เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 185 ความเย็นชาที่ไร้ซุ่มเสียง

หลงเฉินทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ขณะที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยวาจาออกมา ผู้อาวุโสซุนก็ได้โบกมือขึ้นมาแล้วกล่าวตัดบทว่า “นำตัวไป”

 

 

 

 

 

 

 

 

ศิษย์พี่หวู่ส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมา จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าไปหาหลงเฉินเพื่อจับกุมตัวตามคำสั่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงยกมือชี้หน้าผู้อาวุโสซุนแล้วด่าทอขึ้นมาว่า “ตาแก่บ้าใบ้อย่างเจ้า ตาบอดหรือสายตาฝ้าฟางกันแน่? ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของเจ้าก็น่าจะล่วงรู้ว่าตำแหน่งที่ข้ายืนอยู่เมื่อครู่นี้อยู่ห่างปากทางเข้าหอพลิกสวรรค์หนึ่งจั่งกับอีกสามเซียะ

 

 

 

 

 

 

 

 

ช่างไม่เสมอภาคเอาเสียเลย คนอย่างเจ้าเหมาะสมแล้วหรือที่จะเป็นผู้อาวุโส หมู่ตึกแห่งนี้ตาบอดรับเจ้าเข้ามาได้อย่างไรกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินนั้นแกร่งกล้ากว่ายอดฝีมือทั่วไป เขานั้นทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าชายชราผู้นี้กำลังจ้องมองมาจากบริเวณนั้น แน่นอนว่าด้วยสายตาอันสูงส่งของผู้อาวุโสย่อมต้องเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจนแล้ว ฉะนั้นหลงเฉินจึงได้ลงมือต่อศิษย์พี่หวู่ ทว่าผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด เพราะผู้อาวุโสผู้นี้ไม่ถามไถ่หาความจริงจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังรวบรัดเข้าจัดการเขา

 

 

 

 

 

 

 

 

เช่นนั้นหลงเฉินจึงด่าทอขึ้นมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ผู้คนทั้งหมดต่างก็แตกตื่นตกใจขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน หลงเฉินเป็นบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน ถึงกับหาเรื่องใส่ตัวอีกครั้ง ทั้งกับศิษย์พี่ และในตอนนี้ยังไปชี้หน้าด่าผู้อาวุโสอีกคน นี่มันบ้าเกินไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“บังอาจ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้อาวุโสซุนส่งเสียงดันขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด พร้อมกับแผ่พลังอันแข็งแกร่งขุมหนึ่งเข้ากักขังร่างกายของหลงเฉินเอาไว้ในทันที พลังกดดันอันหนักหน่วงประดุจมีขุนเขาลูกใหญ่กดทับลงมาจนแทบจะหายใจไม่ออก

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้แต่ถังหว่านเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างกายก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ร่างกายถูกกดดันเอาไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ แม้แต่การหายใจก็ยังติดขัด ภายในจิตใจจึงเกิดอาการเต้นตูมตามขึ้นมาอย่างรุนแรง นี่เป็นพลังกดดันที่นางได้รับเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น ทว่าทางด้านหลงเฉินนั้นคงจะเรียกได้ว่าหนักหนาเสียยิ่งกว่าของนางมาก

 

 

 

 

 

 

 

 

“พรวด”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง กระดูกทั่วทั้งร่างกายส่งเสียงดังกร่อบแกร่บขึ้นมาไม่หยุด เสียงดังขึ้นมาต่อเนื่องราวกับได้แตกหักออกเป็นท่อนๆ ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

เจ้าตัวบัดซบผู้นี้ใช้เพียงแรงกดดันทำให้เขาต้องล้มลงไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ? แววตาของหลงเฉินทอประกายรังสีสังหารขึ้นมาอย่างแรงกล้าจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสซุนอย่างเอาเป็นเอาตาย ภายในจิตใจก็ได้สัตย์สาบานขึ้นมากับตัวเองว่าอย่าได้ปล่อยให้ข้ามีโอกาสเชียว ไม่เช่นนั้นความอับอายในวันนี้ข้าจะชำระคืนเป็นร้อยเท่าพันทวี

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังดิ้นรนจากการกักขึงอย่างหนักหน่วงอยู่นั้น ก็ได้มีวาจาที่เย็นชาดังขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผู้อาวุโสซุน เจ้ากำลังทำอันใด?”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา ผู้อาวุโสซุนก็เกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด พลันก็รีบร้อนรั้งพลังในกายกลับไป ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดกันที่ผู้อาวุโสถู่ฟางได้ปรากฏตัวขึ้นมาในบริเวณแห่งนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่สภาวะกดดันสลายหายไป ร่างกายของหลงเฉินก็รู้สึกเบาหวิวขึ้นมาในทันที ทว่ากลับไม่อาจทรงตัวเอาไว้ได้อยู่ ถังหว่านเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้าไปประคองเอาไว้ ไม่ใช่ว่าเขาจงใจจะโอบกอดถึงหว่านเอ๋อ ทว่าในตอนนี้ร่างกายกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างแท้จริงแล้ว พลังกดดันอันแข็งแกร่งของผู้ที่อยู่ในระดับผู้อาวุโสช่างน่าหวาดกลัวมากจริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าถังหว่านเอ๋อจะทราบว่าหลงเฉินไม่ได้จงใจเซล้มเพื่อหลอกกอดนาง ทว่าก็ยังไม่อาจหยุดใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นมาได้ อีกทั้งยังพยุงร่างกายของหลงเฉินอย่างแน่นหนาโดยไม่รังเกียจเดียดฉันเลยแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันก็เกิดความรู้สึกเกลียดชังผู้อาวุโสซุนผู้นั้นอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“เรียนท่านผู้อาวุโสถู่ฟาง หลงเฉินผู้นั้นได้ก่อเรื่องวิวาทหน้าหอของข้า อีกทั้งยังหลบเลี่ยงการจับกุมของผู้คุมกฎ ทั้งหลาน ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้กำลังทำลายสิ่งปลูกสร้างที่อยู่รอบข้างไปมากมาย ข้าจึงลงมือเพื่อขัดขวางเขาเอาไว้เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องบานปลายไปมากกว่านี้ ขอเชิญท่านผู้อาวุโสถู่ฟางพิจารณาด้วย” ผู้อาวุโสซุนกล่าวพร้อมทั้งยกมือขึ้นคารวะ

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้จะอยู่ในระดับผู้อาวุโสเฉกเช่นกัน ทว่าถู่ฟางกลับมีอำนาจที่สุดภายในหมู่ตึกแห่งนี้ หรือที่เรียกกันว่า——ผู้อาวุโสผู้คุมกฎ ฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะตอแยด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

“ออ? เรื่องเป็นเช่นนั้นหรือ? หลงเฉิน เจ้าจะว่าอย่างไร? ” ถู่ฟางกวาดสายตามาหยุดที่หลงเฉินแล้วเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ท่านผู้อาวุโสถู่ฟาง ด้วยสายตาของท่านก็คงจะเห็นเรื่องราวได้ชัดเจนอยู่แล้ว อย่าให้ข้าอธิบายออกมาให้มากความอีกเลย” หลงเฉินปรายสายตามองไปที่รอยเท้าบนพื้นดิน

 

 

 

 

 

 

 

 

ตรงบริเวณนั้นเป็นรอยฝ่าเท้าของเขาในขณะที่ยืนตบผู้คุมกฎผู้นั้นจนลอยกระเด็นออกไปไกล เขาจงใจที่จะหลงเหลือหลักฐานเอาไว้ เมื่อมองเห็นรอยเท้านั้นแล้วศิษย์พี่หวู่และผู้คุมกฎคนนั้นก็ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลงเฉินจะสร้างหลักฐานเอาไว้เช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นขึ้นมาจนใบหน้าซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ท่านผู้อาวุโสถู่ฟาง อย่าได้เชื่อกล่าววาจาเหลวไหลของเจ้าเด็กน้อยผู้นั้น เขาได้ทำขึ้นมาในภายหลังที่ศิษย์ได้ตรวจสอบแล้ว เช่นนั้นจะใช้เป็นหลักฐานได้อย่างไรกัน” ศิษย์พี่หวู่กล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ทำขึ้นมาภายหลังหรือไม่นั้นก็ลองถามผู้คนที่อยู่โดยรอบบริเวณแห่งนี้ดูก็จะทราบเอง นอกจากการลงมือกับเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายไปจากจุดนั้นเลยไม่ใช่หรือ”

 

 

 

 

 

 

 

 

และทันทีที่กล่าวจบ หลงเฉินก็ชูกำปั้นขึ้นมาแล้วกล่าวกับผู้คนโดยรอบว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราต่างก็เป็นศิษย์ใหม่ด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาใช้อำนาจของผู้คุมกฎเข้าคุกคาม อีกทั้งยังไม่ถามถึงความจริงของศิษย์ใหม่ด้วยซ้ำไป พวกเจ้าเองก็เห็นกับตาแล้วใช่หรือไม่

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่ได้จะร้องขอให้พวกเจ้าเสนอตัวเป็นพยาน ทว่าขอเพียงนำความจริงที่พวกเจ้าได้ประจักษ์กับสายตาออกมาบอกกล่าวก็พอแล้ว ตอนนี้พวกเราก็อยู่เบื้องหน้าของผู้อาวุโสผู้คุมกฎแล้วไม่ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใด อีกทั้งในภายหลังจากนี้พวกเขาจะได้ไม่รังแกเหล่าศิษย์น้องอย่างพวกเราอีก

 

 

 

 

 

 

 

 

เด็กน้อยผู้น่าชังเหล่านี้คิดจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าพวกเรา หมายจะข่มเหงในวันข้างหน้า พวกเจ้าสามารถทนรับได้อย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบก็มีคนผู้หนึ่งยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าสามารถเป็นพยานให้ได้ รอยเท้าข้างนั้นเป็นจุดที่หลงเฉินยืนมาโดยตลอด”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ผิด ศิษย์พี่ผู้คุมกฎผู้นั้นเที่ยวใช้อำนาจเข้าจับกุมผู้อื่นจนกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ช่างน่าขำยิ่งนัก ความฉลาดของศิษย์พี่ผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่หลงเฉินจะลงมือสู้ด้วย เขากลับจงใจที่จะหยุดอยู่กับที่ แล้วเขาจะทำเช่นนั้นไปเพื่อการใดกัน ท่านก็ยังดูไม่ออกอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

จู่จู่เหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลายก็บังเกิดความฮึกเหิมขึ้นมายกใหญ่ หลายวันมานี้พวกเขาต่างก็ต้องเอาอกเอาใจศิษย์พี่ผู้คุมกฎเหล่านี้จนเกิดความไม่พอใจอัดแน่นอยู่เต็มอก เมื่อสบโอกาสที่จะได้ระบายอารมณ์ออกมา พวกเขาจึงโพล่งความในใจออกมาอย่างไม่ขาดสาย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ศิษย์ใหม่พ่นวาจาเหยียดหยามออกมามากมาย ศิษย์พี่หวู่ก็ทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาในทันที ดวงตาทั้งสองกวาดมองไปโดยรอบอย่างเอาเป็นเอาตาย เหตุใดผู้คนเหล่านี้ถึงกลายไปเป็นพยานของหลงเฉินไปเสียได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“ท่านผู้อาวุโสถู่ฟาง ท่านดูแววตาอาฆาตของศิษย์พี่เหล่านั้นสิ เห็นได้ชัดว่ากำลังตระเตรียมที่จะแก้แค้นเอาคืนไว้แล้ว ได้โปรดท่านผู้อาวุโสถู่ฟางให้ความเป็นกลางกับพวกเราด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

สายตาที่มองผู้คนด้วยความเคียดแค้นผนวกกับจิตใจที่คับแคบเช่นนั้นจะมาดูแลกฎและผดุงความยุติธรรมได้อย่างไรกัน? หากมองในมุมของศิษย์ใหม่แล้วเรียกได้ว่าเป็นเสมือนกับฝันร้ายหลายตื่นเลยทีเดียว “ แล้วก็มีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ศิษย์พี่หวู่มีสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาในบัดดล ทั่วทั้งใบหน้ามีเส้นโลหิตปูนโปนขึ้นมาด้วยความเดือดดาล ทว่าเขากลับไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปจดจำใบหน้าของผู้คนเหล่านั้น เพียงแต่จดจำเสียงเอาไว้จนขึ้นใจ: ศิษย์ใหม่ก็เป็นแค่สุนัขฝูงหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้ารอข้าก่อน ข้าจะคิดบัญชีเรียงตัวในภายหลังเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาเองก็เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาในปีที่แล้ว อีกทั้งยังถูกเหล่าศิษย์พี่ทั้งหลายจัดการสั่งสอนจนกำหลาบและยอมเชื่อฟังอย่างนอบน้อมทุกอย่าง และในที่สุดตอนนี้ก็ถึงรอบของพวกเด็กใหม่เหล่านี้แล้ว ทว่าเหตุใดจึงกลับตาลปัตรไปถึงเพียงนี้ ถึงกับหาญกล้ายกหางชี้ขึ้นฟ้าเข้าต่อต้านพวกเขา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางเหลือบตามองไปยังรอยเท้าที่ประทับอยู่บนพื้นดิน แล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ผู้ใดเป็นคนวัดระยะทาง?”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นใบหน้าอันซีดขาวของชายผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาทางด้านหน้า “เป็น……ศิษย์เอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

“เป็นถึงผู้คุมกฎ ทว่ากลับไม่มีความเป็นธรรม อีกทั้งยังลงมือทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก จงเก็บข้าวของของเจ้า ไปรับเงินเดือนในเดือนนี้แล้วกลับบ้านเกิดของเจ้าไปเสียเถิด” ผู้อาวุโสถู่ฟางถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินคำตัดสินเช่นนั้น ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตกใจขึ้นมายกใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่ผู้หนึ่งควรจะได้รับอย่างนั้นหรือ? ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ท่านผู้อาวุโส ศิษย์……” คนผู้นั้นตกใจขึ้นมายกใหญ่

 

 

 

 

 

 

 

 

“อย่าได้กล่าวอันใดออกมาอีกเลย เป็นถึงผู้คุมกฎของหมู่ตึก ทว่าจิตใจกลับไม่ขาวสะอาดเฉกเช่นหน้าที่ที่ได้รับ ไม่ว่าจะกระทำการอันใดก็สมควรที่จะเป็นไปกระจ่างแจ้ง ทว่าเจ้ากลับทำให้เกิดความเสื่อมเสียขึ้นมาอย่างไม่น่าให้อภัย

 

 

 

 

 

 

 

 

การกระทำของเจ้าจะนำพาเจ้าเข้าสู่ความเลวร้ายและไม่เป็นธรรม เช่นนั้นอย่าได้อยู่ที่หมู่ตึกแห่งนี้อีกต่อไปเลย และหากภายในจิตใจของเจ้ายังมีหมู่ตึกอยู่ เมื่อได้กลับไปแล้วก็จงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ดีขึ้นเสียเถิด” ถู่ฟางกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความอดสู ฝีปากขยับไปมาคล้ายกับจะกล่าวบางอย่าง ทว่าหลังจากที่เหลือบมองไปทางศิษย์พี่หวู่แล้วก็ได้แต่พยักหน้าไปมาแล้วเดินจากไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“หวู่ฉี ข้าจำได้ว่าเจ้าเพิ่งจะพ้นโทษจากการกักบริเวณยังไม่ถึงหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นไม่ได้ทำให้เจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงอันใดเลยนะ” ถู่ฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ศิษย์ทราบความผิดแล้ว เป็นศิษย์เองที่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง ขอผู้อาวุโสให้การลงโทษด้วย” ศิษย์พี่หวู่กล่าวขึ้นมาอย่างรีบร้อน การยอมรับความผิดในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผู้ใดถูกหรือผิดนั้น เจ้าเองก็คงจะรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว พวกเขาไม่ได้ฟ้องร้องเอาความต่อเจ้า นั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว แน่นอนว่าโชคนับเป็นพลังฝีมือประการหนึ่งของยอดฝีมือ ฉะนั้นข้าจะไม่ขับไล่เจ้าออกไป ถึงแม้ว่าเจ้าจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าจะมีส่วนรวมด้วย ทว่าข้านั้นไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้าโชคดีไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าเจ้ากลับไม่ใช่ผู้ตรวจวัดระยะทางด้วยตัวเองแล้วยังลงมือ นั่นเรียกว่าเป็นความผิด สิ่งที่เสียหายทั้งหมดนี้เป็นเจ้าที่จะต้องรับผิดชอบ จงไปที่ตำหนักคุมกฎแล้วรับการโบยห้าร้อยที และกักบริเวณอีกครึ่งเดือน” ถู่ฟางก็กล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินว่าจะถูกการโบยห้าร้อยที ศิษย์พี่หวู่ก็แทบจะสลบเหมือดไปในทันที การโบยของทางหมู่ตึกนั้นแตกต่างไปจากการลงโทษทั่วไป เพราะเป็นการโบยโดยใช้ไม้หลี่จิน (ทอง) อีกทั้งยังเคลือบด้วยฤทธิ์ของพิษชนิดหนึ่ง เพียงแค่ลูบลงไปเบาๆ ก็สามารถทำให้ผู้คนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทุรนทุรายได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

และตามปกติแล้วโทษอย่างหนักจะถูกโบยเพียงสองร้อยทีเท่านั้น ทว่าในตอนนี้กลับมากถึงห้าร้อยที หากเขาไม่ตายตกไปก่อนก็คงคล้ายกับถูกถลกเนื้อหนังออกไปอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้อยากจะคัดค้านขึ้นมาจนแทบจะขาดใจ ทว่าเขาเองก็ทราบดีว่าผู้อาวุโสถู่ฟางเป็นคนหนักแน่นนิ่งนัก หากไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ก็อาจจะถูกเพิ่มโทษให้หนักยิ่งขึ้นไปอีก ฉะนั้นเขาจึงได้แต่กัดฟันแล้วก้มหน้าเดินจากไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผู้อาวุโสซุน” ถู่ฟางเรียกขานพร้อมกับเลื่อนสายตาไปยังใบหน้าซีดเผือดของผู้อาวุโสซุน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ขอรับ” ผู้อาวุโสซุนขานรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไปทำความสะอาดผนังหลังหุบเขาสักเจ็ดวันเถิด ที่หอแห่งนี้ข้าจะหาคนมาดูแลแทนในช่วงนี้เอง” ถู่ฟางกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ขอรับ” ผู้อาวุโสซุนตอบกลับแล้วก้มหน้าก้มตาเดินจากไป

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้แต่หลงเฉินและถังหว่านเอ๋อยังทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ผู้อาวุโสถู่ฟางช่างเย็นชาอย่างไร้ที่เปรียบ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงได้เป็นผู้อาวุโสอันดับหนึ่งของทางหมู่ตึก ถึงกับสั่งให้ผู้อาวุโสซุนไปทำความสะอาดผนังโดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมขึ้นมาเลยด้วยซ้ำไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผู้อาวุโสถู่ฟางผู้นี้เป็นคนที่มีความเป็นธรรมอย่างที่สุดแล้ว แน่นอนว่าเขาคู่ควรที่จะให้หลงเฉินเคารพนับถือ “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่ให้ความเป็นธรรม ข้าจะพยายามไม่นึกถึงเรื่องที่ท่านหลอกลวงข้าเมื่อก่อนหน้านี้อีกต่อไป” หลงเฉินยกมือคารวะแล้วกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“เหอะเหอะ ขอบใจเจ้ามาก” ถู่ฟางทราบได้ทันทีว่าที่หลงเฉินกล่าวออกมานั้นคงจะเป็นเรื่องของฉู่เหยาที่ไปอยู่ตำหนักป่าสวรรค์

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเวลาเช่นนั้นเขาเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เขาและตำหนักป่าสวรรค์นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นอย่างยิ่ง หากเขาไม่ช่วยเหลือฮวายวี่ก็คงจะไม่อาจมองหน้ากันได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เดิมทีเขาเองก็ต้องการจะสะสางเรื่องที่ค้างคาใจเช่นนี้ออกไป จึงคิดที่จะเรียกหลงเฉินให้ไปยังหลังหมู่ตึกเพื่อถ่ายทอดวิธีการฝึกยุทธ์เป็นการชดเชยความผิด ทว่าเขาประจักษ์กับสายตาแล้วว่าหลงเฉินเป็นผู้พิสดารแห่งฟ้าดิน ความคิดที่จะฝึกยุทธ์ให้ก็มลายหายไปในทันที ฉะนั้นจึงมีเพียงทางออกเดียวนั่นก็คือบอกกล่าวออกไปตามตรงถึงความจริงที่จุกอยู่ในอกมาโดยตลอด

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าในขณะนี้กลับได้ยินว่าหลงเฉินจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ภายในจิตใจของเขาจึงรู้สึกผ่อนคลายลงไปอย่างมาก อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าหลงเฉินผู้นี้เป็นเด็กหนุ่มที่เข้าใจเหตุผลอยู่ไม่น้อยเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อพบว่าหลงเฉินกล้าเอ่ยปากสนทนากับผู้อาวุโสถู่ฟางอย่างออกรสเช่นนั้น อีกทั้งยังขออบขอบใจและเห็นใจต่อกันถึงเพียงนั้นจึงทำให้ผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าโง่งมขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ใต้หล้าแห่งนี้มีแต่เรื่องราวบ้าบอมากจนเกินไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“เอาล่ะ ทุกคนไปทำงานกันเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันทีที่ผู้อาวุโสถู่ฟางกล่าวจบก็ได้วาดแขนเสื้อขึ้นแล้วหันกายมลายหายไป หลงเหลือเพียงผู้คนมากมายที่ยืนตะลึงลานอยู่ที่เดิม ดวงตาทุกคู่จ้องมองไปที่หลงเฉินด้วยความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset