ครืน!
หลังจากสิ้นเสียงการเลือกสรรแล้ว กัวเหรินก็ได้ถูกส่งขึ้นไปอยู่หน้าถ้ำระดับชั้นนอกแห่งนั้น พลันก็ได้ลูบไปที่แหวนมิติ ชุดเกราะสีเงินแวววับปรากฏขึ้นมาพร้อมกับดาบยาว
กัวเหรินสวมชุดเกราะและถือดาบยาวเอาไว้แน่น แววตามุ่งมั่นจ้องมองเข้าไปยังถ้ำอันมืดมิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมุ่งหน้าตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“นั่นมันผิดกฎนะ” คนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของเหร่ยเชียนซังตะเบ็งเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กัวเหริน
“เจ้าโง่ ผู้อาวุโสก็ได้กล่าวออกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าให้จัดการผู้ฝึกยุทธ์ระดับมารร้ายเหล่านั้นโดยการตัดศีรษะของพวกเขาออกมาจึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ
เจ้าหูตึงหรืออย่างไร? หรือว่าตาบอดไปแล้ว? ผู้อาวุโสเคยสั่งห้ามไม่ให้ใช้ชุดเกราะกับยุทโธปกรณ์หรือ?” หลงเฉินด่าทอขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจผู้ใด
เสียงของหลงเฉินดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณจนผู้คนทั้งหมดได้ยินอย่างชัดเจนทุกคำพูด ถังหว่านเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างกายก็ได้ทอประกายแววตาเจิดจ้าไปที่หลงเฉินด้วยความนับถือ แม้จะเป็นการด่าทออย่างไร้เยื่อใย ทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยเหตุและผลอย่างถึงที่สุด
ผู้คนโดยมากแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่เมื่อได้ฟังวาจาเหล่านั้น ทว่าภายในสมองของพวกเขากลับคิดว่าหลงเฉินกำลังเตือนสติอยู่ อีกทั้งยังเกิดความเข้าใจต่อคำพูดของท่านผู้อาวุโสถู่ฟางขึ้นมาอย่างถ่องแท้
ผู้อาวุโสถู่ฟางสูดลมหายใจเข้าไปคำหนึ่ง สายตาเหม่อมองไปที่หลงเฉินอย่างลึกซึ้ง หากผู้คนเหล่านี้เฉลียวลาดได้อย่างหลงเฉินสักครึ่งหนึ่งก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
อีกทั้งเขาเองก็มองออกว่าที่ทางสำนักออกกฎการทดสอบที่เข้มงวดถึงเพียงนี้เพื่อให้ความสำคัญต่อคุณสมบัติของผู้เข้าทดสอบเสียยิ่งกว่าความแน่วแน่
ฉะนั้นเขาจึงเป็นคนของหมู่ตึกที่เข้าใจหลงเฉินดีที่สุด จักรวรรดิเฟิงหมิงเป็นเพียงเมืองขนาดเล็กและกันดาร ต่อให้มีการปรากฏขึ้นมาของเหมืองศิลาปราณ ทว่าสำหรับเขาแล้วกลับเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้น และก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องออกไปจัดการด้วยตัวเอง
ทว่าในช่วงเวลานั้นเหล่าผู้อาวุโสหลายคนกำลังเก็บตัวกันอยู่ เขาจึงต้องออกมาเดินทางไปที่จักรวรรดิเฟิงหมิงด้วยตัวเอง และก็ได้พบกับหลงเฉิน
เป้าหมายหลักของเขาคือการแบ่งสรรปันส่วนเหมืองศิลาปราณให้กับสำนักโดยรอบ ถึงแม้ว่าเหมืองศิลาปราณแห่งนั้นจะมีขนาดเล็กและไม่ได้มีคุณภาพของปราณที่สูงมากนักก็ตาม
เมื่อมาถึงจักรวรรดิเฟิงหมิง เขาก็ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของผู้คนในที่แห่งนั้น
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งสามารถไต่ระดับขึ้นมาได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี แน่นอนว่าแม้แต่เขาเองก็ยังต้องเกิดอาการตกใจเมื่อทราบเช่นนั้น ทว่าเมื่อได้พบว่าหลงเฉินไม่มีเส้นรากปราณอยู่ภายในร่างกาย เขาก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมาอย่างอดสู ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีเส้นรากปราณนั้นต่อให้มีพลังอยู่ในระดับสัตว์ประหลาดก็ยังคงต้องพบกับขีดจำกัดของตัวเองเข้าสักวัน
ทว่าหลิงหวินจื่อกลับทักท้วงขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ จนเขาต้องนำสิ่งที่หลงเฉินกระทำมาทั้งหมดมาวิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ ก็พบความจริงที่ว่าตั้งแต่กำเนิดมาจนถึงตอนนี้หลงเฉินนั้นต้องทนทุกข์กับความยากลำบากมาโดยตลอด ถูกกลั่นแกล้งจากผู้คนรอบข้าง ทว่าสิ่งเหล่านั้นได้หลอมรวมให้จิตใจของชายหนุ่มผู้นี้หนักแน่นและเด็ดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด อาจเรียกได้ว่าอยู่ห่างไกลจากจิตสำนึกของคนปกติเลยก็ว่าได้
แม้เบื้องหน้าของเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ทว่าเมื่อเทียบกับหลงเฉินแล้วกลับกลายเป็นเพียงกลุ่มคนธรรมดาสามัญจนน่าตลก ถู่ฟางจึงถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน หมู่ตึกที่ต้องรับลูกศิษย์เช่นนี้เข้ามานั้นไม่ใช่ว่าขาดทุนไปแล้วหรืออย่างไรกัน?
หลงเฉินผู้นี้ช่างมีความทรหดเยี่ยงวัชพืชต้นหนึ่ง ต่อให้ถูกไฟเผา ถูกลมพายุพัดผ่าน หรือแม้แต่ถูกผู้คนเหยียบย้ำซ้ำไปมา ทว่าก็ยังสามารถงอกเงยขึ้นมาได้ใหม่ด้วยตัวเอง มีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นกังวลนั่นก็คือหลงเฉินนั้นจะสามารถหยิบยืมความทรหดเช่นนี้เดินทางต่อไปได้อีกยาวไกลเพียงใด?
“ตูม”
ทันใดนั้นความคิดทั้งหมดภายในห้วงสมองของถู่ฟางก็ได้ถูกม้วนเก็บเอาไว้อย่างรวดเร็วหลังจากมีเสียงระเบิดดังขึ้นมา ผู้คนมากมายที่จ้องมองอยู่ต่างก็มีจิตใจที่ห่อเ**่ยวลงไปตามๆ กัน เพราะไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ากัวเหรินผู้นั้นจะลอยออกมาเป็นชิ้นส่วนที่เต็มไปด้วยสายโลหิตหรือไม่
ถึงแม้ว่าใบหน้าของหลงเฉินจะไม่ได้แสดงอารมณ์อันใดออกมา ทว่ามือทั้งสองกลับกำหมัดเอาไว้จนแน่น ถึงแม้จะทราบดีว่าเป็นห่วงไปก็ไม่อาจช่วยอันใดได้ ทว่าเขากลับไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกเช่นนั้นได้เลย
หลังจากที่เสียงระเบิดเงียบลง เงาร่างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาที่ปากถ้ำแห่งนั้น ร่างกายชุ่มไปด้วยหยาดโลหิตสีแดงชาด หมวกเหล็กสีเงินวาววับที่เคยสวมใส่ได้หายไป ดาบยาวในมือหลงเหลือเพียงครึ่งเล่ม
ชุดเกราะบนร่างกายเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและบิ่นแตก กายเนื้อที่โผล่ออกมามีบาดแผลมากมายนับไม่ถ้วน เพียงแค่ได้มองดูสภาพก็พอจะทราบได้แล้วว่าการต่อสู้ภายในถ้ำแห่งนั้นโหดร้ายเพียงใด
มือซ้ายของกัวเหรินถือศีรษะของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอาไว้อย่างแน่นหนา ใบหน้านั้นเปล่งประกายความดุร้ายประดุจภูตผีปีศาจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“พี่ใหญ่ ข้าทำสำเร็จแล้ว!”
ขณะที่เดินมาถึงปากถ้ำ กัวเหรินก็ได้ชูศีรษะในมือขึ้นมา แล้วร้องตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี
หลงเฉินฉีกยิ้มกว้างพร้อมทั้งผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ได้ชูนิ้วหัวแม่โป้งไปที่กัวเหริน เจ้าหนูผู้นี้สมกับเป็นลูกผู้ชายตัวจริง
ด้วยพลังฝีมือเพียงอย่างเดียวย่อมทำให้กัวเหรินมีโอกาสผ่านการทดสอบเพื่อเป็นศิษย์สายนอก เพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ทว่าเขาสามารถได้รับชัยในครั้งนี้ก็เพราะพลังแห่งจิตที่มุ่งมั่นและแน่วแน่อย่างถึงที่สุด
“ซูม”
หลังจากที่กล่าวจบร่างของกัวเหรินก็ค่อยๆ เอนลงไปทางด้านหน้าช้าๆ เขาได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับการต่อสู้เมื่อครู่นี้แล้ว อีกทั้งยังได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง เช่นนั้นก็สามารถผ่อนคลายร่างกายลงได้แล้ว ทันใดนั้นเขาจึงสลบไปในทันที
ผู้คนทั่วทั้งลานกว้างต่างทอสีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมา แม้ว่าปากถ้ำแห่งนั้นจะอยู่ห่างจากพื้นเพียงสามสิบเซียะ ทว่าด้านล่างนั้นกลับเต็มไปด้วยโขดศิลาน้อยใหญ่เต็มไปหมด หากร่วงหล่นลงมาจนศีรษะฟาดกับของแข็งเช่นนั้นคงมีแต่จะต้องตายตกลงไปคาที่อย่างแน่นอน
ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะลงมือ จู่จู่ก็ได้มีเงาร่างหนึ่งโอบไปที่ร่างบางของกัวเหรินอย่างแผ่วเบา แล้วลอยละล่องมาที่ด้านหน้าของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว
หลงเฉินรีบรับกัวเหรินมาพยุงเอาไว้ จากนั้นก็หันไปกล่าวขอบคุณต่อผู้อาวุโสท่านหนึ่งด้วยความนอบน้อม ผู้เฒ่าผู้นั้นจึงพยักหน้าตอบรับครั้งหนึ่ง
หลังจากที่ได้ตรวจสอบร่างกายของกัวเหรินอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็ได้พบว่าที่ชุดเกราะสีเงินนั้นถูกของมีคมชนิดหนึ่งเลาะออกเป็นชิ้นส่วน อีกทั้งยังเป็นการกรีดแทงเป็นแนวยาวขึ้นมาสายเดียว เห็นได้ชัดว่าอาวุธชิ้นนั้นจะต้องแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นหลงเฉินก็ได้ป้อนโอสถรักษาอาการบาดเจ็บ และใช้ผลึกแห่งราชินีผึ้งหยกป้อนเข้าในปากของกัวเหรินอย่างแผ่วเบา
ทันทีที่ชีซิ่งเห็นผลึกแห่งราชินีผึ้งหยกในมือของหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะปะทุเพลิงโทสะขึ้นมาจนท่วมท้น สิ่งของล้ำค่าเช่นนั้นควรจะเป็นของเขา ทว่ากลับถูกหลงเฉินผู้ไร้ยางอายแย่งชิงไปได้
ด้วยฤทธิ์โอสถอันแข็งแกร่งก็ได้ทำให้กัวเหรินฝืนคืนสติขึ้นมาในทันที เมื่อเด็กน้อยผู้นั้นเห็นใบหน้าของหลงเฉินจึงรีบกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรนว่า “พี่ใหญ่ ข้าทำสำเร็จแล้ว ข้าทำสำเร็จแล้ว!”
หลงเฉินส่งเสียงหัวเราะฮาฮาอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าทราบว่าเจ้าทำสำเร็จและดีใจเป็นอย่างมาก ทว่าเจ้ามีรสนิยมที่แปลกอยู่ไม่น้อยเลย ถึงกับถือศีรษะของผู้คนโทงเทงไปมาไม่ยอมปล่อย เจ้าคิดจะเก็บเอาไว้ใช้เป็นหมอนหนุนหรืออย่างไรกัน?”
กัวเหรินจ้องมองไปยังศีรษะของคนตายที่อยู่ในมือ พลันก็ได้กล่าววาจาขึงขังขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ ท่านต้องไม่ทราบแน่ว่าการละเล่นในครั้งนี้ช่างโหดร้ายจนเกินไป
ที่แขนข้างหนึ่งของชายผู้นี้มีเพียงท่อนกระดูก ไม่มีเนื้อหนัง ไม่มีมือ อีกทั้งกระดูกทุกชิ้นก็ยังแหลมคมอย่างไร้ที่เปรียบ ท่านดูที่บาดแผลของข้าสิ เขาได้ใช้กระดูกแขนทิ่มแทงเข้ามาอย่างไร้ความปราณี” เมื่อกล่าวมาถึงช่วงท้าย วาจาของกัวเหรินก็ได้สั่นเครือขึ้นมาเล็กน้อยเพราะความหวาดผวา
“เจ้าหนู ยินดีกับเจ้าด้วย จงนำศีรษะของคนผู้นั้นไปแลกกับแผ่นป้ายประจำตัวของศิษย์สายนอกเถิด และหลังจากนี้เจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์ของหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์อย่างแท้จริงแล้ว”
ผู้คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาตั้งโต๊ะขนาดใหญ่เอาไว้ที่ด้านข้างของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นจุดสำหรับแลกแผ่นป้ายประจำตัวนั่นเอง เฒ่าชราผู้หนึ่งกวักมือเรียกให้กัวเหรินเดินเข้าไปหาเขาในทันที
กัวหรานมุ่งหน้าไปยังโต๊ะตัวนั้นอย่างรีบร้อน จากนั้นก็ได้ยื่นศีรษะของคนตายให้กับเฒ่าชรา เฒ่าชราผู้นั้นกวาดสายตามองไปตามร่างกายของกัวเหรินอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็ได้ยื่นแผ่นป้ายที่มีขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือส่งมาให้
แผ่นป้ายนั้นเป็นสีทองสัมฤทธิ์ แม้ว่าจะมีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือ ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่หนักหน่วงเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีขุมพลังอันเยือกเย็นแผ่ออกมากดดันผู้คนเอาไว้
ด้านบนของแผ่นป้ายมีอักษรโบราณสลักคำว่าสำนักพลิกสวรรค์เอาไว้ ส่วนด้านหลังนั้นได้สลักนามว่ากัวเหรินอย่างชัดเจน
“ฮาฮา พี่ใหญ่ หลังจากนี้ข้าก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีหน้ามีตาในยุทธภพแห่งนี้แล้ว อีกทั้งยังสามารถสวมเครื่องแบบเต็มยศกลับบ้านเกิดของข้าได้อย่างเต็มภาคภูมิอีกด้วย” กัวเหรินลูบคล้ำไปที่แผ่นป้ายด้วยความรักถนอมสุดชีวิต พร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่คล้ายกับว่ากำลังฝันถึงคนรักอยู่
“เอาเถิด อย่าได้กว่าวให้มากความไปเลย เจ้าไปพักรักษาตัวทางด้านหลังได้แล้ว และอย่าทำแผ่นป้ายประจำตัวหายไปเชียวล่ะ ไม่อย่างนั้นต่อให้เจ้าอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแน่” หลงเฉินกล่าว
“วางใจเถิด ต่อให้ข้าทำตัวเองหายก็ไม่ยอมทำแผ่นป้ายชิ้นนี้หายอย่างแน่นอน” หลังจากที่กล่าวจบ กัวเหรินก็รีบหันกายแล้ววิ่งตะบึงหน้าตั้งออกไปทางด้านหลัง
หลังจากที่กัวเหรินทดสอบผ่านและได้รับแผ่นป้ายเป็นคนแรก ผู้คนไม่น้อยก็ได้บังเกิดความอิจฉาริษยา ทว่าอีกส่วนหนึ่งก็ได้ถูกกระตุ้นความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม
หลังจากนั้นการทดสอบก็ดำเนินต่อไป ผู้คนมากมายต่างก็เลือกระดับชั้นนอกด้วยกันทั้งหมด การทดสอบของผู้คนสิบกว่าคนก็ได้มีอยู่สามคนที่ตายตกไปอย่างอเนจอนาถ
มีสองคนรู้ตัวได้รวดเร็วว่าไม่ต่อสู้ได้จึงรีบถอยออกมาจากถ้ำ เงาร่างสายหนึ่งพุ่งทะยานตามออกมาจากภายในถ้ำพร้อมทั้งแผดเสียงกรีดร้องขึ้นมา หมายมั่นที่จะสังหารผู้ที่หลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทว่าเงาร่างภายในถ้ำทั้งสองแห่งนั้นกลับสะอึกอยู่ที่ปากถ้ำ เพราะต้องแสงสว่างวาบจากก้อนศิลาจนต้องส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้นเองตลอดทั้งร่างนั้นก็ได้สลายหายไปภายในพริบตาเดียว กลายเป็นกะโหลกศีรษะกลิ้งเกลือกลงมาที่พื้นอยู่สองลูก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานี้ชวนให้ขนหัวลุกอย่างถึงที่สุด ฉากการตายเช่นนี้ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว ผู้คนที่หลบหนีออกได้ต่างก็แตกตื่นตกใจจนเข่าทรุดลงไปกับพื้น
หลังจากที่พวกเขาเดินลงมาแล้ว บัตรเทียบเชิญกับแผ่นป้ายที่รวบรวมมาได้ทั้งหมดก็ได้ถูกริบคืนกลับไปในทันที ถึงแม้ว่าจะรักษาชีวิตของตัวเองได้ ทว่าถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ
เมื่อพบทั้งคนตาย คนรอด และคนที่ไม่ได้ไปต่อ ก็ทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งหวาดกลัวต่อการทดสอบขึ้นมาจนตัดสินใจล้มเลิกการเข้าทดสอบในทันที จากนั้นก็ได้นำแผ่นป้ายที่เก็บมาได้ไปขายต่อ
ทางหมู่ตึกไม่ได้ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องผ่านด่านการทดสอบครั้งสุดท้ายนี้ไปให้ได้อยู่ดี
เหล่าขุมกำลังของเหร่ยเชียนซังเริ่มหาซื้อโอสถตระเตรียมเอาไว้ในแหวนมิติ อีกทั้งยังแลกยุทโธปกรณ์ต่อกันอย่างวุ่นวาย หมายจะผ่านการทดสอบให้ได้มากที่สุด
เมื่อขุมกำลังอื่นเริ่มเคลื่อนไหว ถังหว่านเอ๋อก็ได้ดึงไปที่ชายเสื้อของหลงเฉินแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “พวกเราเองก็ควรจะเริ่มได้แล้วใช่หรือไม่?”
สถานการณ์ในตอนนี้ทั้งคับขันและกดดันจนทำให้ถังหว่านเอ๋อรู้สึกร้อนรนขึ้นมาไม่หยุด นี่เป็นการทดสอบที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของผู้คน เช่นนั้นนางจึงไม่ทราบว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี จึงถามออกไปเพื่อขอความคิดเห็นจากหลงเฉิน
ถึงแม้จะทราบดีอยู่แล้วว่าหลงเฉินผู้นี้มีปากคอเราะร้ายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขากลับเป็นคนที่พึ่งพาได้ในยามคับขันเช่นนี้มากที่สุดแล้ว
“การทดสอบครั้งนี้สำคัญกับทุกคน ด้วยสถานการณ์เช่นนี้เจ้าควรปลดปล่อยพลังแห่งวิญญาณของตัวเองออกมาเพื่อเป็นการปลุกเร้าความฮึกเหิมของขุมกำลัง ขอเพียงสามารถดึงความมั่นใจของพวกเขาออกมาได้ แน่นอนว่าผลลัพธ์จะต้องยอดเยี่ยวอย่างแน่นอน” หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไป
ถังหว่านเอ๋อกำไปที่ชายเสื้อของหลงเฉินจนแน่น แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ข้าทำตัวไม่ถูก เจ้าช่วยข้าสักนิดได้หรือไม่?”
“คงจะไม่เหมาะสม เจ้าเป็นผู้นำ พวกเขาต่างก็มาที่นี่เพื่อสาวงามเช่นเจ้า ข้าเป็นเพียงองค์รักษ์ข้างกายผู้หนึ่งก็เท่านั้นเอง” หลงเฉินส่ายหน้าไปมา
“เจ้าตัวบัดซบ นี่เป็นคำสั่งที่เจ้าต้องทำ” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย พร้อมกับดันหลงเฉินออกไปข้างหน้า
หลงเฉินหัวเราะเหอะเหอะขึ้นมา นี่มันเรื่องเหลวไหลอะไรกัน มีหรือที่คนอย่างข้าจะเกรงกลัวผู้ใด?….