“หือ? เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น” หลงเฉินขมวดคิ้วเข้มขึ้นมา
“อย่างเพิ่งเข้าใจผิดไป ภารกิจของทางหมู่ตึกจะเปิดให้รับได้หลังจากเสร็จสิ้นการจัดอันดับของขุมกำลังทั้งหมดแล้ว ที่ข้านำภารกิจและแต้มคะแนนออกมาให้ดูนั้นก็เพื่อเป็นการเตือนเอาไว้ก่อนว่าภายในหมู่ตึกมีการแย่งชิงที่โหดเ**้ยมยิ่งนัก หากอยากกอบโกยให้มากกว่าผู้อื่นก็ต้องทุ่มเทกำลังมากยิ่งขึ้นไปอีกร้อยเท่า
ขุมกำลังใดมีอำนาจมากพอก็จะแย่งชิงภารกิจได้ก่อน ซึ่งมาจากการจัดอันดับนั่นเอง หากเป็นขุมกำลังที่อยู่ในอันดับหนึ่งก็จะมีสิทธิ์ได้เลือกภารกิจระดับสูงก่อน แม้ว่าจะมีอยู่อย่างจำกัด ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ และขุมกำลังที่อยู่อันดับหนึ่งก็จะได้รับแต้มคะแนนจากการทำภารกิจมากถึงสิบหมื่นคะแนนเลยทีเดียว
ส่วนขุมกำลังอันดับที่สองก็ให้นึกถึงบะหมี่เนื้อชามหนึ่ง ในเมื่อคนแรกได้คีบเนื้อชิ้นใหญ่ที่สุดออกไปแล้ว คนที่สองก็จะได้เนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เหลือไป ส่วนคนที่สามนั้นก็คีบได้แต่เส้นบะหมี่ส่วนหนึ่ง
จากนั้นลำดับต่อๆ ไปก็ต้องแบ่งเส้นบะหมี่ในชามกันอย่างอัตคัด และขุมกำลังที่อยู่รั้งท้าย แม้แต่การซดน้ำซุปก็ยังไม่มีโอกาสเสียด้วยซ้ำไป คงจะต้องเลียก้นชาเท่านั้น” ศิษย์พี่หญิงคนนั้นกล่าวต่อหลงเฉินพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
แน่นอนว่าศิษย์พี่หญิงทั้งสองนางคงจะเคยผ่านประสบการณ์การแย่งชิงอันโหดร้ายเหล่านี้มาทั้งหมดแล้ว ฉะนั้นเมื่อกล่าวความเป็นจริงออกไป ในมุมมองของเด็กใหม่ย่อมเปรียบเสมือนการทำลายความฝันของพวกเขาอย่างไร้ความปราณี ซึ่งพวกนางเองก็เข้าใจความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดีเช่นกัน
“ก้าวแรกนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อถึงเวลาของการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งแรกของเหล่าขุมกำลัง เจ้าจะต้องช่วงชิงอันดับต้นๆ เอาไว้ให้ได้ ความได้เปรียบถือเป็นปราการชั้นดี
ถึงแม้ว่าการต่อสู้ของขุมกำลังจะจัดขึ้นเดือนละครั้ง ทว่าหากไม่ช่วงชิงตั้งแต่แรกก็จะเริ่มทิ้งห่างในครั้งต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งนั่นเป็นการสูญเสียที่ย่ำแย่และมหาศาลอย่างถึงที่สุด อีกทั้งระยะห่างในภายหลังจะยิ่งมากขึ้นจนยากที่จะไล่ตามได้ทัน” ศิษย์พี่สาวผู้นั้นกล่าวเตือนสติขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หลงเฉินพยักหน้ารับ ภายในจิตใจก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมายกใหญ่ จากนั้นก็กล่าวขอบคุณหญิงสาวทั้งสองคนแล้วเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น
ที่ศิษย์พี่หญิงกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย ก้าวแรกถือว่าสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อทุกคนต่างก็เริ่มต้นที่จุดเดียวกัน ทว่าหากถูกช่วงชิงอันดับจนถูกนำออกไปทีละก้าวก็จะลำบากไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งหากช่วงชิงอันดับต้นๆ ได้ก็จะได้รับแต้มคะแนนที่มากกว่า ซึ่งนั่นก็เป็นปัจจัยในการกวาดซื้อทรัพยากรอันล้ำค่าได้มากมายจนสามารถหนุนเสริมการฝึกยุทธ์ให้เพิ่มสูงขึ้น
และหากรอคอยการต่อสู้ในครั้งต่อๆ ไป ก็มีแต่จะทิ้งระยะห่างของอันดับและความห่างชั้นของพลังการต่อสู้โดยรวมอย่างเห็นได้ชัด ขุมกำลังที่เหนือกว่าก็จะมีมากขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้นจนไม่อาจไล่ตามได้ทัน
ทว่าน่าเสียดายที่หลงเฉินกลับไม่ได้ถามไถ่ออกไปว่าการจัดอันดับด้วยการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่นั้นเป็นเช่นไร ไม่อย่างนั้นเขาคงจะวางแผนการต่อสู้เอาไว้ก่อนได้ อีกทั้งยังทำให้ขุมกำลังแสดงแสนยานุภาพออกมาได้อย่างเต็มที่
หลงเฉินเดินก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดอยู่กับตัวเองอย่างวุ่นวาย ทันใดนั้นเองเบื้องหน้าของเขาก็มีเงาร่างสายหนึ่งวิ่งตะบึงหน้าตั้งเข้ามาหา หลงเฉินกำลังจะเบี่ยงกายหลบออกไปทางด้านข้าง ทว่าเงาร่างสายนั้นกลับเปลี่ยนทิศทางไปตามการเคลื่อนไหวของเขาอย่างจงใจ ด้วยพลังสภาวะที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากของคนผู้นั้นจึงพุ่งเข้าชนหลงเฉินจนลอยกระเด็นออกไป
หลงเฉินกระเด็นออกไปไกลหลายจั่ง ภายในจิตใจบังเกิดโทสะขึ้นมาไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้จงใจที่จะมุ่งตรงมาหาเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับชายหนุ่มหัวโล้นที่มีร่างกายกำยำกำลังจ้องมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ชายหนุ่มผู้นี้สูงกว่าเขาราวหนึ่งศีรษะ
กล้ามเนื้อบนร่างกายกระชับเป็นมัดเท่ากันทั้งสองฝั่ง บนผิวหนังเห็นเส้นโลหิตปูดโปนขึ้นมาเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือนมีอสรพิษตัวเล็กๆ เลื้อยไปมาทั่วทั้งร่างกาย บรรยากาศบนร่างปะทุพลังอันมหาศาลออกมาไม่หยุด ที่แขนของคนผู้นั้นปกคลุมไปด้วยบางอย่างที่เงาวับจนแสบนัยน์ตา เมื่อมองจากตรงนี้ราวกับว่าได้เห็นป้อมปราการเคลื่อนที่อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนทางด้านหลังของชายหนุ่มหัวโล้นเป็นกลุ่มคนสามคน หนึ่งในนั้นกำลังทอแววตาเย็นเยียบจ้องมองมาที่เขา บนร่างกายแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันแกร่งกล้าที่ยากจะหาสิ่งใดมาเทียบได้
ส่วนอีกสองคนที่เเหลือนั้น หลงเฉินรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีนั่นก็คือเหร่ยเชียนซังและชีซิ่ง ดวงตาทั้งสองคู่ปรายมองมาที่เขาราวกับว่ากำลังยินดีในความโชคร้ายของเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“นี่หรือที่พวกเจ้าบอกว่าเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่สัตว์ประหลาด?” ชายหนุ่มหัวโล้นกล่าวต่อเหร่ยเชียนซัง
เหร่ยเชียนซังจึงตอบกลับมาว่า “ใช่ อย่าได้ดูแคลนเขาเป็นอันขาด ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังอยู่เพียงขอบเขตก่อโลหิตตอนปลาย ทว่าพลังการต่อสู้กลับไม่ต่างไปจากยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเลย หรืออาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำไป”
ชายหนุ่มหัวโล้นจึงส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “เพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตตอนปลาย มีกายเนื้อที่ไม่เลว ทว่าพลังการฝึกยุทธ์เช่นนี้ช่างขยะเกินไปแล้ว ไม่น่าดูเอาเสียเลย หลีกไปซะ”
ในขณะที่ชายหนุ่มหัวโล้นกล่าวขึ้นมานั้น เขาก็มีท่าทีราวกับว่าไม่เห็นหลงเฉินอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งหากหลงเฉินไม่หลบทางก็จะต้อเกิดการต่อสู้กันเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะตกใจในความแข็งแกร่งของชายหนุ่มหัวโล้นผู้นั้นไม่น้อย ทว่าจิตวิญญาณของเขานั้นเด็ดเดี่ยวเสียยิ่งกว่านั้นหลายเท่านัก จึงยังคงยืดหยัดอยู่ตรงนั้นและไม่ยอมจากไปตามคำขู่
เขาทราบดีว่าเด็กน้อยผู้นี้แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเหร่ยเชียนซังและพวกพ้องมาก ทว่าเขาไม่อาจยอมรับการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้เอาไว้ได้ พลันก็ส่งสายตาเย็นชาไปที่ชายหนุ่มหัวโล้นพร้อมทั้งยื่นมือออกไปช้าๆ ไหลเวียนพลังเพลิงกาฬขึ้นมาเตรียมพร้อมการลงมือ
เมื่อพบว่าหลงเฉินไม่หลีกทางให้ อีกทั้งยังตั้งท่าพร้อมจะประมือขึ้นมา ชายหนุ่มหัวโล้นจึงแสยะยิ้มแล้วมุ่งหน้าตรงไปที่หลงเฉิน พร้อมกับปะทุพลังสภาวะปกคลุมไปทั่วทั่งร่างในทันที
“ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามการใช้วรยุทธ์ ผู้ใดกล้าฝ่าฝืนกัน”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากที่แห่งหนึ่ง ชายหนุ่มหัวโล้นจึงหยุดชะงักร่างกายในทันที พลันก็หันหน้ากลับไปมอยังต้นเสียงแล้วก็พบกับชายหนุ่มสวมอาภรณ์ยาวสีขาวกำลังจ้องมาที่พวกเขาอย่างไม่วางตา
ชายหนุ่มที่เพิ่งจะมาเยือนนั้นเป็นผู้คุมกฎนั่นเอง เขามาพร้อมกับบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวขุมหนึ่งจนทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะสบตาเข้าไปตรงๆ ทว่าหลงเฉินกลับมองไปที่ชายหนุ่มผู้นั้นด้วยอาการตกตะลึงยกใหญ่ เขาคือศิษย์พี่ว่านนั่นเอง
ชายหนุ่มหัวโล้นจ้องศิษย์พี่ว่านด้วยแววตาเย้ยหยันเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ผู้ที่เป็นศิษย์พี่รุ่นก่อน เขาก็ยังดูแคลนอย่างไม่เสื่อมคลาย ทว่ากลับไม่กล่าวตอบกลับแต่อย่างใด เพียงแต่หันหน้ากลับมามองที่หลงเฉิน “เจ้าหนู อย่าคิดมาขวางทางข้าอีก หากมีครั้งต่อไปข้าจะใช้กำปั้นซัดเจ้าจนกลายเป็นเนื้อบด คอยดูเถิด”
ทันทีที่กล่าวจบ ชายหนุ่มหัวโล้นก็เดินผ่านหลงเฉินไป จากนั้นพวกพ้องอีกสามคนก็ติดตามไปติดๆ สถานที่พวกเขากำลังมุ่งตรงไปนั้นเป็นหอพลิกสวรรค์ แน่นอนว่าคงจะไปซื้อสิ่งของล้ำค่าสำหรับเพิ่มพูนการฝึกยุทธ์
หลังจากที่กลุ่มคนเหล่านั้นจากไปแล้ว ศิษย์พี่ว่านก็เดินตรงมาหาหลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ไปด้วยกันสักครู่ได้หรือไม่ ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกเจ้า”
หลงเฉินรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่น้อย ศิษย์พี่ว่านมักจะอยู่ในท่าทางเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา ทว่าในตอนนี้กลับใส่ใจเขามากมายอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ขับไล่เจ้าหัวโล้นออกไป ทว่ายังเดินมาส่งเป็นระยะทางหนึ่งอีกด้วย
“ขอบคุณศิษย์พี่ว่านมาก” หลงเฉินผสานมือเข้าด้วยกัน หันไปทางศิษย์พี่ว่านแล้วกล่าวขอบคุณด้วยความตื้นตันใจอย่างถึงที่สุด
ภายในห้วงแห่งความคิดของหลงเฉินคอยตอกย้ำตัวเองมาตลอดทางว่าเจ้าหัวโล้นผู้นั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเหร่ยเชียนซังและชีซิ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เขาจะต่อกรได้เลย
ซึ่งสิ่งนี้ก็ได้กระตุ้นโทสะของเขาขึ้นมาอย่างท่วมท้น หากเขาสามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้แล้ว แน่นอนว่าเจ้าหัวโล้นนั่นไม่มีวันเทียบชั้นได้
“เห็นเจ้าแล้ว ข้านึกถึงตัวเองเมื่อสามปีก่อน เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ทว่ากับบางคนก็ต้องหลีกเลี่ยงบ้าง ไม่ใช่เป็นเพราะอ่อนแอ ทว่าเป็นเชิงการต่อสู้อีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อรู้ว่าตัวเองอ่อนแอกว่าก็อย่าได้ฝืน ไม่เช่นนั้นจะรั้นแต่ทำร้ายตัวเองไปก็เท่านั้น” ศิษย์พี่ว่านกล่าว
หลงเฉินฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ที่ศิษย์พี่ว่านกล่าวเตือนสติ ข้าเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี ทว่าข้ากลับไม่อาจควบคุมตัวเองได้ หากจะต้องอับอาย ข้าขอยอมตายเสียดีกว่า”
หลงเฉินได้รับผลอันแรงกล้าเช่นนี้มาจากความทรงจำของจักรพรรดิโอสถภายในห้วงสมอง ไม่อาจทนรับความเหยียดหยามจากผู้คนได้ อีกทั้งการถูกเหยียดหยามยังน่าอเนจอนาถเสียยิ่งกว่าพบเจอกับความตายเสียอีก
ศิษย์พี่ว่านพยักหน้าแล้วกล่าวต่ออีกว่า “ความรู้สึกเช่นนี้เกี่ยวข้องกับสภาวะจิตใจ ข้าเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือร้าย ทว่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็อยากจะเตือนเจ้าเอาไว้
ในตอนนี้เจ้ามีพลังการฝึกยุทธ์ที่ต่ำต้อยที่สุดในหมู่ตึกแห่งนี้ ซึ่งจะทำให้เจ้าพลาดท่าเสียทีได้ง่าย ชายหนุ่มที่เจ้าเพิ่งจะพบเจอเมื่อครู่นี้มีนามว่ากู่หยาง เขามีพลังกายแห่งเทพมาตั้งแต่กำเนิด กายเนื้อแข็งแกร่งจนไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้ อีกทั้งยังมีพลังการต่อสู้อันแกร่งกล้าจนน่าหวาดกลัว นอกจากนี้ยังไม่มียอดฝีมือในระดับเดียวกันคนใดที่เหมาะจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขามาก่อน
และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ก่อนที่จะเข้ามาภายในหมู่ตึกแห่งนี้เสียด้วยซ้ำไป”
หลงเฉินแตกตื่นตกใจเสียยกใหญ่ สามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ก่อนที่จะเข้ามายังที่แห่งนี้อย่างนั้นหรือ? และเขาเข้ามายังหมู่ตึกแห่งนี้ก็เพื่อใช้โลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์อย่างแน่นอน หนุนเสริมพลังกายเนื้อให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าถังหว่านเอ๋ออย่างนั้นหรือ?
“ศิษย์รุ่นนี้เป็นรุ่นที่แข็งแกร่งที่สุดของหมู่ตึก มีแต่ผู้มีพรสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลมากขึ้นเรื่อยๆ
เพียงแค่พริบตาเดียวก็มีถึงสี่คนเข้าไปแล้ว ส่วนของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิว เจ้าก็คงจะทราบแล้ว เด็กหนุ่มหัวโล้นที่มีนามว่ากู่หยางนั่นก็ด้วย ส่วนอีกคนนั้นมีนามว่ากวานเหวินหนาน คนผู้นี้มีพลังการต่อสู้มหาศาล ทว่าเขากลับเป็นคนเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี
วันนี้ข้าจะดูแลเจ้าถึงตรงนี้ ที่อยากจะบอกต่อเจ้าอีกประการหนึ่งก็คือสถานที่แห่งนี้เป็นเสมือนสวนพฤกษชาติที่กำลังเบ่งบาน ผู้ใดที่พบเห็นก็ปรารถนาที่จะได้มาครอบครอง
ทว่าเจ้าก็คงทราบแล้วว่าไม่ว่าจะอย่างไรสวนแห่งนี้ก็มีเจ้าของได้แค่หนึ่งเดียว ฉะนั้นความโหดร้ายในการแย่งชิงและต่อสู้ในครั้งแรกนั้นคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ”
“ขอบคุณศิษย์พี่ว่านมากที่ทั้งตักเตือนและแนะนำ ผู้น้องจะขอจดจำเอาไว้จนขึ้นใจ” หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวออกไป วาจาของศิษย์พี่ว่านเหมือนกับศิษย์พี่หญิงผู้นั้นไม่มีผิด
“ข้าอยากเห็นเจ้าได้ดี ฉะนั้นจงสู้ให้สุดใจล่ะ” ศิษย์พี่ว่านตบไปที่บ่าของหลงเฉินแล้วจากไป
หลงเฉินจึงเดินกลับไปที่ถ้ำแล้วก็พบว่าถังหว่านเอ๋อและชิงยวูยังคงอยู่ในสภาวะที่นิ่งสงบเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปถึงวันที่สาม ถังหว่านเอ๋อก็ลืมตาขึ้นมาเป็นคนแรก และนางพบว่าพลังสภาวะภายในร่างกายของนางสงบนิ่งลงไปอย่างหมดจดแล้ว
ไม่มีแม้แต่การพลั่งพลูออกมาเหมือนเช่นก่อนหน้านี้อีกต่อไป หรือจะกล่าวให้เข้าใจอย่างง่ายนั่นก็คือนางได้เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้อย่างหมดจดแล้วนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าถังหว่านเอ๋อฝึกยุทธ์จนสำเร็จแล้ว หลงเฉินจึงบอกเล่าเรื่องราวที่จุดรับภารกิจและตอนที่เขาพบเจอกับกู่หยางให้ถังหว่านเอ๋อฟังเป็นฉากๆ จนทำให้สาวงามเกิดอาการแตกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
นางไม่เคยนึกคิดมาก่อนเลยว่านอกจากนางและเยี่ยจื่อชิวแล้ว ยังมียอดฝีมืออีกสองคนสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ อีกทั้งยังตื่นเร็วเสียยิ่งกว่าพวกนางอีกด้วย
“หว่านเอ๋อ น้ำผึ้งของข้ายังมีอยู่อีกมาก เจ้าช่วยแบ่งให้กับทุกคนด้วย พวกเขาจะได้ฝึกยุทธ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แล้วที่เหลือจากนั้นก็เอาไปให้เยี่ยจื่อชิวเจี่ยเจี่ย ในเมื่อพวกเราเป็นพันธมิตรกันแล้ว หากพวกนางแข็งแกร่งขึ้นก็จะสามารถช่วยเหลือพวกเราได้ด้วยเช่นกัน
อีกสักครู่ข้าจะไปซื้อสมุนไพรมาเพิ่ม เพื่อหลอมโอสถรวมเส้นเอ็นให้เยื่อจื่อชิวเจี่ยเจี่ยอีกชุดหนึ่ง เอ๊ะ ถ้าข้าทราบตั้งแต่แรกก็คงจะไม่ให้พวกเขาไปซื้อโอสถที่ราคาแพงเหล่านั้นแล้ว” หลงเฉินส่งเสียงดังขึ้นมาช่วงสุดท้าย เพราะเขาได้ลืมเลือนเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย
หลังจากที่หลงเฉินได้รับหน้าที่ในการหลอมโอสถ เขาก็พยายามหลอมขึ้นมาให้เป็นโอสถระดับสูงจนแทบทั้งสิ้น จนทำให้เหล่าผู้คนผนึกพลังของตัวเองได้รวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อถึงเวลาที่การต่อสู้ระหว่างขุมกำลังทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้น การเสียสละแต้มคะแนนไปส่วนหนึ่งกลับสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เสียกว่านั่นก็คือรางวัลของผู้ชนะที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งยวด
และในขณะนี่ขุมกำลังทั้งสองก็ได้เพิ่งระดับการฝึกยุทธ์จนอยู่ในสภาวะที่มั่นคงทั้งหมดแล้ว หลงเฉินจึงสอนการหลักการการต่อสู้ให้กับพวกเขา มีเพียงการเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เท่านั้นที่จะดึงพลังที่สมบูรณ์ออกมาได้ หรือหมายถึงยิ่งต่อสู้มากก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นนั่นเอง
หลงเฉินและพวกพ้องต่างก็ฝึกฝนกันก่อนหน้าผู้อื่นกว่าสิบวันเห็นจะได้ จึงทำให้พวกเขามีพลังสภาวะที่เหมาะสม อีกทั้งยังเพิ่มพูนพลังการต่อสู้ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนอันหนักหน่วงผ่านไปวันแล้ววันเล่า อีกทั้งยังผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็ได้ไหลเวียนพลังขึ้นมาเหมือนเช่นทุกวันมาหนึ่งเดือนแล้ว
“ตึง”
เสียงระฆังดังไปทั่วทุกซอกทุกมุมของหมู่ตึก หลงเฉินที่กำลังหลับตาอย่างผ่อนคลายอยู่นั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“การต่อสู้ครั้งใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้ว”