อยก็เปลี่ยนไป กลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
จากนั้นร่างของอสูรน้อยก็มีกลิ่นหอมประหลาดโชยมา ทำให้ผู้คนที่ได้กลิ่นอดที่จะน้ำลายสอไม่ได้ ราวกับว่าร่างเล็กๆ ของอสูรเกล็ดมิคาทนกลายเป็นสิ่งหอมหวานที่หายากในใต้หล้าอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋ปี้และพวกที่เดิมทีกำลังสงสัยท่าทางของหานลี่และอสูรน้อย ได้กลิ่นนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
“กลิ่นเนื้อนิพพาน! พี่หาน อสูรวิญญาณของเจ้าจะพัฒนาระดับแล้ว” ไป๋ปี้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ข้าน้อยเกรงว่าคงจะต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่สักวันนึง” หานลี่ลูบไปบนอสูรน้อยสองครั้ง แล้วหยัดกายลุกขึ้นพยักหน้า
“อสูรวิญญาณพัฒนาระดับย่อมเป็นเรื่องดี แต่มาเกิดขึ้นในนี้ คงไม่ใช่เรื่องเล็ก กลิ่นหอมนี้โชยออกไป เกรงว่าปีศาจทั้งแดนน้ำแข็งทมิฬคงกรูกันเข้ามา หากไม่ระวังมีปีศาจระดับสูงปรากฎขึ้น เกรงว่าพวกเราคงตกอยู่ในอัตรายแล้ว” ไป๋ปี้มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี พี่ไป๋อยากให้ข้าทิ้งอสูรวิญญาณของตนเองแล้วหนีไปหรือ?” แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ พลางเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนานั้น แค่…” เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ของหานลี่ ไป๋ปี้ก็รีบร้อนปฏิเสธ และคิดจะอธิบายอะไรได้ แต่หานลี่กลับโบกมือตัดคำพูดต่อมาของเขา
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดอย่างไร หากพวกเจ้าคิดว่าอันตรายก็ไปได้ แต่ข้าจะไม่ไปไหน” หานลี่มีท่าทีแข็งกร้าว
เมื่อได้ฟังหานลี่กล่าวเช่นนี้ ไป๋ปี้เหลยหลันและพวกต่างก็มองสบตากัน อดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาไม่ได้
พวกเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับท่าทางเช่นนี้ของหานลี่เลย
หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาอสูรวิญญาณตัวหนึ่งกำลังจะพัฒนาระดับขั้นก็ต้องคอยดูแลมัน ไหนเลยจะทิ้งไปได้ง่ายๆ
หานลี่ในครานี้กลับไม่สนใจคนที่เหลืออีกสามคนอีก แค่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของตนเองเท่านั้น
อสูรน้อยจะพัฒนาระดับนั้นอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ช่วงเวลานี้ขอแค่ปีศาจที่อยู่ในบริเวณนี้ได้กลิ่นก็อาจจะดึงดูดมันมาได้ แน่นอนว่าที่นี่คือแดนน้ำแข็งทมิฬ ย่อมเป็นที่ที่มีปีศาจน้ำแข็งทมิฬมากที่สุด
ร่างกายของหานลี่เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ชั่วครู่ก็พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ มือหนึ่งปัดไปที่ย่ามเก็บของ จานอาคมเป็นตั้งๆ ปรากฎขึ้นในมือ
ชูมือหนึ่งขึ้น!
ลำแสงยี่สิบสามสิบสายพุ่งออกไปรอบทิศทาง จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทยอยกันจมหายไปกลางอากาศ
เสียง “ครืนๆ” ดังขึ้นจากพื้นดินรอบๆ เสาลำแสงสีแดงสิบสายทะลุออกมาจากใต้ชั้นน้ำแข็ง ทันใดนั้นเขตอาคมขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้งพลันปรากฎขึ้นบนผิวน้ำแข็ง
ด้านในเขตอาคมมีอักขระประหลาดเรียงรายอยู่เต็มไปหมด อักขระสีแดงลอยวนเวียนไปมาไม่หยุด
กลิ่นอายร้อนฉ่าแผ่ออกไปรอบๆ แฝงไว้ด้วยกลิ่นไหม้จางๆ
นี่คือยุทธภัณฑ์เขตอาคมธาตุไฟชุดหนึ่งที่หานลี่เสียศิลาวิญญาณจำนวนไม่น้อยซื้อมาจากเมืองเทวะสวรรค์ มันสามารถสร้างเขตอาคมต้องห้ามที่มีชื่อว่า ‘เขตอาคมเพลิงมอดสิบผืน’
เขตอาคมนี้มีพลานุภาพไม่น้อย หากวางลงไปแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงเข้ามาในเขตอาคม ก็ยังไม่อาจทลายออกได้ไป
หากเป็นปีศาจธาตุน้ำแข็งที่เย็นเยียบซึ่งเป็นธาตุที่ด้อยกว่า ก็ยิ่งมีอานุภาพที่น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
ทว่าไม่ใช่แค่นี้สองมือของหานลี่พลันร่ายอาคม กระบี่เล่มเล็กสีทองทั้งเจ็ดสิบสองเล่มพลันพุ่งออกมาจากจุดต่างๆ ของร่างกาย แล้วพลันบินไปเหนือศีรษะในเวลาเดียวกัน กลายเป็นกระบี่ลำแสงสองสามร้อยเล่มที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วท่ามกลางเสียงหึ่งๆ
หานลี่พลันบริกรรมคาถา ชี้ไปยังกระบี่ลำแสงที่ทอตัวอยู่กลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีทองสองสามร้อยสายพลันแตกกระจายออกรอบๆ หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็สลายหายไปกลางอากาศ
คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะวางเขตอาคมมหากระบี่ทองคำของตัวเองลงในเขตอาคมอีก
จากพลังยุทธ์ระดับยอดสุดของระดับเทพแปลงของเขาในตอนนี้ วางเขตอาคมกระบี่ลงไปแล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสูญขั้นปลายเข้ามาก็ไม่อาจโชคดีรอดพ้นได้ ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมร่างนั้นก็อาจจะถูกดึงพลังไปสองสามส่วน แต่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก มีเพียงต้องลองทดสอบดูถึงจะรู้
หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หานลี่ก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศในเขตอาคม สองตาหรี่ลงพลางขบคิดอะไรสักอย่าง แล้วสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง
เปลวเพลิงสีเงินกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากเปล่งเสียงร้องเพรียกก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่ง หมุนวนกลางอากาศ แล้วเปล่งเสียง “สวบ” คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปใต้ชั้นน้ำแข็งอย่างไร้เงา
จากนั้นหานลี่ถึงได้ยกมือขึ้นปล่อยรถวิญญาณสามเหลี่ยมที่เคยใช้ไปออกมา
ทำให้รถคันนี้ลอยนิ่งอยู่กลางเขตอาคม ส่วนตัวเองก็นั่งสมาธิอยู่ในรถ หลับตาทั้งสองข้างลง
ครานี้อสูรน้อยที่อยู่ด้านล่างถูกลำแสงสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ข้างใน ในเวลาเดียวกันก็แผ่กลิ่นอายที่หอมหวานมากกว่าเดิมออกมา แม้ว่าหานลี่จะวางเขตอาคมต้องห้ามเอาไว้ขนาดนี้ แต่ก็ไม่อาจกลบกลิ่นอายของมันได้เลยสักนิด
กลิ่นหอมของมันช่างเย้ายวนนัก แผ่ออกไปท่ามกลางความมืดมิดอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เหลยหลันและพวกทั้งสามพูดคุยกันเบาๆ รอบหนึ่ง ก็ยังบินเข้ามาอย่างว่าง่าย แล้วยืนอยู่บนรถวิญญาณ
สามคนนี้ล้วนไม่อยากเข้าไปสู่การโจมตีที่บ้าคลั่งของปีศาจ แต่จากอันตรายก่อนหน้า หากไม่มีหานลี่คอยปกป้องนั้น ไม่ต้องพูดถึงการตามหาผลเพลิงยมโลกเลย เกรงว่าแม้แต่ชั้นที่สามก็ยังเข้าไปได้ยาก
เช่นนั้นทั้งสามคนจึงทำได้เพียงทำใจดีสู้เสือเท่านั้น
โชคดีที่หานลี่เตรียมทุกอย่างไว้อย่างเพียงพอ ประกอบกับที่หานลี่มักจะเป็นผู้ที่ลึกล้ำยากจะคาดเดาในความคิดของพวกนาง ขอแค่ไม่มีปีศาจที่แข็งแกร่งเกินไปปรากฎตัว เสียเวลาไปสักวันก็ไม่ใช่ว่าจะรับไม่ได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ลำแสงสีขาวนวลลดระดับลงมามากขึ้นเรื่อยๆ กลืนกินร่างของอสูรน้อยเอาไว้ข้างในจนมองไม่เห็น
อสูรเกล็ดมิคาทนที่แต่เดิมเงียบกริบ พลันเปล่งเสียงร้องคำรามเบาๆ ในลำแสงสีขาว ดูเหมือนว่าจะกำลังข้ามผ่านความเจ็บปวดอะไรสักอย่าง
“อสูรวิญญาณพัฒนาระดับไม่เหมือนกับพวกเรา ทุกครั้งล้วนทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าคนเผ่าวิญญาณเหาะเหินอย่างพวกเรา” ฉินเสี่ยวมองไปยังลำแสงสีขาวเบื้องหน้าแล้วเอ่ยพึมพำม
“กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ผิดแต่ความเจ็บปวดจากการชำระไขกระดูกนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะเทียบเทียมได้” เหลยหลันเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มจางๆ
ไป๋ปี้กลับมองไปยังแดนน้ำแข็งอันมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ครานี้รอบด้านดูจะเงียบสงัดเกินไปหน่อยกระมัง นอกจากเสียงวายุหวีดหวิวแล้ว ก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก ส่วนกลิ่นหอมที่แผ่ออกมาจากร่างของอสูรน้อยก็แผ่ไกลออกไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้ว ไกลออกไปยังพอว่า แต่ปีศาจในระยะร้อยลี้ ไม่อาจไม่ได้กลิ่นหอมนี้ได้
ไป๋ปี้ขบคิดเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกไม่ปลอดภัย อดที่จะหันหน้าไปมองหานลี่แวบหนึ่งไม่ได้
หานลี่หลับตาทั้งสองข้าลง สีหน้าราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง
แววตาของไป๋ปี้เปล่งแสงสว่างวาบ ริมฝีปากกำลังจะขยับคิดจะเอ่ยอะไรนั้น หานลี่กลับเบิกตาขึ้น แววตาเปล่งประกายระยิบระยับ!
แทบจะในเวลาเดียวกัน บางแห่งในความมืดมิดมีเสียงซ่าๆ ดังมา ดูเหมือนว่าของจำนวนนับไม่ถ้วนจะกำลังทะลักมาทางนี้
ครานี้ไม่เพียงไป๋ปี้ที่หน้าเปลี่ยนสี กำลังพูดคุยกับเหลยหลันและฉินเสี่ยวทีปิดปากเงียบเบาๆ และมองไปทางนั้นเช่นกัน
เห็นเพียงไกลออกไปมีลูกตาสีแดงสดสองสามคู่ปรากฎขึ้น จากนั้นเงาดำๆ ขนาดสองสามฉื่อฝูงใหญ่พลันทอยยกันกระโจนออกมาจากความมืดมิด
พวกมันมีเรือนกายสีดำเป็นประกาย แขนขาเคลื่อนไหว เสียงซ่าๆ ดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นแมงมุมน้ำแข้งหน้าตาโหดเ**้ยมฝูงใหญ่!
มองปราดไปฝูงแมงมุมคาดไม่ถึงว่าจะเรียงตัวทอดยาวไปจนสุดลูกหูลูกตา ชั่วพริบตาก็เรียงรายอยู่เต็มพื้นน้ำแข็ง
ทว่าปีศาจน้ำแข็งทมิฬระดับต่ำสุดเหล่านี้ล้วนไม่ต้องให้หานลี่ลงมือ ฉินเสี่ยวของเผ่าราตรีเขียวก็เปล่งเสียงร้องออกมา สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวสิบกว่าสายพลันบินออกมา ร่อนลงไปหาฝูงแมงมุม
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น ชั่วขณะนั้นท่ามกลางฝูงแมลงพลันมีหุน่เชิดไม้สูงสองสามจั้งสิบกว่าตัวปรากฎขึ้น
หุ่นเชิดเหล่านี้ดูเหมือนกิ้งก่ายักษ์ ไม่เห็นว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวใดๆ ร่างกายเตี้ยๆ ก็อ้าปากออก พ่นเสาลำแสงสีเขียวออกมา
ทุกจุดที่ลำแสงสีเขียวกวาดผ่านไป แมงมุมน้ำแข็งทั้งหมดก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับหิมะที่ละลายในฤดูใบไม้ผลิ คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานาลำแสงนี้ได้เลยสักนิด
หุ่นเชิดเหล่านี้ยืนเรียงแถวกัน ชั่วพริบตาพลันสะบัดหัวไปซ้ายทีขวาที ทำให้แมงมุงน้ำแข็งที่อยู่ไกลออกไปไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้แต่ก้าวเดียว ซากแมงมุมนับพันตัวเรียงรายอยู่บนพื้น ชั่วพริบตากองแมงมุมก็หนาขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าจำนวนของแมงมุมน้ำแข็งเหล่านี้ไม่มากนัก แม้ว่าลำแสงสีเขียวเหล่านี้จะแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่ดาหน้ากันเข้ามาแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าไม่สนใจชีวิตของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
แม้ว่าลำแสงสีเขียวที่หุ่นเชิดกิ้งก่ายักษ์สิบกว่าตัวพ่นออกมาจะร้ายกาจ แต่เห็นได้ชัดว่าต้องสูญเสียศิลาวิญญาณไปไม่น้อย แต่แค่เวลาชั่วครู่ ลำแสงสีเขียวในปากก็เปลี่ยนเป็นสีหมองหม่น ไม่อาจไล่สังหารแมงมุมต่อไปได้อีก
เช่นนั้นแมงมุมจำนวนนับไม่ถ้วนจึงทะลวงผ่านปราการ เข้ามาประชิดหุ่นเชิดเหล่านั้น
เสียง “ฟู่ๆ” ดังสนั่นขึ้น เส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่พ่นออกมาจากปากของแมงมุม ห่อหุ้มหุ่นเชิดกิ้งก่ายักษ์เอาไว้ รัดเอาไว้แน่นจนไม่มีช่องโหว่
จากนั้นภายใต้การดึงของเส้นไหมสีดำ หุ่นเชิดสิบกว่าตัวทยอยกันล้มลงกับพื้น ไม่อาจกระดุกกระดิกได้เลยสักนิด
เมื่อเห็นฉากนี้ฉินเสี่ยวที่ยืนอยู่ในรถวิญญาณพลันรู้สึกตกตะลึง แต่ในเวลาเดียวกันพลันสัมผัสได้ว่าบนพื้นไร้ซึ่งลำแสง ทันใดนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงต่ำๆ ว่า
“เหล่าสหายอย่าลงมือ เจ้าพวกนั้นมอบให้น้องหญิงจัดการเถิด” ทันใดนั้นสตรีผู้นั้นก็กลายเป็นลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบทะลวงออกจากเขตอาคมใหญ่ ไปอยู่เหนือแมงมุมน้ำแข็ง
แน่นอนว่าฝูงแมงมุมพลันพบเป้าหมายกลางาอากาศในทันที ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงร้องซือๆ ออกมา แล้วพ่นเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนไปทางสตรีที่อยู่กลางอากาศ
ฉินเสี่ยวมีสีหน้าเคร่งขรึม ฉับพลันนั้นร่างกายพลันมีเปลวเพลิงสีเขียวมรกตชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น หลังจากที่สัมผัสกับเส้นไหมสีดำ ก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียว หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
และทันใดนั้นสตรีผู้นี้ก็เปล่งเสียงร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา มือหนึ่งกวาดออกไป กระบี่เพลิงสีเขียวเล่มหนึ่งปรากฎขึ้นในมือ สะบัดไปทางด้านล่างอย่างแม่นยำ
ชั่วขณะนั้นเปลวเพลิงสีเขียวหนาๆ สายหนึ่งพลันสับลงไป หลังจากเสียงดังสนั่นขึ้น เบื้องหน้าฝูงแมงมุมก็มีร่องลึกความกว้างสองสามจั้งสายหนึ่งปรากฎขึ้น
ด้านในมีเปลวเพลิงสีเขียวหมุนวน แมงมุมน้ำแข็งทั้งหมดที่ร่วงลงไป พลันหายวับไปในพริบตา
ฉินเสี่ยวถึงได้หยักรอยยิ้มที่มุมปากขึ้น ตอนที่กำลังคิดจะเพิ่มกระบี่สองสามเล่มไปขยายร่องลึกอีกสักสองสามส่วนนั้น กลับมีเสียงร้องด้วยความโกรธาสองสามเสียงดังขึ้นท่ามกลางความมืดมิด ฉับพลันนั้นพลันมีสิ่งมหึมาขนาดสองสามจั้งสองสามตัววิ่งออกมา
ภายใต้การจับจ้องอย่างละเอียดของสตรีผู้นี้ ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อยไม่ได้
เจ้าพวกนี้คือแมงมุมยักษ์สี่หัวที่มีขนาดใหญ่กว่าพวกพ้อง ทุกตัวล้วนมีขนสีดำที่แผ่นหลัง เผยเขี้ยวที่แหลมคมออกมาจากปาก เปล่งเสียงร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวออกมาไม่หยุด
ฉินเสี่ยวพลันขมวดคิ้ว กวาดกระบี่เพลิงในมือออกไป สับลงไปหาพวกมันอย่างไม่เกรงใจ
แต่ชั่วพริบตานั้นผิวของแมงมุมเหล่านี้ก็มีลำแสงสีดำไหลเวียนไปมา แผ่นหลังมีปีกจั๊กจั่นสีดำสนิทปรากฎขึ้น
มันกระพือปีกแล้วทยอยกันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ฉินเสี่ยวเห็นเช่นนั้นใบหน้าผ่อนคลายบนใบหน้าพลันหายวับไป!