ตลอดทั้งค่ำคืนอันมืดสนิท หลงเฉินก็อยู่ภายในถ้ำโดยตลอด ภายในโสตประสาทก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นมาไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวที่เข้าครอบงำทั่วทั้งบริเวณ
หากไม่ได้เกรงว่าจะเป็นการรบกวนผู้อื่นมากเกินไป ผู้คนเหล่านี้คงจะตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว ด้วยการหนุนเสริมของโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์จึงทำให้พวกเขาสามารถทะลวงระดับพลังขึ้นไปได้อย่างราบรื่น
และหลังจากที่พวกเขาได้เลื่อนระดับกันแทบจะทั้งหมดแล้วก็พบว่าพลังสภาวะภายในร่างกายของตัวเองเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าเห็นจะได้ อีกทั้งยังปะทุขึ้นมาอย่างไร้ขีดจำกัด
การเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นจะทำให้พลังและโลหิตผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ พลังกายและลมปราณหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันจนทำให้พวกเขาปะทุพลังที่สูงส่งระดับตำนานขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นี่ก็คือความน่าเกรงกลัวของยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น หรือที่โลกของการฝึกยุทธ์เรียกขานกันว่า ‘สุดขอบหุบเหวสามประการ’ ซึ่งมีความหมายว่าระหว่างการฝึกยุทธ์อยู่นั้นอาจจะพบกับตัวอักษร ‘สาม’ ได้ ทว่าแท้จริงแล้วยังเป็นเพียงแค่สุดขอบแรกเท่านั้น
หรือกล่าวอย่างเข้าใจง่ายก็คือการแบกรับสามประการของขอบเขตย่อยในขั้นก่อรวมนั่นเอง เริ่มต้นจากตอนต้นไปจนถึงตอนกลางนับเป็นหนึ่งส่วนที่คล้ายกับการเผชิญหน้ากับขอบเหวแห่งสวรรค์ที่ยากจะข้ามผ่านไปได้
และไม่ว่าจะหกประการหรือเก้าประการนั้นต่างก็ใช้เลขสามในการเพิ่มให้เป็นทวีคูณด้วยกันทั้งนั้น เข้าใจโดยทั่วกัน ว่าความยากก็จะเพิ่มขึ้นไปเป็นเท่าตัวด้วยเช่นกัน
ฉะนั้นหลักเลขสามมักจะถูกใช้เป็นมาตรฐาน โดยส่วนใหญ่จะถูกแบ่งออกเป็นตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย ซึ่งในแต่ละช่วงนั้นมีความห่างชั้นกันเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด
ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นนั้นถือได้ว่าเป็นขอบเขตใหญ่ที่รวมทั้งขอบเขตขั้นก่อรวมและขอบเขตก่อโลหิต ฉะนั้นแม้แต่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเองก็ใช้หลักเลขสามนี้ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เหล่าตระกูลใหญ่ของผู้มีพรสวรรค์จึงให้ความสำคัญต่อขอบเขตนี้เป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ยินยอมให้ลูกหลานของตัวเองต้องไปเสี่ยงอันตรายจนถึงขั้นตายไป เพื่อให้เข้ามายังหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์และทะลวงพลังจนเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นในที่สุด
เดิมทีเหล่าผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลายต่างก็มีเส้นลมปราณภายในอยู่ในระดับทองแดงเป็นอย่างต่ำ หากสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นไปได้แล้วย่อมต้องมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งจนน่าตกใจอย่างแน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ถึงได้มีความสามารถมากพอที่จะสยบยอดฝีมือทั่วไปที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นผู้หนึ่งจนพ่ายแพ้ลงไปได้ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าศิษย์พี่ที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเช่นเดียวกัน กลับไม่กล้าแม้แต่จะหายใจออกมาด้วยซ้ำไป
เป็นเพราะว่าบุคคลทั้งสองประเภทนี้มีข้อแตกต่างกันมากเกินไป หลังจากที่พวกเขาทั้งหมดต่างก็ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้แล้วก็พบว่าแม้จะเพิ่งทะลวงได้ไม่นาน ทว่าพลังสภาวะที่เกิดขึ้นกลับมากพอที่จะทำให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าต่อให้มียอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นที่โลกภายนอกมามากกว่าร้อยคนก็ไม่อาจคุกคามพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย ไร้ซึ่งความรู้สึกหวาดหวั่นของผู้ที่เพิ่งจะผ่านการทะลวงพลังแต่อย่างใด
“สายลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเข้ามาภายในค่ำคืนเดียว ดอกไม้นับพันหมื่นเบ่งบานสะพรั่งอย่างสวยงาม” เมื่อมองไปเห็นพระอาทิตย์อัสดงเจิดจ้าขึ้นมาทางทิศตะวันออก หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะพร่ำเพ้อพรรณนาพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ
“คิกคิก”
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากด้านหลังของหลงเฉิน เมื่อหันไปก็พบว่าถังหว่านเอ๋อกำลังส่งยิ้มสดใสกลับมา ใบหน้าอันงดงามต้องกับแสงอาทิตย์สีทองในยามเช้ายิ่งให้ความรู้สึกประดุจเทพธิดาลงมาจุติยังโลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
“เป็นประโยคที่ไพเราะเสนาะหูเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเพราะเหตุใดเมื่อเจ้าเอ่ยออกมานั้นกลับกลายเป็นความเจ็บปวดมากมายถึงเพียงนี้ เจ้ากำลังเจ็บปวดรวดร้าวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
หลงเฉินกรอกตาขาวขึ้นมาแล้วตอบกลับไปว่า “ยังต้องถามอีกหรือ? ผู้อื่นต่างก็ไปถึงไหนกันแล้ว ทว่าข้านั้นกลับไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย”
ถังหว่านเอ๋อจ้องมองไปยังไปยังใบหน้าเศร้าสลดของหลงเฉินแล้วหัวเราะร่าขึ้นมาเป็นสาย พลันก็เดินไปตบบ่าของหลงเฉินเบาๆ “วางใจเถิด ข้านั้นเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นแล้ว อีกทั้งยังเป็นระดับสมบูรณ์แบบอีกด้วย แน่นอนว่าข้าจะคอยคุ้มกะลาหัวให้เจ้าเอง”
หลังจากผ่านพ้นค่ำคืนแห่งการฝึกยุทธ์อันยาวนานมาได้แล้ว ถังหว่านเอ๋อก็สามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้สำเร็จ อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์ประจำตระกูลปรากฏขึ้นมาบนศีรษะ บรรยากาศกดดันอันมหาศาลเข้าปกคลุมภายในถ้ำอย่างหนาแน่น
และในขณะนั้นหลงเฉินก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ทว่าเมื่อได้ยินถังหว่านเอ๋อกล่าวออกมาเช่นนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาได้ในทันทีว่าบรรยากาศเหล่านี้คงจะเป็นพลังที่หมดจดชนิดหนึ่ง
ดวงตาคู่คมเหม่อมองไปที่ใบหน้าได้ใจของถังหว่านเอ๋อ ไม่ใช่ด้วยความอิจฉาริษยา ทว่าเป็นความรู้สึกที่อยากจะปกป้องหญิงสาวผู้นี้จากใจจริงอย่างนั้นหรือ? นี่ข้ายังเป็นหลงเฉินคนเดิมอยู่อีกหรือ?
“หือ? เจ้าไม่เชื่อว่าข้าจะสามารถปกป้องเจ้าได้อย่างนั้นหรือ?” ถังหว่านเอ๋อจ้องมองไปที่ใบหน้าหดหู่ของหลงเฉินแล้วเอ่ยถามขึ้นมา
หลงเฉินส่ายหน้าทันที แล้วตอบกลับไปว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะปกป้องข้าได้ ทว่าข้ารู้สึกว่าสาวงามเช่นเจ้า…… หากเปลี่ยนนิสัยกลับไปเป็นเหมือนแรมเดือนหก และมาเป็นของกันและกันเสีย เช่นนั้นข้าก็จะวางใจ……โอ๊ย”
ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบประโยค ถังหว่านเอ๋อก็ได้ยกเท้าข้างหนึ่งถีบเข้าไปที่บั้นท้ายของหลงเฉินอย่างแรง จนบั้นท้ายนั้นเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย
“ลามก เจ้าสนใจต่อบั้นท้ายของข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?” หลงเฉินส่งเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด นังหนูผู้นี้มีพลังสูงขึ้นมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงกับสามารถถีบเขาจนเกิดความเจ็บปวดได้
ถังหว่านเอ๋อกัดฟันกรอดแล้วตอบกลับขึ้นมาว่า “เกิดความสนใจอย่างนั้นหรือ? ย่อมเป็นเช่นนั้น อีกทั้งยังสนใจไปทั่วทั้งเรือนร่างของเจ้าอีกด้วย!
เหอะ เจ้าได้ลืมเลือนไปแล้วหรือว่าเคยรังแกข้าไว้อย่างไรบ้าง? ทว่าข้านั้นกลับจำได้ขึ้นใจ และในที่สุดก็ถึงเวลาที่ข้าจะได้ล้างแค้นแล้ว” ทันทีที่กล่าวจบ ถังหว่านเอ๋อก็กระโจนตัวเข้าไปหาหลงเฉินอย่างรวดเร็ว
มืออันขาวผ่องยกขึ้นสู่กลางอากาศ ฟ้าดินเกิดการสั่นไหวไปมาเล็กน้อยคล้ายกับมีพายุหมุนวนรายล้อมอยู่รอบกายของหลงเฉิน สิ่งนั้นก็คือพลังแห่งวายุของถังหว่านเอ๋อนั่นเอง
ทว่าในครั้งนี้กลับแตกต่างจากทุกครั้งที่เคยพบเจอมา หลังจากที่ถังหว่านเอ๋อสามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้แล้ว พลังสภาวะแห่งวายุภายในร่างกายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เพียงแค่กระตุ้นการไหลเวียนขึ้นมาก็ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความรุนแรงแล้ว อีกทั้งยังสามารถใช้ออกมาได้อย่างไร้วี่แวว
หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลังแห่งวายุของถังหว่านเอ๋อแข็งแกร่งขึ้นอย่างยิ่ง ดูจากการควบคุมแล้วก็ไม่อาจคาดการณ์ได้เลยว่าแข็งแกร่งขึ้นมามากเพียงใด ทว่ากลับทำให้เขาไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย
“โอ๊ย”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังแตกตื่นตกใจและไม่สามารถป้องกันตัวเองได้นั้น ก็ได้ถูกลมพายุกรรโชกเข้าใส่จนเท้าขยับ และทันใดนั้นเองร่างกายก็ได้หมุนเป็นลูกข่างอยู่กลางอากาศ
“ฮาฮา ร่างกายของเจ้าไม่เลวเลยนี่ ถึงกับหมุนควงเช่นนี้ได้ คล้ายกับการร่ายรำที่แม้แต่นักร่ายรำที่แท้จริงก็ไม่อาจเทียบเคียงได้เลย ช่างหล่อเหลายิ่งนัก” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาพร้อมกับปรบมือด้วยความสนุกสนาน
นับตั้งแต่ที่รู้จักกับหลงเฉินมาก็คล้ายกับว่าเป็นนางฝ่ายเดียวเท่านั้นที่เสียเปรียบมาโดยตลอด ทั้งถูกหยอกล้อและเย้าแหย่ ทว่าในที่สุดก็สบโอกาสที่จะจัดการกับหลงเฉินจึงอดไม่ได้ที่จะระบายความคับแค้นใจออกมา
“เหวยเหวย รีบหยุดมือเถิด” หลงเฉินกล่าวด้วยความตกใจ
“ไม่หยุด เจ้าตัวเลวร้าย เจ้ามักชมชอบการรังแกข้า เช่นนั้นให้ข้าได้ล้างแค้นเจ้าบ้างเถิด” มีหรือที่นางจะปล่อยหลงเฉินให้หลุดรอดไปอย่างง่ายดาย
“รีบหยุดมือ ข้ามึนไปหมดแล้ว หากเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะอาเจียนออกมาให้ดู” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างรีบร้อน
ถังหว่านเอ๋อจ้องไปที่ใบหน้าซีดเผือดของหลงเฉินด้วยอาการแตกตื่น เป็นสีหน้าที่ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำขึ้นมาอย่างแน่นอน พลันก็ได้สลายพลังแล้วกล่าวว่า “ได้ ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน ทว่าหากว่าเจ้ายังจะกล้า……อา”
ในขณะที่ถังหว่านเอ๋อเพิ่งจะสลายพลังแห่งวายุลงไปได้ไม่นานนั้น จู่จู่หลงเฉินก็สรวลซวนเซเข้ามาชนกับร่างบางของนางในทันที เพราะยังไม่ทันได้ระวังตัวจึงล้มลงไปนอนกองกับพื้นในทันที
เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะหลงเฉินจงใจจะเอาเปรียบ ความรู้สึกในตอนนี้คล้ายกับฟ้ากำลังหมุนแผ่นดินกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง ภายในห้วงสมองเกิดดวงดาวลอยระบำไปทั่ว ร่างกายยากที่จะควบคุมให้ตั้งตรงได้ มือไม้สะเปะสะปะจับไปโดนสิ่งใดได้ก็คว้าเอาไว้ก่อน ทว่าผลสุดท้ายกลับพุ่งเข้าไปหานางเซียนจนล้มเสียหลักไปด้วยกัน
ถังหว่านเอ๋อถูกมือใหญ่โอบร่างเอาไว้อย่างแน่นหนา ใบหน้าอันงดงามทออาการแตกตื่นอย่างถึงที่สุด หัวใจเต้นระรัวอย่างรุนแรง ร่างกายร้อนระอุขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ความรู้สึกแปลกประหลาดชนิดหนึ่งไหลเวียนอยู่เต็มหน้าอก นางเคยได้ยินมาว่าบนร่างกายของชายหนุ่มนั้นจะมีสภาวะธาตุหยาง (ความเป็นชาย) เฉพาะตัวอยู่จนทำให้ชั่วขณะนั้นนางลืมเลือนที่จะขัดขืนไปโดยปริยาย
“พวกเจ้ากำลังทำอันใดกันอยู่?” ชิงยวูที่เพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้เมื่อครู่ก็เดินออกมา ดวงตาทั้งสองมองเห็นภาพหลงเฉินกำลังกอดถังหว่านเอ๋ออยู่บนพื้น
ถังหว่านเอ๋อตกใจจนแทบจะร่ำร้องออกมา พลันก็รีบผลักหลงเฉินออก ใบหน้าอันงดงามแดงก่ำปะดุจผลผิงกวอ อีกทั้งยังไม่พูดอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว
“หว่านเอ๋อ เจ้ารังแกหลงเฉินอีกแล้วหรือ” ชิงยวูถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“ข้า? เห็นๆ กันอยู่ว่าหลงเฉินรังแกข้า” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างแง่งอน
“ความจริงก็อยู่ตรงหน้าแล้วอย่างไรเล่า เจ้าดูไปที่สีหน้ามึนงงของหลงเฉินสิ อีกทั้งยังเขียวคล้ำขึ้นมา ริมฝีปากก็ยังซีดเซียว ……”
เสียงของชิงยวูดังเข้าไปในโสตประสาทของหลงเฉินไม่หยุด ทว่ากลับไม่อาจเข้าใจคำพูดเหล่านั้นได้เลย ฟ้าที่หมุนแผ่นดินที่สะเทือนก็ยังคงไม่สร่าง พวกนางกลายเป็นพวกหลากสีสันถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หลงเฉินและถังหว่านเอ๋อต่างก็ก้มหน้าก้มตาเดินออกมาจากถ้ำด้วยความสลดหดหู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองคนได้ถูกชิงยวูตักเตือนจนหูชาไปแล้วรอบหนึ่ง
“ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่ทราบมาก่อนว่าเจ้ากลัวสิ่งนี้”
เรื่องราวเช่นนี้ก็ไม่อาจกล่าวโทษถังหว่านเอ๋อได้ เพราะไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่คิดว่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างหลงเฉิน จะหวาดกลัวต่อการหมุนรอบตัวเองเช่นนี้
“เหวย ข้าเป็นพวกจิตอ่อนอยู่แล้ว ทว่าในเมื่อเจ้าทราบแล้วก็ช่วยเก็บเป็นความลับด้วย” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความขมขื่น
ถังหว่านเอ๋อรีบพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แล้วกล่าวคำสัตย์สาบานขึ้นมาว่า “ข้าขอรับรองว่าจะไม่พูดออกไปแน่นอน”
หลงเฉินสัมผัสได้ทันทีว่าถังหว่านเอ๋อเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ภายในจิตใจของเขาจึงเกิดอาการหวั่นไหวขึ้นมา “การหมุนเมื่อครู่นี้ทำให้ข้ามึนงงอย่างไม่เสื่อมคลายเลย แม้แต่สัมผัสจากอ้อมกอดของเจ้าข้าก็ไม่อาจจดจำได้ เช่นนั้นเจ้าพอจะเอื้อเฟื้อให้แก่ข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่”
“หลงเฉิน เจ้าอยากถูกตบหรือ?” ทันใดนั้นมืออันขาวผ่องประดุจหิมะของถังหว่านเอ๋อก็ถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของหลงเฉิน
“ลดมือลงเถิด ไม่ให้กอดก็ช่างเจ้าแล้ว ใจแคบจริงเชียว” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างไม่สบอารมณ์
“เจ้าโง่ เกี่ยวอันใดกับความใจแคบกัน?” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด
“เหวยเหวย แม่นางระวังคำพูดคำจาของเจ้าเสียหน่อย เจ้าเป็นถึงผู้นำพรรคฟ้าดินของพวกเรา ซึ่งเปรียบเสมือนภาพลักษณ์ของพรรคฟ้าดิน เหตุใดจึงกล่าววาจาหยาบกระด้างเช่นนี้ออกมาได้” หลงเฉินปรามขึ้นมา
“นี่เป็นเพราะเจ้าทำให้ข้าโกรธอย่างไรเล่า” ถังหว่านเอ๋อส่งเสียงดังชิแล้วกล่าวต่ออีกว่า “แล้วผู้นำอันใดกัน ข้าเป็นหัวหน้าพรรค เหตุใดวาจาของเจ้าถึงได้เปลี่ยนแปลงความหมายไปเสียหมด”
“ก็เกือบใช่ หรือจะเป็นเถ้าแก่ใหญ่ดี? ใช่แล้ว เถ้าแก่ ตอนนี้เจ้าจะพาข้าไปที่ใดกัน?” หลงเฉินถามขึ้นในขณะที่กำลังเดินตามถังหว่านเอ๋อ
“พวกเราจะไปหอพลิกสวรรค์กัน จะไปรับสวัสดิการที่เป็นของขุมกำลังของพวกเรา แล้วเป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่บอกว่าจะไปเอาวัตถุดิบมากมาย? หากเจ้ามีแต้มคะแนนที่เพียงพอก็ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะแลกมาไม่ได้
อย่างเช่นในครั้งนี้เป็นต้น เจ้าก็แค่นำคะแนนไปแลกเปลี่ยนเท่านั้นเอง ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าใช้ก่อนส่วนหนึ่งแล้ว เพราะการเพิ่มระดับพลังของเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” ถังหว่านเอ๋อกล่าว
หลงเฉินมองไปที่ถังหว่านเอ๋อด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ดูเหมือนว่าถังหว่านเอ๋อจะเป็นเถ้าแก่ที่ดีไม่น้อยเลย “คุณหนูหว่านเอ๋อ ข้า……”
“เหอะ อย่าได้แสร้งทำเป็นตื้นตันใจเชียวนะ” ถังหว่านเอ๋อหันควับไปมองค้อนใส่หลงเฉินในทันที
หลงเฉินฉงนสงสัย ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องคิดบทแสดงใหม่เสียแล้ว ยังไม่ทันที่จะกล่าววาจาอันใดออกไปก็ถูกดูเป้าหมายออกจนทะลุปรุโปร่งแล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกล่วงรู้ถึงจิตใจอันอกุศลของตัวเองอย่างหมดเปลือกเลยก็ว่าได้
พวกเขาทั้งสองเดินทางไปตามเส้นทางสู้หอพลิกสวรรค์ ระหว่างพบเจอกับผู้คนอยู่ไม่น้อย และโดยส่วนมากต่างก็เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นหน้าคร่าตากันมาก่อน มีบ้างที่เจอใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างคนจากขุมกำลังของเยี่ยจื่อชิว ทว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างก็กล่าววาจาทักทายอย่างเกรงอกเกรงใจแล้วเดินจากไป