Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1073 : ความเป็นไปได้สามข้อ

เมื่อกลับถึงโลกเหนือสายหมอก ไคลน์ตระหนักว่าความเย็นในร่างกายคอยๆ ลดลงและหนอนกาลเวลาไม่พยายามแบ่งตัวออกเป็นจิตสำนึกใหม่อีกต่อไป

สองสามวินาทีถัดมา มันหันไปเห็นโต๊ะทองแดงยาวและร่างวิญญาณของมิสจัสติสกับเลียวนาร์ดที่ค่อยๆ คมชัดขึ้นโดยมีสายหมอกแผ่นบางๆ ห่อหุ้มเอาไว้ แต่ก็ยังไม่คมชัดเสียทีเดียว

จนกระทั่งสายหมอกบางๆ คลายออกจากร่างทั้งสองและร่วงหล่นกลับสู่ ‘พื้น’ ไคลน์ตั้งคำถาม

“ตอนนี้รู้สึกยังไงกันบ้าง”

มันถามด้วยสำเนียงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าทั้งสองคนเคยได้ยินเสียงพึมพำในหัวตน เคยได้ยินนิสัยที่ชอบวิเคราะห์และนิสัยที่ชอบจิกกัดเลียวนาร์ด ส่งผลให้ภาพลักษณ์อันดีงามในสายตามิสจัสติสมีอันต้องป่นปี้

ทั้งหมดเป็นความผิดของเลียวนาร์ด! เฮ้อ… ไม่เพียงเราจะทำตามคำแนะนำแพทย์ที่ห้ามสวมหน้ากากหนาๆ แต่คราวนี้แม้แต่หน้ากากแผ่นบางเฉียบก็ไม่ได้สวม… ท่ามกลางความคิดที่ล่องลอย ไคลน์สลัดเรื่องไร้สาระและมองไปรอบๆ

มันยังไม่หายกังวลว่าความคิดของตนอาจ ‘ส่งเสียงดัง’

โชคดีที่พวกมันออกจากโถงแห่งความจริงมาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเล่นงานด้วย ‘เวทมนตร์’ ที่ไม่มีทางแก้ไขหรือรับมือ

ค่อนข้างชัดเจนว่าทั้งออเดรย์และเลียวนาร์ดยังเหลือ ‘แผลใจ’ จากความเครียดที่เกิดขึ้น รายหนึ่งเม้มปากแน่น ส่วนอีกรายนั่งหลังตรงพร้อมกับทำสีหน้าครุ่นคิด

ผ่านไปสองสามวินาที พวกมันเพิ่งตระหนักว่าถูกมิสเตอร์เวิร์ลตั้งคำถาม จึงรีบหันกลับมาสนใจสิ่งรอบๆ ตัว

“ดิฉันสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งถูกชำระล้างออกไป… ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกอย่างเลือนรางว่าจิตใจค่อยๆ แบ่งออกเป็นสองตัวตน… ไม่สิ… ไม่ใช้การแบ่งจิตใจออกเป็นสอง แต่เหมือนกับมีจิตใต้สำนึกใหม่ตื่นขึ้นภายในร่างกาย… แต่ตอนนี้หายไปแล้ว… มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!” ออเดรย์สามารถวิเคราะห์อาการทางจิตของตนได้อย่างเป็นมืออาชีพ ตามด้วยการแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ

ขอรับไว้ด้วยความยินดี… ไม่สิ นั่นเป็นความคิดที่อันตรายมาก โชคดีที่มิสจัสติสกับเลียวนาร์ดได้คิดถึงเดอะฟูลขณะอยู่ในโถงแห่งความจริง ไม่อย่างนั้นต้องมีสักครั้งที่เราพลาดไปตอบสนองการเรียกหาของพวกเขา… และนั่นจะหมายถึงจุดจบทันที… ความอับอายคงปะทุขึ้นในใจเราอย่างรุนแรงจนคลุ้มคลั่งคาที่ กลายเป็นกลุ่มก้อนของหนอนแห่งวิญญาณ… ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบกลับ

“มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!”

“…มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ” ในฐานะสาวกของเทพธิดารัตติกาล เลียวนาร์ดลังเลเล็กน้อยที่จะสรรเสริญ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ “ตอนนี้ผมไม่เป็นอะไรแล้วเช่นกัน… แต่เมื่อครู่ผมได้ยินเสียงเรียกหาจากด้านหลังประตูทองแดง พวกคุณเป็นกันไหม?”

เมื่อเห็นว่าเลียวนาร์ดเองก็กลับเป็นปรกติ ไคลน์วางไม้กางเขนเจิดจรัสและขวดโลหะบรรจุเลือดลงบนโต๊ะทองแดงยาวตรงหน้า

“ผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน” มันช่วยสนับสนุน

“ฉันด้วย… และนั่นไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน สามารถยืนยันได้ด้วยการวิเคราะห์จิตใจตัวเอง” ออเดรย์กล่าวเสียงชัดอย่างมั่นใจ

เลียวนาร์ดยกมือขึ้นมาลูบคาง

“ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไร? สิ่งที่เทพบรรพกาลถึงกับลงทุนผนึกไว้ด้านหลังบัลลังก์ของท่าน…”

หลังจากผ่านโถงแห่งความจริงมาด้วยกัน มันรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของตนในสายตามิสจัสติสคงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี จึงวางตัวสบายๆ มากขึ้น

“พวกเราน่าจะลองวิเคราะห์กันดู…” ออเดรย์ชำเลืองไปทางเดอะเวิร์ล

เธอค่อนข้างประทับใจในทักษะการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและเชื่อมโยงในเวลาสั้นๆ ของชายคนนี้

ไคลน์ไตร่ตรองสองสามวินาทีและกล่าวลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน

“มีความเป็นไปได้อยู่สามทาง… ความเป็นไปได้แรก สิ่งนั้นคือตัวตนที่ทรงพลังจากยุคสมัยที่สองซึ่งมีลำดับใกล้เคียง 0 และมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวลเลือกจะผนึกมันไว้ใต้เมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด แต่ผมคิดว่าโอกาสเป็นเรื่องนี้ค่อนข้างต่ำ เพราะเทพบรรพกาลรายนี้ลงทุนสร้างหนังสือขึ้นและนำเมืองเลฟซิดมายัดไว้ด้วยเหตุผลที่ต้องการ ‘ควบคุม’ โลกภายในหนังสือและโลกความจริงไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงไม่น่าจะใส่ปัจจัยอันตรายที่ควบคุมไม่ได้เพิ่มเข้ามาเป็นเวลานาน”

“ใช่… แม้แต่พวกเรายังรู้ว่านั่นจะกลายเป็นปัญหา นับประสาอะไรกับเทพบรรพกาล” ออเดรย์พยักหน้าพลางช่วยเดอะเวิร์ลวิเคราะห์อย่างจริงจัง

ในเวลาเดียวกัน เลียวนาร์ดหัวเราะแห้งและพูด

“บางทีเทพบรรพกาลอย่างมังกรจินตภาพคงมองเห็นอนาคตและเชื่อว่าสิ่งที่ถูกผนึกไว้จะช่วยให้ท่านบรรลุวัตถุประสงค์?”

“ผมก็แค่บอกว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้ แต่น้อยมาก…” ไคลน์ตอบอย่างสุขุม “ความเป็นไปได้ที่สองก็คือ สิ่งที่ถูกผนึกไว้ด้านหลังประตูคือกุญแจสำคัญสำหรับแผนการของมังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล… ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหนังสือเล่มนี้และ 0-08 ได้โคจรมาพบกัน ผนึกจะถูกทำลายและส่งผลให้สิ่งกล่าวปรากฏตัวบนโลกความจริง สร้างความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เทพบรรพกาลปรารถนา… ผมเชื่อว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด”

และอาจเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมังกรแห่งปัญญา

“หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่มิสเตอร์ฟูลเคยเล่าให้ฟัง? หลังจากครอบครอง 0-08 อาดัมก็เข้าใกล้ความเป็นเทพมากขึ้นอีกหนึ่งก้าว ส่งผลให้กระแสเวลาเกิดการเปลี่ยนผัน… หรือกำลังจะบอกว่าอาดัมรวบรวมวัตถุดิบครบแล้วและรอให้พิธีกรรมเสร็จสมบูรณ์? ดิฉันเข้าใจตรงไหนผิดไปรึเปล่า?” ออเดรย์แสดงทรรศนะ

“ผมเองก็ไม่มั่นใจ… ไว้จะหาโอกาสสวดวิงวอนถามหาคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล” ไคลน์ไม่กล้าฟันธง

น่าเสียดายที่ตาแก่เป็นเทวทูตจากยุคสมัยที่สี่ จึงมีข้อมูลของยุคสมัยที่สองไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็ยังรู้จักอาดัม… เลียวนาร์ดครุ่นคิด

“ผมจะลอง…”

มันคิดจะพูดว่า ‘ผมจะลองสืบให้’ แต่หลังจากนึกถึงได้ว่าเดอะเวิร์ลและจัสติสล่วงรู้ความลับของตนแล้ว จึงละทิ้งความคิดและพูดออกไปตรงๆ

“…ถามตาแก่ให้”

“รบกวนด้วยค่ะ” ออเดรย์ขอบคุณจากก้นบึ้ง

ในสายตาเธอ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเส้นทางผู้ชมโดยตรง คนที่คาใจมากที่สุดจึงหนีไม่พ้นตน แต่คนอื่นก็ยังเต็มใจที่จะช่วย

จากนั้น หญิงสาวกล่าว

“ความเป็นไปได้ที่สามก็คือ มีวัตถุหรือสัตว์ประหลาดบางชนิดถูกผนึกไว้ในโลกหนังสือนั่น?”

“ใช่… และมันน่าจะเกี่ยวข้องกับเสถียรภาพของโลกภายในหนังสือ ถ้าหากถูกทำลายไป โลกหนังสือก็จะพลังทลาย ส่งผลให้แอนเคอร์เวลทำได้เพียงผนึกมันไว้” ไคลน์อธิบายทฤษฎี

ออเดรย์ขบคิดสองสามวินาที

“สำหรับเรื่องนี้ ดิฉันมีข้อสันนิษฐาน”

เมื่อเห็นเดอะเวิร์ลและเดอะสตาร์หันมามองและรอคำตอบ หญิงสาวพูดให้ช้าลง

“ดิฉันขอวิเคราะห์ในมุมของทางจิตวิทยา… ในเมื่อโลกหนังสือถูกสร้างโดยจินตนาการของแอนเคอร์เวล ทะเลจิตใต้สำนึกรวมก็ต้องเกิดจากตัวท่านด้วยเช่นกัน ที่นั่นจะต้องเต็มไปด้วยตราประทับทางอารมณ์ ความรู้สึก และจิตของท่าน… บางทีเมืองเลฟซิดภายในหนังสืออาจมีอีกหนึ่งหน้าที่ นั่นคือการผนึก ‘อารมณ์’ ที่เข้มข้นบางชนิดของท่านเอาไว้… เช่นบาดแผลทางใจหรือความหวาดกลัวอย่างแรงกล้า หรือไม่ก็เป็นตราประทับทางจิตอันเกิดจากเหตุการณ์เลวร้าย… และในเมื่อท่านไม่สามารถเอาชนะมันได้ ไม่สามารถขจัดออกไปได้ในโลกความจริง ก็มีโอกาสเป็นไปได้มากที่ความรู้สึกนั้นจะยังคงคั่งค้างอยู่ในโลกหนังสือ หากปล่อยเอาไว้จะกัดกร่อนทะเลจิตใต้สำนึกรวมของหนังสือจนส่งผลกระทบต่อเป้าหมาย ท่านจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผนึกเอาไว้”

เลียวนาร์ดซึ่งกำลังตั้งใจฟังยิ่งกว่าประชุมหน่วยถุงมือแดง ตัดสินใจซักถามความสงสัย

“ในฐานะเทพบรรพกาลผู้ปกครองขอบเขตท้องฟ้าและจิต สิ่งใดสามารถสร้างบาดแผลทางใจหรือความหวาดกลัวที่ขจัดไม่ได้?”

“ดิฉันเองก็ไม่ทราบ” ออเดรย์ส่ายศีรษะอย่างซื่อตรง “แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์ตามหลักการทางจิตวิทยา… ในเมื่อสิ่งนั้นถูกผนึกไว้ใต้บัลลังก์ในเมืองเลฟซิด แถมยังต้องผ่านทางเดินอันมืดมิดลงไป มีความเป็นไปได้ว่าต้นตอของบาดแผลทางใจและความกลัวจะมาจากใต้ดิน ท่านจึงต้องทำการผนึก ไม่สิ ทำการปิดกั้นจิตที่มาจากใต้ดิน… ไม่อย่างนั้น ทำไมท่านถึงไม่ผนึกไว้ข้างๆ บัลลังก์ ในห้องโถง หรือสร้างคุกพิเศษขึ้นมาขังไว้โดยเฉพาะ?”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของมิสจัสติส ไคลน์พลันนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับมิสเมจิกเชี่ยนและมิสจัดจ์เมนต์

จากข้อมูลของผีดูดเลือด พวกมันค้นพบปราสาทโบราณหลังนี้มาเป็นเวลานานจนมิอาจระบุได้แน่ชัด ใต้ปราสาทเป็นบานประตูทองแดงที่คอยผนึกบางสิ่งที่น่ากลัวซึ่งมาจากใต้ดิน หากใครก็ตามเข้าใกล้ประตูบานดังกล่าวนานเกินไป คนคนนั้นจะถูกกัดกร่อนและประสบเคราะห์กรรมที่น่าสยดสยอง!

ปราสาทหลังนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันบางสิ่งบางอย่าง… และก่อนที่ผีดูดเลือดจะไปพบ มนุษย์ที่เป็นเจ้าเดิมของปราสาทก็คอยเฝ้าระวังสิ่งเดียวกันมานานแล้ว… เมื่อปราสาทตกถึงมือผีดูดเลือด ก็ไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปสำรวจอีกเลย… ในตอนนั้น เราวิเคราะห์ว่าสิ่งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับปีศาจและต้องเป็นครึ่งเทพเสียก่อนจึงจะเข้าไปสำรวจได้… จะเกี่ยวข้องกับผนึกในเลฟซิดไหม? ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากความทรงจำ

ระหว่างทางก่อนที่จะเข้าไปในน่านน้ำซากสมรภูมิแห่งเทพ เรืออนาคตกาลของแคทลียาค้นพบ ‘บ่อน้ำทะเลลึก’

ในตอนนั้น ลูกเรือของอนาคตกาลอย่างนีน่าได้ดำลงไปสำรวจ เธอระบุว่าบ่อดังกล่าวมีขนาดเล็กมาก มืดสนิทและลึกไร้ก้น กระทั่งเด็กก็ยังผ่านเข้าไปไม่ได้ ผนังด้านในบ่อมีร่องรอยการสึกกร่อนในลักษณะคล้ายรังผึ้ง รอบๆ บ่อมีซากอาคารเหล็กพังถล่ม

ในทางทฤษฎี สิ่งนี้ก็สามารถเป็น ‘ทางเดิน’ ที่มุ่งหน้าลงไปยังใต้ดินได้เช่นกัน… ไคลน์มองไปรอบๆ และเรียบเรียงคำพูด

“ยังคงเรื่องที่มิสเมจิกเชี่ยนเล่าให้ฟังได้ไหม? ภายในห้องใต้ดินของปราสาทโบราณในปาเดแลร์ มีบานประตูคู่ที่ทำจากทองแดงถูกปิดตาย และรอบๆ ประตูบานดังกล่าวแผ่พลังกัดกร่อนที่รุนแรงออกมาตลอดเวลา”

“จริงด้วย!” ออเดรย์ฉุกคิดได้ทันที “หรือว่าในช่วงต้นยุคสมัยที่สอง… บรรดาเผ่าพันธุ์ทรงอำนาจต่างหวาดกลัวในสิ่งเดียวกัน และสิ่งนั้นมาจากใต้ดิน?”

“เป็นไปได้…” ไคลน์ยังคงไม่กล้าฟันธง นอกจากนั้นก็ยังถือโอกาสพูด “เท่าที่ผมทราบ คำทำนายวันสิ้นโลกล้วนระบุตรงกันว่าหายนะคือสิ่งที่มาจากอวกาศ”

“อา…” ออเดรย์และเลียวนาร์ดไม่ชำนาญในหัวข้อนี้ จึงไม่ได้เสริมสิ่งใด

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไว้เข้าใจสถานการณ์มากกว่านี้ค่อยมาทำการทดลองภาพจิตรกรรมฝาผนัง… และห้ามนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด” ไคลน์หันไปทางเลียวนาร์ด “นอกจากนั้น หลังจากกลับออกไป อย่าลืมสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลและขอให้ท่านเป็นสักขีพยานในการไม่เปิดเผยความลับกันและกันของพวกเราสามคน”

ออเดรย์ไม่คัดค้าน แถมยังกล่าวเสริม

“ดิฉันจะใช้พลังสะกดจิตช่วยให้ลืมบางเรื่องเมื่อกลับออกไป”

…………………………….

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset