ทั่วทั้งร่างกายของกู่หยางปกคลุมไปด้วยพลังอักขระที่กำลังไหลเวียนไปมาชวนให้ขนหัวลุก แม้แต่หลงเฉินเองยังรู้สึกได้ว่ากำลังถูกสัตว์ร้ายตัวหนึ่งจ้องมองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ความแข็งแกร่งของกู่หยางเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาอยู่แล้วโดยไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มหัวโล้นผู้นี้มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่ลึกล้ำอย่างถึงที่สุด ทว่าด้วยความหยิ่งทระนงตนของหลงเฉินที่ทราบดีอยู่แล้วว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกู่หยาง ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ต้องตายอยู่ภายใต้เงื้อมมือของอีกฝ่ายก็ไม่อาจถอยออกไปแม้เพียงครึ่งก้าวด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าภายในจิตใจจะรู้สึกขมขื่นก็ตาม
ในเมื่อรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ก็ยังไม่คิดที่จะถอยหนี ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลามาก ทว่าหากเขาถอยหลังกลับไปย่อมต้องเกิดการขัดขวางสภาวะจิตใจจนไม่อาจพลิกฟื้นกลับคืนมาได้ และผลสุดท้ายก็จะกลายเป็นจิตมาร
หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง แล้วหลับตาลงช้าๆ ทันใดนั้นที่จุดดารากักวายุก็สงบนิ่งลง พลันก็กระตุ้นกายาศึกกักวายุขึ้นมา
“คมวายุตัด”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาด้านหลัง พร้อมกับคมวายุขนาดใหญ่สายหนึ่งตัดไปที่ร่างของกู่หยางอย่างรวดเร็ว
“ตูม”
กู่หยางส่งเสียงดังชิอย่างเย็นชาขึ้นมา พร้อมกับใช้พลังสภาวะเข้ากดดันคมวายุสายนั้นจนลดทอนพลังทั้งหมดลงไป
ร่างบางสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาเบื้องหน้าของหลงเฉิน อาภรณ์พลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดผ่านส่งกลิ่นหอมหวานตลบอบอวลไปทั่ว การเคลื่อนไหวนั้นประดุจนางฟ้านางสวรรค์ลงมาจุติ
“กู่หยางผู้นี้มอบให้ข้าจัดการเอง เจ้ากลับไปปกป้องทุกคนเถิด ยืนหยัดอีกสักหน่อย พวกเราก็จะชนะแล้ว”
ดวงตาคู่งามของถังหว่านเอ๋อจดจ้องไปที่กู่หยางอย่างเอาเป็นเอาตาย มืออันขาวผ่องทั้งสองผสานเข้าด้วยกัน ปะทุพลังลมปราณมหาศาลขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งจนเกิดเป็นคมวายุหลายสายปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า
หลังจากที่คมวายุปรากฏขึ้นมาประดุจกลีบดอกไม้ลอยละล่องอยู่กลางอากาศ ภายในมือของถังหว่านเอ๋อก็มีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาด้วยเช่นกัน กระบี่ยาวเล่มนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากพลังแห่งวายุ มีพลังทำลายล้างที่น่าหวาดหลัวเป็นอย่างยิ่ง
บนตัวกระบี่ยาวทอประกายแสงสว่างเจิดจ้าราวกับกำลังถ่ายทอดพลังชีวิตออกมาอย่างแรงกล้า นี่เป็นพลังสภาวะที่แท้จริงของถังหว่านเอ๋อนั่นเอง บัดนี้ภาพเบื้องหน้าสายหน้าของหลงเฉินเสมือนเทพีแห่งสงครามผู้งดงามอย่างหมดจดกำลังยืนประจันหน้ากับศัตรูอยู่ในท่าทางที่สง่างามอย่างถึงที่สุด
หลงเฉินพยักหน้ารับ การประมือกับกู่หยางย่อมต้องไว้วางใจให้ถังหว่านเอ๋อรับมือคงจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ในขณะนี้คงมีเพียงนางเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับกู่หยาง เมื่อวางใจลงไปได้แล้ว หลงเฉินก็ขยับเท้าครั้งหนึ่งแล้วมุ่งหน้าสู่ขุมกำลังของตัวเองในทันที
กู่หยางมองใบหน้าอันงดงามของถังหว่านเอ๋อแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่อยากร่วมมือกับข้าจริงหรือ?”
ถังหว่านเอ๋อไม่ตอบกลับไปแต่อย่างใด ดวงตาคู่งามยังคงจ้องไปที่ชายหนุ่มหัวโล้นอย่างเอาเป็นเอาตายเฉกเช่นเดิม คมวายุที่รายล้อมอยู่รอบกายก็ได้ส่องแสงระยิบระยับเพื่อเตรียมพร้อมการลงมือ
กู่หยางจึงกล่าวอย่างเย็นชาขึ้นมาว่า “ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักแยกแยะ ก็อย่าได้โทษว่าข้านั้นโหดเ**้ยมอย่างไร้ไมตรีก็แล้วกัน”
ทันทีที่กล่าวจบ รอยอักขระทั่วทั้งร่างกายของกู่หยางก็สว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง แสงสว่างต้องกับดวงตาของผู้คนจนแสบนัยน์ตาไปทั้งหมด กำปั้นทั้งสองข้างทอประกายแสงสีทองขึ้นมาอย่างเข้มข้น พลันก็หอบสายลมพุ่งพล่านไปทางถังหว่านเอ๋ออย่างหนักหน่วง
ถังหว่านเอ๋อเองก็ไม่รอช้า ที่ฝ่ามือข้างหนึ่งก็กระชับคมวายุสายหนึ่งแล้วปล่อยออกไป คมวายุและกำปั้นกระแทกกันอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ
ฝ่าเท้าของทั้งสองยอดฝีมือเหยียบลงไปจมดิน อีกทั้งยังถอยหลังออกไปไกลหลายเซียะ ทว่าถังหว่านเอ๋อกลับหยุดเท้าลงได้ก่อน แล้วส่งเสียงดังขึ้นมาว่า
“เงาหนามวายุ”
คมวายุที่อยู่รอบด้านกระชับรวมตัวกันเข้ามายังใจกลางจนแปลงสภาพเป็นลูกศรสายหนึ่ง พุ่งทะยานสู่เบื้องหน้าไปที่กู่หยางในทันที เพียงพริบตาเดียวก็ลอยเข้าไปถึงกู่หยางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กู่หยางเกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็กระแทกหมัดออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัวจนคมศรสายนั้นแหลกสลายไปกับสายลมกรรโชกแรง ทว่าลูกศรที่ดับสูญไปนั้นกลับไม่ระเบิดขึ้นมาแต่อย่างใด เพียงแต่แยกออกจากกันกลายเป็นคมวายุขนาดยิบย่อยนับพันสายประดุจฝูงผึ้งกำลังมุ่งหน้าสู่ผู้คนอย่างไรอย่างนั้น อยู่
กู่หยางเกิดอาการตกใจจนรีบกระโดดลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า เขาคิดไม่ถึงว่าถังหว่านเอ๋อจะสามารถควบคุมพลังลมปราณเข้าโจมตีได้ดั่งใจนึกเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังเป็นพลังที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด ต่อให้มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งเช่นเขา ก็ยังไม่กล้าพอที่จะเข้าปะทะโดยตรง
“พลังคุ้มกายทองธาตุหยาง”
กู่หยางร้องคำรามขึ้นมาด้วยโทสะที่มีอยู่เต็มเปี่ยม พร้อมกับพลิกฝ่ามือทั้งสองข้างขวางร่างกายเอาไว้ ประกายอันคมกล้าดั่งพระอาทิตย์ยามกลางวันสาดส่องขึ้นมาจนฝูงคมวายุเหล่านั้นไม่อาจกล้ำกลายเข้าไปใกล้ได้เลย อีกทั้งยังถูกบดขยี้จนไม่หลงเหลือร่องรอย
หลิงหวินจื่อที่กำลังชมการต่อสู้จากที่ที่ห่างไกลก็ได้ฉีกยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “กู่หยางผู้นี้แข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว อีกทั้งยังปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ตั้งแต่สองปีก่อน เป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ไม่เลวเลยทีเดียว”
ถู่ฟางพยักหน้ารับแล้วกล่าวเสริมอีกว่า “กู่หยางแข็งแกร่งมาก มีพรสวรรค์ที่แตกต่างจากผู้อื่นอย่างแท้จริง กายเนื้อของเขาสืบทอดทางสายโลหิตจากบรรพบุรุษ อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของบรรพชนซ่อนเอาไว้อยู่
ทว่าคุณสมบัติอันสูงส่งของเขากลับไม่ได้อยู่เหนือกว่าถังหว่านเอ๋อมากนัก ถังหว่านเอ๋อเสียเปรียบแค่เพียงช่วงเวลาที่ได้ปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลก็เท่านั้นเอง นางจึงไม่ได้ผสมผสานร่างกายให้เข้ากับพลังนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ”
“แล้วเจ้าคิดว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน?” หลิงหวินจื่อถามแล้วจิบชาหอมเข้าปาก
“หากเป็นตอนนี้ข้าจะตอบว่ากู่หยาง ทว่าในช่วงเวลาครึ่งปีหลังจากนี้พวกเขาจะเสมอกัน และภายในหนึ่งปี ถังหว่านเอ๋อจะสามารถล้มเขาได้อย่างหมดจดแน่นอน” ถู่ฟางกล่าวขึ้นมาด้วยความเชื่อมั่นที่มีอยู่เต็มเปี่ยม
หลิงหวินจื่อพยักหน้าแล้วกล่าว “ภายในระยะเวลาหนึ่งปีหรือ? ก็ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาในการปลดผนึกเขตแดนลับนพเก้าพอดี เด็กน้อยกลุ่มนี้คงพอที่จะไล่ตามขึ้นไปได้”
ถู่ฟางฝืนยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เขตแดนลับนพเก้า เป็นสิ่งที่ถูกเล่าขานมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ในหนึ่งร้อยปีจะถูกเปิดขึ้นครั้งหนึ่ง เป็นสถานที่แห่งบุญวาสนาสถิตอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าผู้ที่เข้าไปมีทั้งศิษย์ที่เป็นฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม พวกเขาจะต้องแย่งชิงกันอย่างดุเดือด ไม่ทราบว่าจะต้องมีผู้คนอีกมากเท่าใดที่ต้องตายตกไปอย่างน่าอเนจอนาถ”
“อันตรายกับวาสนาเป็นของคู่กัน เส้นทางแห่งยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งนั้นย่อมไม่ราบเรียบและเป็นเส้นตรง ทว่าเต็มไปด้วยอุปสรรคอันโหดร้ายที่ส่งผลต่อเส้นทางการเดินทาง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจหลบหนีการฆ่าฟันผู้คนได้พ้น” หลิงหวินจื่อเหม่อมองไปยังฉากการต่อสู้ของลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแล้วกล่าวต่อถู่ฟาง
“เอ๊ะ กำลังจะมีเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้นแล้ว” หลิงหวินจื่อร้องเสียงหลงขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
ถังหว่านเอ๋อและกู่หยางต่อสู้กันอย่างดุเดือดไม่หยุด มีทั้งกำปั้นพวยพุ่งออกไป มีทั้งคมวายุเข้าขัดขวางจนเกิดสายลมผวนอันบ้าคลั่ง ทว่าสายตาของหลิงหวินจื่อกลับไม่ได้มองไปที่พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ภายในแววตาคู่นั้นสะท้อนเงาร่างของชายหนุ่มผู้องอาจขึ้นมาเป็นสาย
หลังจากที่หลงเฉินย้อนกลับไปถึงขุมกำลังของตัวเองแล้วก็พบว่าทั่วทุกทิศทางเต็มไปด้วยผู้คนที่หมายจะเข้ามาช่วงชิงธงขนาดเล็ก เพราะธงของพวกเขานั้นมีมากที่สุดนั่นเอง
“เปลี่ยนค่ายกลสามเหลี่ยมให้เป็นค่ายเส้นโค้ง คุ้มกันกัวเหรินให้อยู่ตรงกลาง ผู้ใดคิดจะเข้ามาแย่งชิงให้ขังตายเอาไว้”
หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงดังกังวาน ฝีเท้าข้างหนึ่งเยื้องย่างไปอยู่ด้านหน้า ในขณะนี้ผู้คนมากมายก็เคลื่อนย้ายกำลังพลประดุจน้ำป่าไหลหลาก เพราะหากปล่อยให้สูญเสียขบวนค่ายกลไป แน่นอนว่าจะต้องถูกชิงธงไปอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนั้นที่ทำมาทั้งหมดก็ถือว่าสูญเปล่าแล้ว
หลงเฉินกวาดสายตามองไปยังเยี่ยจื่อชิวและพวกพ้องที่อยู่สภาพไม่แตกต่างกันด้วยซ้ำไป อีกทั้งยังเป็นขุมกำลังใหญ่ถึงสองฝ่ายกำลังจ้องเล่นงานอยู่ ผู้คนเหล่านั้นต่างก็ใช้กำลังทั้งหมดเข้าโจมตีจนขุมกำลังของเยี่ยจื่อชิวทำการป้องกันได้ยากจนแทบจะเสียการควบคุมไป
ทว่าหลงเฉินก็ยังคงผ่อนคลายจิตใจได้ไม่น้อย ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีกำลังคนมากกว่า ทว่าขุมกำลังของเขาก็ยังสามารถปกป้องกัวเหรินเอาไว้ได้ อีกทั้งผู้คนของเขาได้โอสถรวมเส้นเอ็นระดับสูงคอยหนุนเสริมอยู่ ฉะนั้นพลังการต่อสู้ของพวกเขาจึงไม่ด้อยไปกว่าอีกฝ่ายเลย แม้ว่าจะถูกจู่โจมเข้ามารอบด้าน ทว่าพวกเขาก็ยังต้านทานเอาไว้ได้อยู่
และที่สำคัญคือการต่อสู้ในสถานที่แห่งนี้ย่อมไม่ถึงขั้นสังหารกันจนตายตกลงไป ผู้คนมากมายจึงไม่กล้าลงมือเข้ามาอย่างหนักหน่วง ต่างฝ่ายต่างก็คิดที่จะล้มอีกฝ่ายจนกำลังพลลดลงไปเท่านั้น
บัดนี้ก้านธูปเล่มยาวนั้นยังเหลืออยู่อีกครึ่งศอก คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะมอดดับลงไปจนหมดสิ้น ขอเพียงยืนกรานเช่นนี้ไปจนถึงช่วงเวลานั้นได้ก็จะถือว่ามีชัยแล้ว
“หลงเฉิน ตายซะเถิด”
ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้นมาพร้อมกับลมพายุกรรโชกแรงสายหนึ่งหอบข้ามศีรษะของหลงเฉินไป หลงเฉินจึงมีปฏิกิริยาโต้กลับไปทันที อาวุธเพลิงในมือกวาดไปยังสายลมขุมนั้นจนเกิดเสียงดังขึ้นมาอย่างรุนแรง
“ชิ”
อาวุธเพลิงของหลงเฉินกระแทกเข้ากับอาวุธวารีอย่างหนักหน่วง เปลวเพลิงสีแดงเข้มส่งไอร้อนผ่านสายน้ำนั้นไปจนกลายเป็นไอระเหยลอยสู่อากาศ
“ชีซิ่ง” เมื่อปะทะกันโดยตรง หลงเฉินจึงมองเห็นศัตรูได้อย่างชัดเจน คนผู้นั้นก็คือชีซิ่งนั่นเอง
“หลงเฉิน ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ และอีกไม่นานเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดไปถึงภายในได้อย่างชัดเจนแน่นอน” ชีซิ่งกล่าวแล้วแสยะยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา
อาวุธเพลิงที่อยู่ในมือข้างใหญ่ถูกยกขึ้นแล้วหลงเฉินก็ตอบกลับไปว่า “คนอย่างเจ้าหรือ? ดูเหมือนว่าคงจะเป็นไปไม่ได้”
“หึหึ อีกไม่ช้าเจ้าก็จะเข้าใจเอง เมื่อถึงเวลานั้นอย่าได้คิดเสียใจจนฆ่าตัวตายไปเสียก่อน” ชีซิ่งกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา พลันก็ฟันอาวุธวารีไปที่หลงเฉินอย่างหนักหน่วง
หลงเฉินออกอาวุธเพลิงเข้าต้านไว้อีกครั้ง บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวอย่างแปลกประหลาดขึ้นมาเป็นสาย ไอน้ำมากมายกำลังลอยปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า
“เริ่มยุ่งยากขึ้นมาแล้วสิ”
หลงเฉินทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่ออาวุธเพลิงของเขากำลังถูกอาวุธวารีของชีซิ่งเข้าควบคุมเอาไว้จนไม่อาจแสดงพลังทำลายที่มีออกมาได้อย่างเต็มที่
เหตุการณ์นี้ไม่ได้หมายความว่าอาวุธเพลิงของเขานั้นไม่แกร่งกล้า ทว่าเป็นเพราะพลังการฝึกยุทธ์ของเขายังไม่สูงส่งพอที่จะกระตุ้นพลังทำลายของเพลิงกาฬสีฟ้าครามออกมาได้อย่างหมดจด หากเขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้เมื่อใด ถึงเวลานั้นก็จะไม่เห็นอาวุธวารีของชีซิ่งอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
“ชิ ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะทนไปได้อีกนานเพียงใดกัน”
พลังลมปราณขุมหนึ่งถูกไหลเวียนมาที่อาวุธวารีที่อยู่ในมือของชีซิ่ง จากกระบี่เล่มยาวก็ได้เปลี่ยนเป็นกระบี่ที่มีขนาดใหญ่กว่าสิบเซียะ ฟาดฟันเข้าไปทางหลงเฉินอย่างรุนแรง
คิดจะวัดพลังลมปราณอย่างนั้นหรือ? หลงเฉินหัวเราะหึหึอยู่ภายในจิตใจ เมื่อมีวงแหวนแห่งเทพคอยหนุนเสริมอยู่ก็ไม่มีสิ่งใดให้หวาดกลัวอีกต่อไป อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพลังสภาวะให้กับอาวุธเพลิงได้มากขึ้น
ทันทีที่วารีและอัคคีเข้าปะทะกันอีกครั้ง หมอกควันก็ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้าจนกลายเป็นกระแสลมรุนแรงอันน่าหวาดกลัวซัดสาดไปทุกสารทิศ การปะทะกันของทั้งสองสิ่งกลายเป็นสิ่งที่สูญเปล่าไปอย่างไรวี่แวว
“ชีซิ่ง เจ้ารีบจัดการกับขยะผู้นั้นเสีย หากช้าเช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง”
ทันใดนั้นก็มีอาวุธอัสนีบาตขนาดใหญ่หอบพายุกรรโชกแรงฟาดมาที่หลงเฉินอย่างหนักหน่วง เหร่ยเชียนซังกำลังจะลงมือออกมาแล้ว
หลงเฉินแตกตื่นจนต้องร่นถอยหลังออกไปหลายก้าว ดวงตาคู่คมกวาดมองไปรอบด้านแล้วก็พบว่าขุมกำลังของตัวเองกำลังถูกอีกสามขุมกำลังใหญ่จู่โจมอย่างบ้าคลั่งอยู่ แม้จะตั้งแนวรับเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า ทว่าด้วยจำนวนศัตรูที่มากมายถึงเพียงนั้นก็ทำให้แนวรับเกิดการสั่นคลอนไม่น้อยเลย
“ทุกคนต้านเอาไว้ ใกล้จะหมดเวลาแล้ว” หลงเฉินแผดเสียงร้องออกมาจนดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณเมื่อเห็นว่าก้านธูปดอกนั้นกำลังลดลงเหลือเพียงหนึ่งคืบเท่านั้น
“ห่วงตัวเองจะดีกว่านะ”
เหร่ยเชียนซังกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา แล้วออกคมหมัดซัดเข้าไปที่หลงเฉิน ส่วนชีซิ่งเองก็ไม่ได้ช้าไปกว่ากันเลย พลันก็กวาดอาวุธวารีที่อยู่ในมือใส่หลงเฉินอย่างหนักหน่วง
ศิษย์สายตรงที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นทั้งสองคนกำลังร่วมมือกันจู่โจมไปที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้แต่หลิงหวินจื่อที่ชมการต่อสู่อยู่ยังต้องรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาไม่น้อยเลย
“ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ถึงกับร่วมมือกันกุมรุมหลงเฉินเพียงผู้เดียว การกระทำเช่นนี้ถือว่าขัดต่อความตั้งใจของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง” ถู่ฟางขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้นมา
หลิงหวินจื่อยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “จะยุติธรรมหรือไม่นั้น ย่อมไม่เกี่ยวข้องอันกับผู้ที่แข็งแกร่งอยู่
การโหยหาความยุติธรรมมักถูกใช้โดยผู้ที่อ่อนแอและไร้ซึ่งพลังเสียมากกว่า ส่วนผู้แข็งแกร่งนั้นจะใช้ทุกสิ่งที่อยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นวิธีการที่ป่าเถื่อนที่สุดหรือมุทะลุที่สุดเพื่อเหยียบย่ำคนเหล่านั้นแล้วก้าวเดินต่อไป
หลงเฉิน ให้พวกเราได้ประจักษ์แก่สายตาหน่อยเถิดว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับความอยุติธรรมเช่นตอนนี้ได้อย่างไรกัน เพราะข้ารู้สึกว่าเด็กน้อยผู้นี้ยังมีแผนสำรองคอยรับมืออยู่”
ถู่ฟางจึงได้แต่จ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างเงียบงัน เจ้าหนูน้อยที่มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตระดับที่เจ็ดจะสามารถเผชิญหน้ากับศิษย์สายตรงสองคนที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นอย่างไรกัน? อี้ซู่? แล้วมันอย่างไรกันเล่า?
เมื่อสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงไปทุกที หลงเฉินจึงหลับตาลงช้าๆ ทุกอย่างที่อยู่ระหว่างฟ้าดินเริ่มเลือนรางหายไปจนหมดสิ้น มีเพียงตัวเขาที่อยู่ในห้วงแห่งความเงียบสงัด
‘กายาศึกกักวายุ——ปรากฏ’
ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับแววตาที่ปรากฏภาพดวงดารากลุ่มหนึ่งขึ้นมา