เงาร่างทั้งสองที่ปรากฏตัวขึ้นมานั้นคือซ่งหมิงเหยียนกับหลี่ฉีนั่นเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้พบเจอกับหลงเฉินเพียงครั้งเดียว ทว่ากลับมั่นใจที่จะยืนหยัดอยู่ฝ่ายของหลงเฉิน เนื่องจากเข้าไปชมชอบการกระทำของกู่หยางและพวกพ้องเป็นอย่างยิ่ง
“หลงเฉิน ยอดเยี่ยมมาก สมกับชายชาตรี”
หลี่ฉีกล่าวพร้อมกับยกนิ้วหัวแม่โป้งให้หลงเฉิน จากนั้นก็หันไปจ้องมองกู่หยาง เหร่ยเชียนซัง และชีซิ่งด้วยสายตาเย็นชาและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม
การปรากฏตัวของผู้สนับสนุนทั้งสองคนทำให้กู่หยางและพวกพ้องบังเกิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ มือทั้งสองข้างกำหมัดจนแน่น ทว่าพวกเขาเองก็ยังพอจะเฉลียวฉลาดอยู่บ้างจึงไม่กระทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ออกมา รอคอยแต่เพียงผู้อาวุโสซุนทำการตัดสินขึ้นมาก็เท่านั้น
ผู้อาวุโสซุนจ้องเขม็งไปที่ซ่งหมิงเหยียนกับหลี่ฉีที่เป็นศิษย์สายตรงจากสองขุมกำลังใหญ่ อีกทั้งในตอนนี้ยังถึงกับเอ่ยปากที่จะปรองดองกับหลงเฉินขึ้นมาอย่างเปิดเผย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาภายในจิตใจ
การกระทำเช่นนี้เสมือนกับกำลังท้าทายเขาอย่างหนึ่ง ทว่าเขาเองก็ไม่อาจมีปฏิกิริยาโต้กลับไปอย่างรุนแรงได้ จึงได้แต่เสแสร้งแกล้งทำเป็นมองข้ามการกระทำของพวกเขาทั้งสองคน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หลงเฉิน เจ้าสังหารศิษย์ร่วมสำนักไปถึงห้าคน นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เจ้าพยายามแก้ต่างอย่างไรก็ไม่อาจสลัดหลุดจากความผิดในครั้งนี้ไปได้”
หลงเฉินหัวเราะฮาฮาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไร้สาระ คนอย่างข้ากล้าทำก็กล้ารับไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม สลัดหลุดจากความผิดอย่างนั้นหรือ? สังหารศิษย์ร่วมสำนักอย่างนั้นหรือ? เจ้ามีตาแต่ช่างไร้แวว ถึงกับเห็นขยะที่แทงข้างหลังผู้อื่นเป็นศิษย์ในสำนักเดียวกันได้”
“สามหาว การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นเพียงการจัดอันดับเท่านั้น ไม่ใช่ศึกที่จะต้องคร่ำเคร่งจนห้ำหั่นฆ่าฟัน แล้วกลยุทธ์ชนิดหนึ่งจะนับว่าเป็นการแทงข้างหลังได้อย่างไรกัน?” เมื่อถูกหลงเฉินชี้หน้าด่าทอขึ้นมา ผู้อาวุโสซุนจึงระเบิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ประดุจสายฟ้าผ่าลงมา
ถึงแม้ว่าภายในจิตใจของเขาปรารถนาที่จะฟาดหลงเฉินให้ตายไปในทันที ทว่าเขาก็ยังไม่กล้าลงมือต่อหน้าผู้คนมากมาย อีกทั้งความเคลื่อนไหวจากบริเวณนี้เป็นเป้าสายตาของชนชั้นระดับสูงภายในหมู่ตึก ฉะนั้นในตอนนี้เขาจึงจำเป็นที่จะต้องแสร้งทำเป็นมีคุณธรรมขึ้นมา
“การทดสอบเพื่อจัดอันดับอย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าจะขอถามเจ้า หมู่ตึกได้ลงทุนจัดฉากมาตั้งมากมายเพื่อสนับสนุนเรื่องอันใดกัน? หรือแท้ที่จริงแล้วเพียงต้องการให้เหล่าศิษย์มาเล่นบทต่อยตีกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้?” หลงเฉินเองถามกลับไปอย่างเดือดดาล
“แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ที่หมู่ตึกทุ่มเทไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อส่งเสริมพวกเจ้าให้เติบใหญ่เป็นยอดฝีมือที่คอยปกปักษ์รักษาความเป็นธรรม กำจัดมารร้ายฝ่ายอธรรมที่คอยปองร้ายผู้คน ปกป้องเหล่าประชาราษฎร์ที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่มารร้ายกระทำ” ผู้อาวุโสซุนกล่าวออกมาราวกับท่องจำจนขึ้นใจ
ทว่าหลงเฉินกลับมองออกได้ตั้งแต่แรกว่าตาเฒ่าผู้นี้กำลังเสแสร้งเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าววาจาเย้ยหยันขึ้นมาว่า “นั่นก็หมายถึงความสำเร็จของฝ่ายธรรมะอย่างพวกเราก็คือการสู้รบกับฝ่ายอธรรม ถ้าเช่นนั้นข้าจะขอถามอีกคำถาม ในช่วงเวลาที่ได้ห้ำหั่นกับฝ่ายอธรรมจะมีอันตรายเกิดขึ้นหรือไม่?”
“เหอะ ไม่มีอันตรายแล้วจะเรียกว่าการต่อสู้ได้อย่างไรกัน? ในเมื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ควรที่จะหวาดกลัว……”
หลงเฉินกล่าวตัดบทโดยไม่รีรอให้ผู้อาวุโสซุนกล่าวจบ “ในเมื่อการต่อสู้ต้องพบเจอกับอันตราย ฉะนั้นภายในสนามรบก็ย่อมมีโอกาสประสบกับความเป็นตายได้เช่นกัน พลังการฝึกยุทธ์ของพวกข้าในตอนนี้ต่างก็เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ในภายภาคหน้า เป็นเสมือนตัวตัดสินว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่
ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงตอบข้ามา ตาแก่บัดซบ การจัดอันดับในครั้งนี้เป็นแค่การละเล่นใช่หรือไม่? คนเหล่านั้นคิดคดทรยศต่อผู้อื่นทำให้ขมกำลังต้องสูญเสียการสนับสนุนที่สมควรจะได้รับไปส่วนหนึ่ง อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อรางวัลที่จะได้รับมาเพื่อเพิ่มพูนพลังการฝึกยุทธ์ด้วย
หากว่าพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ย่อมส่งผลให้พลังต่อสู้ลดทอนจนอาจกลายเป็นคนอ่อนแอ ฉะนั้นในภายภาคหน้าจะต้องมีผู้คนตายตกไปภายใต้เงื้อมมือของฝ่ายอธรรมอีกมากมายเพียงใดกัน? มารดาเจ้าเถิด นี่ไม่ได้เรียกว่าการแทงข้างหลังของผู้คนอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเป็นเจ้าที่อยู่เบื้อหลังและคอยบ่งการทุกอย่าง?” หลงเฉินจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสซุนพร้อมกับทอรังสีสังหารออกมาไม่หยุด
ผู้คนมากมายต่างก็เกิดความหวั่นไหวขึ้นมาภายในจิตใจ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ว่านจะเคยย้ำเตือนเอาไว้แล้วว่าการจัดอันดับในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การละเล่น ทว่าหลังจากที่ผ่านพ้นมาได้พวกเขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาได้ทุ่มเทไปทั้งหมดนั้นไม่ต่างไปจากการละเล่นชนิดหนึ่งอย่างที่หลงเฉินกล่าวออกมา
ผู้อาวุโสซุนทอสีหน้าชาด้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ริมฝีปากปิดสนิทเพราะไม่ทราบว่าจะตอกกลับหลงเฉินไปอย่างไรดี ทว่าหากยอมรับในสิ่งที่หลงเฉินกล่าวก็หมายความว่าเรื่องที่หลงเฉินสังหารผู้คนนั้นมีเหตุผลอันชอบธรรมไปโดยปริยาย และในท้ายที่สุดก็ไม่อาจลงโทษหลงเฉินได้ หรือหากจะให้เขาหลับหูหลับตาขับไล่หลงเฉินออกไปก็ยิ่งทำให้ผู้คนเกิดความชิงชังต่อเขามากยิ่งขึ้น
ผู้อาวุโสซุนจึงได้แต่ทอสีหน้าเย็นเยียบ ภายในจิตใจเกิดความรู้สึกเกลียดชังต่อหลงเฉินจนแทบจะฟาดฝ่ามือออกไป ตั้งแต่เขาอยู่ในหมู่ตึกแห่งนี้มายังไม่เคยมีผู้ใดกล้าชี้หน้าด่าทอเขาจนไม่สามารถสวนกลับไปได้เลย
“ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไรดีสินะ? สิ่งที่หมู่ตึกกำลังยึดมั่นเอาไว้มากมายนั้นมีประโยชน์อันใดกัน? แล้วเหตุใดถึงไม่ให้พวกเราต่อสู้กับแบบตัวต่อตัว? การทดสอบทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าจัดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนเหล่าศิษย์สายตรงเพียงระดับเดียวอย่างนั้นหรอกหรือ?
หากปรารถนาให้ทุกคนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน เจ้าก็ควรมองการต่อสู้โดยรวม เพราะคนเพียงคนเดียวต่อให้แข็งแกร่งมากเพียงใดก็ย่อมไม่แกร่งกล้าไปมากกว่าคนกลุ่มหนึ่งอยู่แล้ว ฉะนั้นการทดสอบของเจ้าควรมีเพื่อให้ทุกคนแย่งชิงกันโดยต้องดูแลซึ่งกันและกัน นั่นจึงจะเรียกว่าขุมกำลัง ด้วยความเชื่อมั่นเหล่านี้จะทำให้ผู้คนแข็งแกร่งไปจนถึงจิตวิญญาณได้”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หลงเฉินก็ชี้นิ้วไปที่กู่หยางและพวกพ้องอย่างเหยียดหยามแล้วกล่าวต่ออีกว่า “และเจ้าพวกโง่เง่าที่ประกาศตัวว่าตัวเองนั้น ‘เฉลียวฉลาดเฉลียว’ นั่นก็เป็นเพียงเสียงเห่าหอนของสุนัขฝูงหนึ่งเท่านั้น แก่นแท้ของในแล้วกลับมีแต่ความว่างเปล่า เช่นนั้นพวกเจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าผู้ที่ฉลาดเฉลียวได้อีกหรือ?
หากได้พบเจอกับฝ่ายอธรรม ด้วยกำลังของพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนยังจะสามารถแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างดุร้ายได้อีกหรือ? พวกที่คิดว่าตัวเองฉลาดอย่างพวกเจ้ามีแต่จะทำให้ผู้คนตายเร็วขึ้นก็เท่านั้น
และเหตุผลที่ต้องต่อสู้กันเป็นกลุ่มก็เพราะช่วงเวลาที่กำลังต่อสู้กับความเป็นตายอยู่นั้น อย่างน้อยพวกเราก็ยังสามารถดูแลแผ่นหลังของกันและกันด้วยความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม สุกรโสโครกอย่างพวกเจ้าเข้าใจความหมายของสิ่งเหล่านี้กันบ้างหรือไม่!”
กู่หยางทอสีหน้าชาด้านขึ้นมาอย่างรุนแรงแล้วพ่นวาจาขึ้นมาอย่างเดือดดาลว่า “ผายลมมากไปแล้ว พ่ายแพ้แล้วคิดจะพาลอย่างนั้นหรือ ตอนนี้เจ้าก็แค่พวกไร้ประโยชน์เท่านั้น”
หลงเฉินแสยะยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “เจ้าสุกรโสมมที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวอย่างเจ้าคงจะไม่เข้าใจสินะ ทว่าข้าเชื่อมั่นว่าผู้คนมากมายในที่แห่งนี้ต่างก็เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดแน่นอน เพราะแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดคิดใช้วิธีการสกปรกเช่นนั้นกับคนกลุ่มอื่น
หากในภายหลังเจ้าสามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ข้าพูดไปได้อย่างถ่องแท้ เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้ายังเป็นมนุษย์คนหนึ่งอยู่ จงจากไปด้วยตัวเองและอย่าได้หลอกลวงหรือทำลายความเชื่อใจของผู้คนอีก”
ทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบก็ได้มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นมาจากฝูงชน เงาร่างสายหนึ่งค่อยๆ ฝ่าขุมกำลังของตัวเองออกมาแล้วกล่าวต่อหน้าศิษย์สายตรงที่เป็นผู้นำของเขาว่า “ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่ข้าทำลายความเชื่อใจของทุกคน ข้าจะขอถอนตัวจากขุมกำลังนี้และไม่ขอย้อนกลับไปยังขุมกำลังเดิมด้วยเช่นกัน”
หลังจากที่คนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับคำขอโทษ ทันใดนั้นก็มีผู้คนอีกเจ็ดแปดคนทอใบหน้าเขียวคล้ำเดินติดตามออกไปด้วย
ในขณะที่ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวออกมาเป็นคนแรกกำลังจะจากไป ศิษย์สายตรงที่เป็นผู้นำก็รีบรั้งตัวเอาไว้ คนผู้นั้นจึงฝืนยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “หากเจ้าอยากจะฆ่าข้าก็จงลงมือเถิด ข้าจะไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย หลายวันมานี้ทุกคนต่างก็ปฏิบัติต่อข้าเสมือนข้าเป็นพี่น้องที่แท้จริงของพวกเขา มันทำให้ภายในจิตใจของข้ารู้สึกอบอุ่นขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าข้านั้นได้กระทำหยาบช้าอย่างที่ศิษย์พี่หลงเฉินกล่าวขึ้นมา ฉะนั้นข้าจึงขอยอมรับผิดให้สมกับเป็นชายชาตรีผู้หนึ่ง และหากว่าเจ้าจะฆ่าข้าในตอนนี้ ข้าเองก็ยังภูมิใจว่าได้เป็นชายชาตรีที่แท้จริงแล้ว”
ทั่วทั้งบริเวณอยู่ในความเงียบสงบราวกับป่าช้า ดวงตาทุกคู่มองไปที่ศิษย์สายตรงผู้นั้นอย่างใจจดจ่อ แล้วศิษย์สายตรงผู้นั้นก็ยกฝ่ามือตบไปที่บ่าของคนผู้นั้นอย่างแรงแล้วกล่าวว่า “ไสหัวกลับไปที่เดิม หากเจ้าจากไปแล้วข้าจะไปหาคนอย่างเจ้าได้จากที่แห่งใดกัน?”
คนผู้นั้นสะดุ้งตัวโยนด้วยความตกใจ ดวงตาจ้องมองไปที่แววตาของศิษย์สายตรงผู้นั้น และจู่จู่ก็เข้าใจในความหมายของผู้นำของเขาขึ้นมาในทันที จึงหลั่งน้ำตาออกมานองหน้าด้วยความปิติยินดี
“เหวยเหวย อย่าได้ทำตัวเหมือนกับสตรีเพศ หากเจ้ายังไม่หยุดร่ำไห้ ข้าจะเตะเจ้าให้เจ็บหนักเลย รีบกลับไปที่เดิมได้แล้ว” ศิษย์สายตรงผู้นั้นด่าทอออกมายกใหญ่ ทว่าในน้ำเสียงของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
ในขณะที่คนผู้นั้นเดินย้อนกลับไปในกลุ่ม เหล่าพวกพ้องมากมายต่างก็ตบไปที่บ่าของเขาแล้วกล่าวตอบรับกันยกใหญ่ “ยินดีต้อนรับการกลับมา”
“จะยืนทำหน้าโง่งมเช่นนั้นไปถึงเมื่อใดกัน พวกเจ้าก็กลับเข้าไปที่เดิมได้แล้ว เหตุใดต้องเอาแต่ยืนทำหน้าซื่อบื้ออยู่ตรงนี้ด้วย” จากนั้นศิษย์สายตรงอีกกลุ่มหนึ่งก็ด่าทอขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จนทำให้เหล่าผู้คนที่แฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับกลุ่มนั้นร่ำไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หลิงหวินจื่อมองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วพยักหน้าน้อยๆ “หลงเฉินมีพรสวรรค์ในเชิงเจรจาเป็นอย่างยิ่ง ในจิตวิญญาณของเขาแฝงความน่าเชื่อถือเอาไว้อย่างแรงกล้าจนทำให้ผู้คนยินยอมที่จะติดตามไปไม่ว่าหนทางสายนั้นจะเป็นหรือตาย
คำพูดที่ไม่อ้อมค้อมเพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้ผู้คนยอมศิโรราบอย่างหมดใจ การกระทำเช่นนี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือโดยทั่วไปจะสามารถกระทำได้อย่างแน่นอน”
ถู่ฟางพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เพราะเขาเองก็รู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหลงเฉินเป็นคนที่มีวุฒิภาวะเกินกว่าวัยของเขาเป็นอย่างมาก เพียงแค่แวบเดียวก็สามารถทราบถึงเป้าหมายในการจัดอันดับในครั้งนี้ได้อย่างหมดจดแล้ว
ทว่าเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลงเฉินถึงได้กระทำแต่เรื่องที่โง่เขลามากมายถึงเพียงนี้กัน? เพราะด้วยความฉลาดอันปราดเปรื่องของหลงเฉิน ต่อให้พบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากหรือล้มเหลว ก็ควรจะยืนหยัดและฟื้นคืนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเหตุใดเขาถึงเลือกที่จะเดินบนเส้นทางสายนี้?
“ศิษย์พี่หลงเฉิน ข้ามีนามว่าโหลวฉาง ขอฝากตัวเป็นสหายกับท่านด้วย” ชายหนุ่มที่ยอมรับผิดคนแรกเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของหลงเฉิน แล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมา
“คนอย่างข้าไม่ชมชอบการเป็นมิตรสหายกับผู้ใด” หลงเฉินส่ายหน้าไปมา “ทว่าข้าชมชอบการมีพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันเสียมากกว่า”
คนผู้นั้นทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินประโยคแรก ทว่าเมื่อหลงเฉินพูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง เขาจึงหัวเราะฮาฮาขึ้นมายกใหญ่
“เพี๊ยะ”
ทั้งสองมือกุมเข้าด้วยกันอย่างแน่นแฟ้น แล้วโหลวฉางก็กล่าวขึ้นมาว่า “ได้ หากสักวันหนึ่งมีศึกใดเข้ามา ข้าจะร่วมต่อสู้กับพี่หลงเอง”
หลังจากที่โหลวฉางประกาศตัวออกมาเช่นนั้น จากนั้นก็มีศิษย์สายตรงอีกหลายคนติดตามไปสัมผัสมือกับหลงเฉิน ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะมีพลังในการฝึกยุทธ์ที่น้อยกว่าพวกเขาไปขั้นหนึ่ง ทว่าความกล้าหาญและมีน้ำใจของหลงเฉินทำให้พวกเขายกย่องจนหมดใจ
กู่หยาง เหร่ยเชียนซัง และชีซิ่งทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาเป็นสายเมื่อเห็นว่าเหล่าสายลับที่พวกเขาส่งออกไป นั้นถึงกับแปรพรรคไปทั้งหมด เพียงแค่พริบตาเดียวความชั่วร้ายของพวกเขาก็ได้ถูกเปิดโปงให้ผู้คนได้รับรู้กันทั่ว จึงทำให้พวกเขาเกิดความเดือดดาลขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
โดยเฉพาะการที่กลุ่มคนเหล่านั้นย้อนกลับเข้าขุมกำลังใหม่ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยามยิ่งทวีความรุนแรงมาที่พวกเขา
“ผู้อาวุโสซุน หลงเฉินทำผิดต่อกฎของหมู่ตึก เขาสังหารผู้คนด้วยจิตใจอำมหิต โปรดท่านผู้อาวุโสให้ความเป็นธรรมด้วย” ชีซิ่งรีบเดินออกไปคารวะผู้อาวุโสซุนแล้วกล่าวออกไปด้วยเสียงดังกังวาน
ผู้อาวุโสซุนถูกหลงเฉินถามไล่ต้อนจนไม่อาจกล่าวอันใดตอบโต้กลับไปได้ เมื่อพบว่าเหล่าศิษย์สายตรงหลายคนเริ่มประกาศตัวไปอยู่ฝ่ายหลงเฉิน เขายิ่งไม่อาจควบคุมสถานการณ์ที่บานปลายเช่นนี้เอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ในขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าสมควรจะทำอันใดต่อได้ดี ทันใดนั้นซุ่มเสียงของชีซิ่งก็ดังเข้ามาภายในโสตประสาท
ข้าจะมัวแค่คิดให้วุ่นวายไปด้วยเหตุอันใดกัน? จะสรรหาคำพูดเพื่อต่อกรกับเขาไปเพื่ออันใดกัน? ในเมื่อเขาสังหารผู้คนลงไป นั่นก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าได้ฝ่าฝืนกฎของหมู่ตึก ฉะนั้นมาทำให้มันจบสิ้นไปเลยดีกว่า
ผู้อาวุโสซุนปั้นสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมแล้วกล่าว “หลงเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะชักแม่น้ำทั้งห้าอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความผิดที่เจ้าสังหารผู้คนอย่างอำมหิตไปได้
ทว่าอย่าได้กังวลมากจนเกินไป เพราะว่ากฎขอหมู่ตึกนั้นเอื้อต่อผู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง เจ้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตแลกกับชีวิต เพียงแต่นับจากวันนี้ไปเจ้าจะพ้นจากการเป็นศิษย์ของหมู่ตึกแห่งนี้ เจ้าถูกขับไล่แล้ว”
ถังหว่านเอ๋อก้าวเท้าออกไปทางด้านหน้าหนึ่งก้าวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ในเมื่อท่านตัดสินเช่นนี้ ข้าเองก็ขอแสดงจุดยืนด้วยเช่นกัน ข้าขอออกจากหมู่ตึกแห่งนี้ไปพร้อมกับหลงเฉินด้วย”
“ว่าอย่างไรนะ” ผู้คนทั้งหมดต่างทอสีหน้าแตกตื่นตกใจกันยกใหญ่ ถังหว่านเอ๋อถึงกับยินยอมที่จะออกไปพร้อมกับหลงเฉินด้วยอย่างนั้นหรือ?
“ข้าเองก็ขอแสดงจุดยืนด้วยการจากไปด้วยเช่นกัน” เยี่ยจื่อชิววางมือลงบนบ่าของถังหว่านเอ๋อเบาๆ แล้วกล่าว
หลงเฉินมองทั้งสองโฉมงามด้วยแววตาโง่งม พลันก็ขยับฝีปากเล็กน้อยเพื่อที่จะกล่าววาจา ทว่าจู่จู่กลับมีคนผู้หนึ่งพูดตัดบทขึ้นมา
“ซ่งหมิงเหยียนก็ต้องการแสดงจุดยืนด้วยการจากไปด้วยเช่นกัน”
“ข้า….หลี่ฉีก็ด้วย”
“โหลวฉางก็ขอแสดงจุดยืนด้วย”
“……”
หลักจากนั้นก็มีศิษย์สายตรงอีกสี่คนลุกฮือขึ้นยืนยันที่จะแสดงจุดยืนด้วย เพราะพวกเขาคาดเดาได้ว่าหากมีผู้คนมากมายแสดงจุดยืนขึ้นมาพร้อมกัน ทางหมู่ตึกคงจะไม่สามารถขับไล่พวกเขาออกไปทั้งหมดอย่างแน่นอน
“พวกเจ้าคิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสซุนตะเบ็งเสียงดังขึ้นมาเมื่อเห็นการกระทำที่คล้ายกับกำลังกดดันทางหมู่ตึกอยู่ หากยังมีคนยืนกรานขึ้นมาอีก เขาคงจะไม่อาจจัดการกับหลงเฉินได้เป็นแน่
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงลั่นวาจาเอ่ยแทรกขึ้นมา ซุ่มเสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่งทั้งผืนฟ้าและสะท้านไปทั้งผืนดิน
“ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”