เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 173 วงแหวนแห่งเทพปรากฏขึ้นอีกครั้ง

หนึ่งคนผนวกเข้ากับหนึ่งดาบปะทุขุมพลังที่เอ่อล้นราวกับว่าระหว่างฟ้าดินแห่งนี้มีเพียงแค่เขาผู้เดียวเท่านั้นที่จะคงอยู่ แววตาคู่คมเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันมองตรงไปยังศัตรู ให้ความรู้สึกของผู้ตัดสินชะตาให้กับทุกสรรพสิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เหล่าผู้คนมากมายต่างก็จ้องมองไปที่แผ่นหลังของชายหนุ่มด้วยอาการตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง เป็นภาพที่ตราตรึงเข้าไปยังส่วนลึกของก้นบึ้งหัวใจอย่างที่ไม่มีวันสูญสลายหายไปจากความทรงจำได้ตลอดกาล

 

 

 

 

 

 

 

 

หากมีวันใดที่พวกเขาแก่ตัวลงไปก็จะเล่าสู่ลูกหลานของพวกเขาได้ฟังว่าเคยพบเห็นเงาร่างที่น่าสะพรึงกลัวและเต็มเปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฮี่ฮี่ฮี่ น่าสนใจ ข้าสัมผัสได้ถึงความเกรี้ยวกราดภายในจิตใจของเจ้า ไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัวต่อข้า ช่างเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักความตายเอาเสียเลย คนอย่างเจ้ากล้าต่อกรกับเหล่าฝู่เช่นข้าอย่างนั้นหรือ?” กุ่ยซาแสยะยิ้มพร้อมกับส่งเสียงฮี่ฮี่ขึ้นมาบาดแก้วหูของผู้คน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผีเฒ่า ช่างน่าเวทนายิ่งนัก เจ้าผ่านความตายมานานถึงเพียงนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นยอดฝีมืออีกหรือ แม้แต่พลังแฝงของผู้ฝึกยุทธ์ก็ยังสัมผัสไม่ได้เลย” หลงเฉินย่างกรายฝีเท้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของกุ่ยซา แล้วเอ่ยวาจาเย้ยหยันขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“เช่นนั้นข้าควรเป็นสิ่งใดกันเล่า?”

 

 

 

 

 

 

 

 

กุ่ยซาแสยะยิ้มแล้วตอบกลับไปอย่างเย็นชา ตอนนี้เขามองทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ก่อนที่ค่ายกลพยัคฆ์กักนาคาจะทอดลงมานั้น เขาก็รีบเสาะหาสิ่งที่จะเป็นหลักประกันกับจิตวิญญาณเอาไว้ก่อน ทว่าเมื่อได้กวาดสายตามองไปโดยรอบครั้งเดียว ก็ไม่มีผู้ใดที่ทำให้เขาปฏิเสธต่อหลงเฉินได้อยู่ดี

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวว่า “พลังที่แข็งแกร่งมากที่สุดของผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่ใช่เป็นเพราะพรสวรรค์ ไม่ใช่จิตใจที่แน่วแน่ และไม่ใช่วิชาหรือทักษะยุทธ์อันสูงส่ง ทว่าเป็นสิ่งที่อยากจะปกป้องอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่งจะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเป็นตายที่อยู่ตรงหน้าไปได้พร้อมกับพลังที่ระเบิดออกมาได้เต็มสิบส่วนนั้นจำเป็นที่จะต้องมีจิตใจที่ปรารถนาจะปกป้องสิ่งหนึ่ง จากนั้นก็จะเพิ่มพูนพลังขึ้นไปได้นับสิบเท่าและร้อยเท่าในเวลาต่อมา

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเมื่อใดที่คนผู้นั้นต้องกาจะปกป้อง สิ่งอื่นโดยรอบก็ไม่สำคัญอีกต่อไป รวมไปชีวิตของตัวเอง นี่จึงเป็นอานุภาพแห่งการปกป้องอย่างไรเล่า”

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้ผู้อื่นจะไม่เข้าใจในวาจาเอื้อนเอ่ยของหลงเฉิน อีกทั้งยังทอสีหน้าฉงนสงสัยอย่างถึงที่สุด ทว่าถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวกลับทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้า ภายในห้วงสมองบังเกิดความเข้าใจขึ้นมาอย่างถ่องแท้

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนผู้อาวุโสถู่ฟางก็เกิดอาการลิงโลดจนแทบจะคลุ้มคลั่งขึ้นมามากกว่าเดิมหลายเท่าตัว ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวถึงได้ปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

เพื่อความปลอดภัยของพวกพ้อง แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ไม่สำคัญอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ? เมื่อเผชิญหน้าต่อความเป็นตายร่วมกันย่อมสามารถก้าวข้ามอีกระดับหนึ่งไปได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยวัยของหลงเฉินเรียกได้ว่ายังไม่ถึงเศษเสี้ยวของพวกเขาเสียด้วยซ้ำไป ทว่ากลับเข้าใจถึงแง่มุมชีวิตและการมองโลกได้อย่างกว้างขวาง หากเขาไม่ตายตกไปแน่นอนว่าในภายภาคหน้าจะต้องกลายเป็นบุคคลที่ทำให้ใต้หล้าแห่งนี้สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าช่างน่าเสียดายนัก……

 

 

 

 

 

 

 

 

“เมื่อมีคนให้ปกป้องจะทำให้คนผู้นั้นเดินหน้าต่อไปได้ เมื่อมีคนให้ปกป้องจะสามารถเข้าสู่สภาวะจิตใจที่ไม่เกรงกลัวต่อความตาย เมื่อมีคนให้ปกป้องจะทำให้พลังแห่งจิตของคนผู้นั้นแน่วแน่มากยิ่งขึ้น มากเสียจนสามารถผ่านพ้นความยากลำบากของการฝึกยุทธ์ไปได้อย่างหมดจด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าความพยายามทั้งปวง

 

 

 

 

 

 

 

 

และมาร้ายที่แร้งน้ำใจอย่างเจ้า แม้แต่เผ่าพันธุ์เดียวกันก็ยังกระทำเสมือนกันเป็นของเล่นในการฝึกยุทธ์ พวกเจ้าย่อมไม่มีวันเข้าใจถึงคำพูดของข้า ว่าเหตุใดจะต้องปกป้อง ฉะนั้นข้าจะไม่มีวันให้ผีเฒ่าอย่างเจ้ามาหัวเราะเยาะข้าได้ เจ้าต่างหากที่เป็นผู้ไม่รู้ความที่แท้จริง” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผายลม เพียงถ้อยคำโอ้อวดให้ดูสวยหรู วิถีแห่งการฝึกยุทธ์นั้นมีแต่จะต้องเหยียบย้ำผู้อื่นเท่านั้นจึงจะขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ ผู้ที่อ่อนแอมีแต่จะต้องเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า นั่นก็เหมาะสมแล้วไม่ใช่หรือ? คนอย่างเจ้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะมาชี้แนะเหล่าฝู่เช่นข้าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

หากสิ่งที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมาก็คงจะไม่ถูกเหล่าพรรคมารกดขี่ข่มเหงมาโดยตลอดหรอก ผู้ที่อ่อนแอไม่สมควรกล่าววาจาอวดอ้าง เป็นเพียงเด็กน้อยที่มีพลังยุทธ์ขั้นต้นผู้หนึ่งกลับหาญกล้ามากล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ต่อข้าได้อย่างไรกัน? เหอะ อยากจะพ่นเสียงหัวเราะให้ฟันร่วงหมดปาก

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อเจ้าคิดว่าการปกป้องคือสิ่งที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าได้รู้เองว่าพลังที่มาจากการปกป้องนั้นแทบจะไม่ต่างอันใดจากเศษขยะโสมมเลยแม้แต่น้อย” กุ่ยซาตอบกลับไปด้วยความเย้ยหยันเสียยิ่งกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

นับจากโบราณกาลจวบจนถึงช่วงเวลาปัจจุบัน ฝ่ายธรรมะและอธรรมต่างก็แย่งชิงกันอย่างไม่หยุดหย่อน ต่างฝ่ายต่างคิดว่าความคิดของตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ส่วนอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงความผิดพลาดที่ไม่รู้ความ

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินหลงเฉินกล่าวขึ้นมาเช่นนี้ กุ่ยซาก็บังเกิดความเกรี้ยวกราดขึ้นมายกใหญ่ และนับตั้งแต่หลงเฉินลวงเอาท่าร่างภูตมืดสงัดไปจากเขาก็ยิ่งมีโทสะมากขึ้นกว่าเดิม การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการสบประมาทอย่าจงใจที่ไม่น่าให้อภัยเลยก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“เมื่อมีคนให้ปกป้อง ทุกอย่างมักจะมีความหมายในตัวของมันเอง สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นพลังแฝงของผู้ฝึกยุทธ์ ในเมื่อเจ้าอยากจะแน่ใจนัก เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าสมความปรารถนาเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อสิ้นเสียงของหลงเฉิน ทันใดนั้นเองเสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาประดุจลงมาจากสวรรค์ชั้นที่เก้า ดังจนสะเทือนเลือนลั่นไปถึงจิตใจของผู้คนที่จ้องมองอยู่ พลังอันน่าหวาดกลัวขุมใหญ่ก็ได้แผ่ซ่านไปปกคลุมพื้นที่อันกว้างขวางโดยรอบ แรงกดดันพุ่งพล่านจนพื้นดินแตกระแหง ประกายแสงยาวสยายออกไปนับร้อยเซียะ

 

 

 

 

 

 

 

 

วงแหวนแห่งเทพปรากฏขึ้นมาที่ด้านหลังของหลงเฉิน ทั้งฟากฟ้าและพื้นดินเกิดการสั่นไหวไม่หยุด บรรยากาศที่อยู่รอบด้านเกิดเสียงดังเพียะพะขึ้นมาเป็นระลอก ความรุนแรงของพลังกดดันให้ความรู้สึกราวกับอยู่ใต้มหาสมุทรที่กำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังอันมหาศาลพุ่งกระฉูดขึ้นสูงเสียดฟ้า แผ่กระจายเข้ากดดันทั่วทั้งใต้หล้าแห่งนั้นอย่างท่วมท้น ผู้คนมากมายต่างก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองกำลังหนักอึ้งราวกับมีภูเขาลูกใหญ่ทับถมลงมาจนเริ่มหายใจอย่างยากลำบาก

 

 

 

 

 

 

 

 

“เป็นแรงกดดันที่รุนแรงยิ่งนัก”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พลังของหลงเฉินในตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่เหนือขอบเขตก่อโลหิตไปจนไกลโพ้นแล้ว ขุมพลังอันมหาศาลไม่สมเหตุสมผลกับขอบเขตอันต้อยต่ำเอาเสียเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

ประกายแสงที่คล้ายกับวงแหวนทางด้านหลังนั้นคืออะไรกัน? เหตุใดถึงได้ดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินเข้าไปไม่หยุดเช่นนั้น นี่เป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาลี้ลับอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเป็นทักษะยุทธ์ชนิดหนึ่ง?

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวที่ยืนอยู่ในบริเวณที่ใกล้ที่สุดต่างก็ทอสีหน้าแตกตื่นตกใจขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองไปที่แผ่นหลังที่ถูกปกคลุมด้วยวงแหวนสว่างวาบ คนผู้นั้นใช่หลงเฉินที่พวกนางรู้จักหรือไม่นะ?

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ประกายแสงสว่างวาบหมุนวนขึ้นมาก็ทำให้พวกนางหายใจได้อย่างลำบากมากขึ้น นั่นคือเด็กน้อยที่ชมชอบการหยอกล้อผู้คนอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินจ้องมองไปยังวงแหวนนั้นด้วยสีหน้าทั้งประหลาดใจทั้งยกย่องเชิดชู มือทั้งสองข้างกำหมัดจนแน่น พี่ใหญ่หลงคือผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ผู้ต้านอย่างแท้จริง

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้อาวุโสที่เหลือก็ไม่ได้มีสีหน้าต่างไปจากผู้คนทั้งหลายมากนัก ดวงตาเกิดประกายเจิดจ้าจ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

 

 

 

 

 

 

 

 

“เมื่อมีคนให้ปกป้องก็จะไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อสิ่งใด จิตใจจะหมดจดอย่างถึงที่สุด เข้าสู่วิถีทางแห่งความยิ่งใหญ่ มารร้ายฝ่ายอธรรมอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไรกัน! รับดาบ!”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินแผดเสียงคำรามออกมาจนดังก้องไปถึงโสตประสาทของผู้คน ดาบยักษ์ที่อยู่ในมือระเบิดพลังแหวกขุมอากาศออกไปเป็นทางยาว รังสีสังหารมหาศาลปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้า หลังจากนั้นก็ได้ถูกดูดซับเข้ามารวมเอาไว้ที่ดาบเล่มนั้นจนสัมผัสได้ถึงความรุนแรงที่สามารถตัดผ่านทุกสรรพสิ่งลงไปได้ในคราเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

คมดาบทอดลงสู่พื้นดินที่แข็งเป็นก้อนจนกลายเป็นรอยแตกระแหงแยกออกไปหลายร้อยสาย ศีรษะของกุ่ยซาต้องกับประกายดาบอันหนักหน่วงจนเกิดเป็นรอยแผลบากขนาดใหญ่ ทว่ากลับไม่มีโลหิตไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

เหล่าผู้คนทอสีหน้าหวาดหวั่นไปที่ผืนดินขนาดใหญ่ที่แตกร้าว พลังสภาวะขุมหนึ่งแผ่กระจายมากระทบกับร่างกายของพวกเขา พลังทำลายเมื่อครู่นี้น่าหวาดกลัวยิ่งนัก เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้พบเห็นหรือฝันถึงมาก่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาเป็นผู้ต้องดาบนั้น ต่อให้เกิดใหม่ได้นับไม่ถ้วน ก็คงจะต้องถูกสังหารด้วยดาบเดียวภายในเสี้ยววินาทีอย่างแน่นอน หลงเฉินผู้นั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่เหนือกว่าสัตว์ประหลาดทั้งเหล่าเลยก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งทอสีหน้าโง่งมไปในทันที ภายในจิตใจไม่อาจข่มความความหวาดกลัวที่พุ่งพล่านขึ้นมาไม่หยุด หากครั้งก่อนนั้นหลงเฉินระเบิดพลังในตอนนี้ออกมา แน่นอนว่าพวกเขาคงจะต้องตายตกไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

และภายในก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของจิตใจก็ได้บังเกิดความอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เงาร่างนั้นให้ความรู้สึกเสมือนเป็นจักรพรรดิจากฟากฟ้าลงมาจุติที่ใต้หล้าแห่งนี้ พวกเขาต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาด ทว่าขณะนี้กลับถูกหลงเฉินกดดันเอาไว้อย่างหมดจด มีหรือที่จะไม่รู้สึกโกรธเกรี้ยวเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

“บัดซบ หากไม่ใช่กายเนื้อสวะร่างนี้ ข้าคงจะฟาดเจ้าให้ตายไปภายในฝ่ามือเดียวแล้ว” กุ่ยซาอวดครวญขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด

 

 

 

 

 

 

 

 

ในช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาถูกยกย่องให้เป็นยอดฝีมือแห่งฝ่ายอธรรม ฉะนั้นจึงมีความสามารถและพลังอันมหาศาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้หลงเหลือเพียงจิตวิญญาณเฉกเช่นตอนนี้ หรือแม้จะมีค่ายกลกดขี่เอาไว้อยู่ ทว่าพลังของเขาก็ยังสามารถระเบิดออกมาได้อย่างท่วมท้นจนยากที่จะต้านทานได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“เหอะ หากกล่าววาจาไร้สาระเช่นนั้นเป็นผู้ใดก็กล่าวออกมาได้ หากข้ามีชีวิตเนิ่นนานเช่นเจ้า เพียงแค่ผายลมก็สามารถกำจัดเจ้าไปได้แล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่ล่ะ?” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับพาดดาบยักษ์ไปที่บ่า แล้วแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวหันไปสบตากันและเข้าใจถึงความนัยของกันและกัน: หลงเฉินที่แสนจะคุ้นเคยผู้นั้น ได้กลับมาแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าตัวบัดซบ ไปตายซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

กุ่ยซาปะทุพลังขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับพุ่งทะยานตัวสู่เบื้องหน้าของหลงเฉินในทันที ในขณะที่ลอยละล่องมานั้นตลอดทั่วทั้งร่างกายก็ค่อยๆ ปรากฏร่องรอยของมนต์ตราสว่างวาบขึ้นมา พลังอันชั่วร้ายที่มากกว่าครั้งที่ผ่านมาเพิ่มพูนสูงขึ้นจนสร้างความหวาดหวั่นให้ผู้คนเป็นอย่างมาก

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าไม่ใช่ทั้งคนและผี ฉะนั้นก็สมควรรีบตกนรกไปได้แล้ว จะกระโจนตัวเข้ามาให้ข้าฆ่าตายอีกเพื่ออันใดกัน?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกวัดแกว่งดาบยักษ์ที่อยู่ในมือไปมา คมดาบหอบสายลมพวยพุ่งไปที่กุ่ยซาอย่างหนักหน่วง ในขณะที่กำลังปะทะกันอยู่นั้น เหล่าผู้คนต่างก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มีขนาดเล็กร่วงหล่นออกมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“นั่นคืออะไร?”

 

 

 

 

 

 

 

 

“คล้ายกับ……คล้ายกับเนื้อหนังบนร่างกาย”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว หลงเฉินเพิ่มพลังการต่อสู้ให้สูงขึ้นจนสามารถทลายพลังป้องกันของมารร้ายผู้นั้นลงไปได้” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างรีบร้อน

 

 

 

 

 

 

 

 

เนื้อหนังชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหล่านั้นหลุดลอกออกมาจากหมัดของกุ่ยซา โดยปกติแล้วร่างศพของมารร้ายจะถูกเคลือบด้วยน้ำยาที่ทำให้มีความทนทานเหนือสิ่งของมีคมทั้งปวง แม้แต่ดาบหรือกระบี่ที่ดีที่สุดก็ไม่อาจกล้ำกรายเนื้องหนังของพวกเขาได้ เมื่อมีพลังแห่งจิตวิญญาณค่อยหนุนเสริมจึงทำให้พลังป้องกันแกร่งกล้ามากขึ้นไปอีก

 

 

 

 

 

 

 

 

และจิตวิญญาณของกุ่ยซาเองก็คงอยู่มานานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว ฉะนั้นพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาจึงมากมายประดุจน้ำในมหาศาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อพลังแห่งจิตวิญญาณแข็งแกร่งก็ทำให้ร่างศพยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าในขณะนี้พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาถูกลดทอนไปหลายส่วนและต่อเนื่อง เมื่อปะทะกับพลังอันบริสุทธิ์ของหลงเฉินแล้ว ก็ยิ่งทำให้พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาลดลงจนไม่อาจป้องกันการโจมตีได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวทอดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจอย่างถึงที่สุด ราวกับว่านี่เป็นสัญญาณบ่งบอกแห่งชัยชนะอย่างไรอย่างนั้น จิตวิญญาณของอีกฝ่ายกำลังร่อยหลอลงไปทุกที แทบจะไม่หลงเหลือความแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวเฉกเช่นตอนแรก

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางพยักหน้าไปมาอย่างพึงพอใจ สมกับเป็นอี้ซู่ในตำนานอย่างแท้จริง หากหลงเฉินสามารถเป็นศิษย์สายตรง และได้รับการฝึกฝนจนเก่งกาจ ทางหมู่ตึกพลิกสวรรค์ก็คงจะได้เลื่อนระดับให้สูงขึ้นไปกว่าเดิมอย่างแน่นอน เป็นไปได้ว่าอาจจะขึ้นแท่นหนึ่งในสิบอันดับเลยก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินร่ายคมดาบยักษ์ที่อยู่ในมืออย่างวุ่นวาย สายลมกรรโชกไปทั่วทุกสารทิศ เงาดาบปกคลุมเต็มผืนฟ้าสีคราม วงแหวนแห่งเทพหมุนวนอยู่ที่เบื้องหลังอย่างบ้าคลั่งภายในอัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณที่มีใช้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“เพล้ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

หมัดของกุ่ยซาปะทะกับดาบของหลงเฉินจนต้องถอยหลังไปไกลหลายก้าว ประกายแสงที่ประทับอยู่บนหมัดจางหายไป หลงเหลือเพียงกระดูกที่แตกร้าว เนื้อหนังสีดำทมิฬที่เคยห่อหุ้มอยู่ก็ได้หลุดลอกออกไปจนหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

กุ่ยซาทราบได้ทันทีว่าเขาไม่อาจปล่อยให้พลังแห่งจิตวิญญาณลดทอนลงไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว การเบิกพลังเพื่อป้องกันร่างศพเอาไว้จะทำให้เขามีระดับพลังตกลงไปอีกขอบเขตหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

“อเวจีหวนกำเนิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นกุ่ยซาก็ได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ที่แผ่นหลังปรากฏเงาสีดำอันมืดมิดขึ้นมาเป็นสาย ใจกลางของมันคล้ายกับมีดวงตาของมัจจุราชจ้องมองอยู่ จากนั้นพลังสภาวะของกุ่ยซาก็ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดอาการเต้นระรัวอย่างรุนแรง เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลจากกุ่ยซาที่กำลังทวีคุณขึ้นไปเรื่อยๆ นอกจกนั้นพลังแห่งจิตวิญญาณก็เพิ่มสูงขึ้นไปหลายเท่าตัวอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่ากระบวนท่านี้จะต้องเป็นกระบวนท่าที่อำมหิตชนิดหนึ่งที่ทำให้พลังพลังแห่งจิตวิญญาณเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ผีเฒ่าผู้นี้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว แม้จะหลงเหลือเพียงจิตวิญญาณก็ยังออกกระบวนท่าได้มากมายเช่นนี้ หากเป็นร่างจริงที่ยังมีชีวิตอยู่เกรงว่าจะแข็งแกร่งมากจนไม่สามารถคาดเดาได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะทั้งเสียใจและเสียดาย หากทราบตั้งแต่แรกว่าคนผู้นี้จะมีกระบวนท่าเก่งกาจมากมายถึงเพียงนี้ คงจะล่อลวงเอามาให้ได้มากกว่านี้เป็นแน่ นี่เป็นการค้าขายที่ขาดทุนอย่างไม่น่าให้อภัยเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฝ่ามือนรก”

 

 

 

 

 

 

 

 

กุ่ยซาแผดเสียงดังขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด กรงเล็บที่อยู่บนกระดูกนิ้วมือก็ได้ฟาดเข้าไปที่หลงเฉินด้วยพลังทั้งหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะนี้เหลือทางเลือกแค่เพียงหนึ่งในสองแล้ว หากไม่ใช้ร่างกักวายุออกมาก็คงจะต้องตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ปลายดาบก็ถูกชี้ขึ้นสู่ฟากฟ้า พลังอันมหาศาลภายในจุดดารากักวายุก็ไม่อาจเก็บกักเอาไว้ได้อีกแล้ว พลันก็ได้ไหลทะลักไปตามเส้นลมปราณ ทะลวงเป็นพลังลมปราณเข้าสู่ดาบยักษ์ที่อยู่ในมืออย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นตัวดาบก็ได้มีสายลมพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง สีสันมากมายประดุจสายรุ้งเข้าห่อหุ้มตัวดาบ บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวประดุจมีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด คมดาบสายหนึ่งก็ได้พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าเบื้องบนเป็นเส้นตรง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เบิกสวรรค์!”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงนั้นดังกึกก้องอยู่ภายในจิตใจของหลงเฉิน พลันก็ได้ฟาดดาบในมือลงไปยังเบื้องหน้าในทันที

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset