หลงเฉินหันมองไปตามเสียงเรียกขาน ก็พบว่าถังหว่านเอ๋อกำลังโบกไม้โบกมือมาที่เขาอย่างสนิทสนม เขาจึงทอสีหน้าโง่งมออกไป ดูเหมือนว่าถังหว่านเอ๋อจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเมื่อได้อยู่กับเขา เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลงเฉินก็ได้หยุดความคิดที่ไม่สมควรนั้นทันที เพราะมันกำลังทำให้เขาทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเลื่อนสายตาไปด้านข้างก็พบชิงยวูกำลังยืนอยู่ ทันใดนั้นหลงเฉินก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ยินยอม ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าไปอยู่ดี
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง ชิงยวูเจี่ยเจี่ย” หลงเฉินกล่าวทักทายชิงยวูด้วยใบหน้าแจ่มใส
ถังหว่านเอ๋อเคยบอกกล่าวต่อเขามาก่อนว่าคนที่นางเกรงกลัวที่สุดก็คือชิงยวูเจี่ยเจี่ย แม้ว่าชิงยวูจะเป็นเพียงผู้รับใช้ ทว่าชิงยวูกลับปรนนิบัติต่อนางเป็นอย่างดีคล้ายกับนางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของชิวยวูเลยก็ว่าได้
ชิงยวูก็มีนิสัยจู้จี้จุกจิกจนทำให้ผู้คนทั้งหลายแทบจะคลั่งตายได้เลย ฉะนั้นถังหว่านเอ๋อจึงทั้งรักและเกรงกลัวนางอย่างถึงที่สุด
“หลงเฉิน ได้ยินมาว่าเจ้าทะเลาะกับผู้อื่นอีกแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง?” ชิงยวูเอ่ยถามออกไปด้วยความสนิทสนม
มืออันขาวผ่องข้างหนึ่งยื่นมาหยิบเศษหญ้าที่ติดอยู่บนเส้นผมของหลงเฉิน ด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยกับการกระทำเช่นนั้น อีกทั้งยังเป็นการดูแลใกล้ชิดจนเกินไป หลงเฉินจึงรีบถอยเท้าไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อมองไปที่ดวงตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ของชิงยวูแล้ว ความรู้สึกต่อต้านเมื่อครู่นี้ก็ได้สลายหายไปกลายเป็นอยากจะใกล้ชิดมากขึ้น
หลังจากที่ดึงเศษหญ้าที่อยู่บนศีรษะออกจนหมดแล้ว ชิงยวูก็ได้จัดอาภรณ์ให้หลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ถึงแม้ว่าถังหว่านเอ๋อได้เล่าให้ฟังแล้วว่าเจ้ามีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทว่าที่พวกเรามายังหมู่ตึกแห่งนี้ก็เพื่อฝึกยุทธ์
หากไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยความรู้สึกมากไป เจ้าก็ควรจะอดทนอดกลั้นเอาไว้บ้าง เข้าใจหรือไม่ อย่าได้ก่อเรื่องให้มากนัก……”
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด หลงเฉินถึงสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนจากชิงยวู การกระทำเช่นนี้ทำให้เขาหวนนึกถึงมารดาขึ้นมา ในช่วงที่เขายังเยาว์วัยนั้นมารดาเองก็มีท่าทีและวาจาที่อ่อนโยนเฉกเช่นนี้ อีกทั้งยังมักช่วยจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของเขาเป็นประจำ และใบหน้าของมารดาในขณะนั้นก็ยังงดงามคล้ายกับชิงยวูในตอนนี้เป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
ด้วยความโอบอ้อมอารีและดูแลผู้อื่นจากใจจริงจึงไม่แปลกใจเลยที่หญิงสาวผู้เอาแต่ใจอย่างถังหว่านเอ๋อถึงได้เกรงใจนางมาโดยตลอด เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจทำร้ายได้ลงคอจริงๆ
ถังหว่านเอ๋อผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าหลงเฉินมาถึงอย่างปลอดภัย ความรู้สึกอึดอัดผ่อนคลายลงไปได้เล็กน้อย ทว่าพอหันไปสบสายตาอันแดงก่ำของหลงเฉินแล้ว นางก็เกิดความรู้สึกฉงนสงสัยขึ้นมาไม่น้อย
ส่วนกัวเหรินเองก็เกิดความสับสนอย่างถึงที่สุด พี่ใหญ่หลงคนเมื่อครู่ที่เพิ่งจะเตะยอดฝีมือผู้หนึ่งจนสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นเสมือนเด็กน้อยที่ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
หลงเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจ้องมองมาที่เขา จึงดึงสติคืนกลับมาในทันที การถูกผู้คนสั่งสอนออกมาไม่หยุดย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจทนรับเอาไว้ได้ และเมื่อได้เห็นกัวเหรินลอบหัวเราะขึ้นมา จึงเกิดอาการเกรี้ยวกราดขึ้นมายกใหญ่
“กัวเหรินเข้ามานี่”
“พี่ใหญ่เรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือ?” กัวเหรินเดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
หลงเฉินหันไปกล่าวต่อชิงยวูว่า “ชิงยวูเจี่ยเจี่ย ข้ารู้สึกว่าเด็กน้อยผู้นี้เป็นคนที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีวาจาคมคาย ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ฟังต่างก็ต้องจดจำเขาได้อย่างขึ้นใจ รวมถึงข้าด้วย
ข้าจะขอแนะนำเขาให้แก่ท่านสักหน่อย นี่เป็นพี่น้องของข้า เขาเองก็เป็นยอดฝีมือที่ดีผู้หนึ่ง ไม่ว่าสิ่งใดได้ผ่านหูไปแล้วย่อมจดจำได้ไม่มีลืมเลือน
ฉะนั้นหากท่านคิดจะสอนสั่งข้าก็บอกต่อเขาได้เลย เขาจะช่วยจดจำทุกอย่างเอาไว้ให้ข้าด้วยความสามารถที่ดีที่สุดของเขา ต่อให้ไม่มีเจี่ยเจี่ยอยู่ข้างกาย ข้าก็ยังหวนนึกถึงคำสอนของเจี่ยเจี่ยได้โดยตลอด”
กัวเหรินยืนฟังด้วยสีหน้าโง่งมปนสงสัยอย่างถึงที่สุด นี่เขากำลังหาเรื่องใส่ตัวเองอยู่หรือ? เมื่อได้ยินเช่นนั้นชิงยวูก็ทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา
“คิดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะฉลาดได้ถึงเพียงนี้ เจ้ามีนามว่ากัวเหรินสินะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดีแล้วถ่ายทอดต่อหลงเฉิน อาจจะยาวไปบ้างทว่าหากเจ้าจำไม่ได้หรือฟังไม่ทันก็ทักท้วงขึ้นมาได้ในทันที ข้าจะได้พูดให้ฟังอีกรอบ เอาล่ะ หากเจ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย……” ชิงยวูลากกัวเหรินไปยังอีกทางหนึ่งที่เงียบสงบกว่าแล้วเริ่มต้นการบรรยายอย่างตั้งอกตั้งใจ
หลงเฉินเบือนหน้าหนีสายตาขุ่นเคืองของกัวเหรินที่ทอดมา เจ้าบังอาจมีเรื่องกับคนอย่างข้าเอง ช่วยไม่ได้ พวกเราจ่างก็เป็นพี่น้องกัน เช่นนั้นก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจึงจะถูกต้อง
“เจ้าคนเลวร้าย ฉลาดนักนะ” ถังหว่านเอ๋อมองมาที่หลงเฉินด้วยแววตาสุกใส “หากเปลี่ยนเป็นข้าในคราวหน้า ข้าก็จะใช้วิธีการเช่นนี้ด้วย ช่างเป็นวิธีที่ดียิ่ง”
เมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของถังหว่านเอ๋อกำลังจ้องมาที่ตัวเอง หลงเฉินจึงรีบกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าขอเจ้าไว้ก่อนเลยนะ อย่าได้คิดให้ข้าเป็นผู้รับเคราะห์แทนเจ้าก็แล้วกัน”
“เหอะ คนอย่างข้าต้องให้เจ้ามารับเคราะห์แทน?” ถังหว่านเอ๋อแสยะยิ้มแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นหลงเฉินก็ถอนหายใจออกมาอย่างไว้วางใจ แล้วกล่าวตัดบทขึ้นมาว่า “มีจำนวนคนอยู่มากน้อยเพียงใดแล้ว?”
ถังหว่านเอ๋อขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแล้วตอบกลับมาว่า “จากที่เคยนับไว้ก็มาถึงกันเกือบหมดแล้ว ทว่ายังมีอยู่หลายคนที่ตายในระหว่างการทดสอบ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“พวกพ้องของข้ามีอยู่สองคนที่ถือว่ามีพรสวรรค์อย่างยิ่ง ในระหว่างที่พวกเขากำลังข้ามแม่น้ำสายใหญ่ จู่จู่ก็ได้ร่วงลงไปกลางแม่น้ำ และผลสุดท้าย……” ถังหว่านเอ๋อกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
เมื่อมองไปยังใบหน้าของสาวงามแล้ว หลงเฉินก็เข้าใจขึ้นมาได้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคงจะไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แน่นอนว่าเป็นการจงใจของใครบางคน “เป็นฝีมือของผู้ใด?”
“ผู้ที่มารายงานกล่าวว่าเป็นฝีมือของขุมกำลังของชีซิ่ง ในขณะที่เกิดเรื่องเป็นพวกเขาที่ในละแวกนั้นทั้งหมด พวกเขาก่อความวุ่นวายบางอย่างขึ้นในสถานที่แห่งนั้นจนทำให้ผู้คนไม่น้อยตกลงไปกลางแม่น้ำ ซึ่งรวมไปถึงคนของข้าด้วย” ถังหว่านเอ๋อกล่าว
“เป็นวิธีการสังหารผู้คนอย่างอำมหิตนัก หมู่ตึกปล่อยไปได้อย่างไร?” หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมา เขามั่นใจว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นการล้างแค้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“เปล่าประโยชน์ มีคนตกลงไปทั้งหมดเจ็ดคน หนึ่งในนั้นก็เป็นคนของฝ่ายชีซิ่งด้วย ต่อให้พวกเราทราบว่าพวกเขาจงใจ ทว่าก็ไม่อาจกล่าวหาโดยไร้หลักฐานได้อยู่ดี
ในเมื่อคนของเขาก็ตายไปด้วย แน่นอนว่าพวกเขาสามารถบอกได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ เช่นนั้นหมู่ตึกก็ทำอะไรไม่ได้” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างจนปัญญา
“พลังการต่อสู้ของพวกพ้องทั้งสองคนของข้านั้นแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าจ้าวหวู่ที่เจ้าได้สังหารลงไปเสียอีก คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะลงมือกับผู้คนได้โหดเ**้ยมถึงเพียงนั้น” ดวงตาคู่งามของถังหว่านเอ๋อทอสีแดงก่ำขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านางไม่อาจยอมรับการจากไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้
“เจ้าเองก็ต้องเรียนรู้ความขมขื่นของชีวิตจริงบ้าง การแย่งชิงภายในหมู่ตึกแห่งนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หากเมื่อใดที่เจ้าออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่โลกภายนอก เจ้าจะเข้าใจว่าความขมขื่นที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
โลกภายนอกที่ทำให้ผู้คนรอบข้างของเจ้าต้องมาล้มลงอยู่ตรงหน้า ความไร้พลัง ความเจ็บปวด ความโหดร้ายต่างก็เรียกว่าความขมขื่นอย่างถึงที่สุด
การใช้ชีวิตที่แท้จริงเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่ลูกหลานจากตระกูลผู้มั่งคั่งอย่างพวกเจ้าคงไม่เคยพบเจอมาก่อน เช่นนั้นจงยอมรับความเป็นจริงให้ได้ เพราะหลังจากนี้เจ้าจะได้พบกับความขมขื่นที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นไปอีก หากไม่ทนก็จงถอนตัวออกจากเส้นทางการฝึกยุทธ์ซะ” หลงเฉินกล่าว
จิตใจที่โหดเ**้ยมของผู้คนและประสบการณ์แห่งความตายทำให้หลงเฉินเข้าใจถึงความขมขื่นที่แท้จริงของชีวิตว่าเป็นเช่นไร หากอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปก็จะต้องมีพลังฝีมือที่สูงล้ำพอที่จะรับมือกับเรื่องราวเหล่านั้นและผ่านพ้นไปให้ได้
ไม่เช่นนั้นต่อให้เป็นคนเร่ร่อน ข้ารับใช้ หรือจวบไปจนถึงเป็นองค์จักรพรรดิก็คงจะไม่อาจรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ เดิมทีหลงเฉินเองก็มีฐานะเป็นถึงซื่อจื่อ (ลูกหลานของขุนนาง) หากมองจากมุมมองของสามัญชนแล้วถือว่าเป็นการคงอยู่ที่สูงส่งอย่างยิ่ง อย่างน้อยชีวิตความเป็นอยู่คงจะไม่ลำบากแต่อย่างใด คงจะไม่อดมื้อกินมื้อเฉกเช่นพวกเขา
ทว่าความเป็นจริงนั้นช่างแตกต่างกันยิ่งนัก แม้จะเป็นการคงอยู่ที่สูงส่งก็ยังถูกกดขี่จนไร้หนทาง หากไม่ใช่เป็นเพราะจิตวิญญาณของจักรพรรดิโอสถและเคล็ดกายานวดารา ตระกูลหลงของเขาคงจะวอดวายไปตั้งแต่แรกแล้ว
หรือจะเป็นฉู่เหยาที่มีฐานะเป็นถึงองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเอง ผลสุดท้ายก็ยังถูกผู้อื่นลงมือจนต้องมีชะตาชีวิตที่ขมขื่นไม่ต่างกัน หากไม่ใช่เพราะหลงเฉินแล้วเกรงว่านางคงจะเป็นเพียงดอกไม้ที่ใกล้จะโรยราลงไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลงเฉินจึงคิดว่าหากต้องการมีชีวิตต่อไปก็จงพึ่งพาพละกำลังของตัวเองเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็จงเลือกที่จะใช้ชีวิตที่ต่ำต่อย หรือไม่ก็เลือกเส้นทางที่รวบรัดการตายตกลงไปให้เร็วที่สุด
“ข้าเป็นคนทำร้ายพวกเขา หากข้าไม่ได้ชักชวนพวกเขาให้เข้าร่วมขุมกำลังของข้า พวกเขาคง……” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“จะอยู่หรือตายนั้นเป็นเรื่องที่สวรรค์ตัดสิน ไม่ใช่เจ้าทำร้ายพวกเขา พวกเขาแค่มีวาสนาไม่เพียงพอที่จะใช้ชีวิตต่อไปก็เท่านั้น
การฝึกยุทธ์เป็นเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ มีแต่ต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า หากเจ้าคอยช่วยเหลือพวกเขา เจ้าจะสามารถช่วยเหลือไปได้อีกนานเพียงใดกัน สามารถช่วยเหลือได้จนถึงบั้นปลายของชีวิตอย่างนั้นหรือ” หลงเฉินมองไปที่ถังหว่านเอ๋อแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
การจากลาและความตายย่อมเป็นวังวนของผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ายุติธรรมต่อนาง ฉะนั้นหลงเฉินจึงอกไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนสติขึ้นมา
ถังหว่านเอ๋อประหลาดใจกับคำพูดของหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง คำพูดที่ตรงฉินประดุจการลั่นกลองภายในจิตใจของนาน จนทำให้นางฟื้นคืนสติกลับคืนมาได้ในทันที
“ขอบใจเจ้ามาก จากนี้ไปข้าจะไตร่ตรองทุกสิ่งให้ดี” ถังหว่านเอ๋อมองไปที่หลงเฉินด้วยความตื้นตันอย่างถึงที่สุด
ถังหว่านเอ๋อเป็นยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาด อีกทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งตระกูล ฉะนั้นคำพูดเหล่านี้ก็พอจะได้ยินมาบ้างจากยอดฝีมือภายในตระกูลว่าจะต้องยืดมั่นในสภาพจิตใจของตัวเองเอาไว้ให้ดี มีสติอยู่ตลอดเวลา ทว่าในตอนนั้นนางไม่ทราบว่าสติและจิตนั้นเป็นอย่างไร
และเรื่องเช่นนี้อาจทำให้ความคิดบานปลายออกไปเป็นวงกว้าง ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ถึงขั้นแปรเปลี่ยนเป็นจิตมาร ทว่าอาจส่งผลกระทบต่อการฝึกยุทธ์ของนางในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
หลงเฉินยิ้มน้อยๆ มองไปที่ถังหว่านเอ๋อ “เกรงใจเกินไปแล้ว จำสิ่งที่ข้าบอกเอาไว้ให้ดี เจ้าเข้าใจนะ”
หลงเฉินคิดจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้ถังหว่านเอ๋อฟัง ทว่ารอบกายเขากลับมีผู้คนอยู่อีกมากมาย ถึงแม้ว่าบทสนทนาของพวกเขาจะแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากมีผู้ใดได้ยินขึ้นมาย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี
ทันใดนั้นถังหว่านเอ๋อก็ได้ทอสีหน้าเกรี้ยวกราดแล้วด่าทอขึ้นมาว่า “เจ้าตัวบัดซบ เจ้าอยากตายหรือ?”
หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเป็นปกติได้เสียที”
ถังหว่านเอ๋อจ้องเขม็งไปที่หลงเฉิน ภายในจิตใจรู้สึกเดือดดาลและขบขันขึ้นมาพร้อมกัน ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับหลงเฉินที่สามารถปรับอารมณ์ของนางได้ภายในพริบตาเดียว และทุกครั้งก็กระทำได้สำเร็จ
“หลงเฉิน ข้าไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าในหัวของเจ้ามีอะไรอยู่กันแน่ คล้ายกับว่าเจ้าเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกแห่งนี้” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ
“อย่าเรียกว่าคล้าย ให้เรียกว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้จะเหมาะสมกว่า ข้าเข้าใจได้ทั้งฟ้าและผืนดิน รวมไปถึงอากาศโดยรอบด้วย”หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวราวกับกำลังอ่านบทคัมภีร์
ถังหว่านเอ๋อจดจ้องไปที่หน้าตาเจ้าเล่ห์ของหลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา “หนังหน้าของเจ้าด้านเกินไปแล้ว หลงเฉิน เจ้ามีความคิดปกติบ้างหรือไม่?”
“มีสิ หากทั้งหมดที่ข้ากล่าวมาเป็นเรื่องจริงล่ะ?” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“จงบอกความคิดที่แท้จริงของเจ้ามาว่าเป็นอย่างไร?” ถังหว่านเอ๋อรีบถามกลับไป
“ความคิดของข้าก็คือ……เหอะเหอะ ก็น่าอายอยู่นะ” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยท่าทีเขินอาย
“เหอะ ใบหน้าที่หนาของเจ้ายังจะมีสิ่งใดให้อับอายอยู่อีกหรือ รีบบอกมา” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน ภายในจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความใคร่รู้
“ได้ ข้าจะบอกเจ้า เจ้าจงฟังให้ดีๆ ล่ะ ความคิดที่แท้จริงของข้าก็คือข้าต้องการจะเป็น——คน——เลว——ทราม” หลงเฉินเน้นย้ำขึ้นมาทีละตัวอักษรอย่างจงใจก่อกวน…