เมื่อหลงเฉินและกัวเหรินมาถึงบริเวณที่คับคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาแล้ว ก็เห็นเงาร่างสางสายกำลังต่อสู้กันอยู่ท่ามกลางป่าเขา ชายหนุ่มทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันไปมาจนบรรยากาศโดยรอบตลบอบอวนไปด้วยฝุ่นละอองจากดิน พลังทำลายเหล่านั้นช่างสะท้านไปทั่วทั้งฟ้าดินอย่างไร้ที่เปรียบ อีกทั้งยังกินอาณาบริเวณไปมากกว่าร้อยจั่งแล้ว
“ชีซิ่งกับเหร่ยเชียนซังหรือ” เสียงตะโกนดังขึ้นมาด้วยความตกใจ
หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้นเป็นยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดที่เลื่องชื่อนั่นเอง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงมีพลังทำลายแผ่ซ่านออกมาอย่างมหาศาลจนถึงเพียงนี้
“คนที่มีเส้นผมสีฟ้าและรูปร่างกำยำคือเหร่ยเชียนซัง ส่วนชายหนุ่มที่สวมผ้าพันคอสีเขียวกับอาภรณ์เรียบร้อยจนดูเหมือนหนอนหนังสือก็คือชีซิ่ง” กัวเหรินกระซิบต่อหลงเฉินด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
หลงเฉินมองไปยังเหร่ยเชียนซัง ชายผู้นี้มีร่างกายกำยำยิ่งนัก อาภรณ์ที่สวมใส่เผยให้เห็นกล้ามแขนที่มีขนาดเท่ากับขาของผู้ฝึกยุทธ์สองคนรวมกัน ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ประดุจสัตว์มายาตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้
เส้นผมสีฟ้าแปลกตาทอประกายสว่างไสวเมื่อต้องกับแสงแดด อีกทั้งยังพลิ้วไหวไปตามคมหมัดที่กำลังร่ายรำผ่าสายลมกรรโชกจนเกิดเสียงดังคล้ายอัสนีบาต
ผู้ที่เผชิญหน้ากับเหร่ยเชียนซังอยู่นั้นเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวและหมวกทรงสูง ดูไปแล้วช่างคล้ายกับนักวิชาการในหอหนังสือผู้หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าของชีซิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ใดแสดงออกมา เพียงแค่ฟาดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปทางด้านหน้าเท่านั้น แม้ว่าเหร่ยเชียนซังจะโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็วประดุจลมพายุกระหน่ำ ทว่ากลับไม่ส่งผลกระทบต่อชีซิ่งเลยแม้แต่น้อย
หลงเฉินสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวประหลาดบนฝ่ามือของชีซิ่ง ทุกการโจมตีจากเหร่ยเชียนซังได้สร้างช่องว่างที่มีคลื่นลมระลอกหนึ่งบังเกิดขึ้นมาคล้ายกับกำลังสลายพลังอันมหาศาลของเหร่ยเชียนซังลงไป
การต่อสู้ของทั้งสองคน มีพลังทำลายอันมหาศาล แผ่นดินสั่นสะเทือน สายลมกรรโชกหมุนวนเข้ามา จนขูดไปโดนยังคนที่อยู่ในบริเวณที่ห่างไกล จนใบหน้าแสดงความเจ็บปวดขึ้นมา
“ดูเร็ว ตรงนั้น สาวงามแห่งน้ำแข็งเยี่ยจื่อชิว” จู่จู่กัวเหรินก็กระชากมาที่แขนเสื้อของหลงเฉิน แล้วชี้นิ้วไปยังอีกด้านหนึ่งของกลุ่มคน
หลงเฉินมองผ่านเงาร่างของผู้คนจำนวนมาก แล้วหยุดอยู่ที่สตรีผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงเพรียว อาภรณ์ทั่วทั้งร่างเป็นสีขาวโพลนประดุจเกล็ดหิมะ ให้ความรู้สึกสูงส่งราวกับเป็นนางฟ้านางสวรรค์หลุดออกมาจากเทพนิยายโบราณจนแทบไม่อาจจ้องมองได้นาน
ข้างกายของสาวงามแห่งน้ำแข็งมีเด็กสาวอยู่อีกสี่คนที่มีท่าทางคล้ายกับผู้คุ้มกัน แน่นอนว่าพวกนางได้ถูกเลือกให้เป็นกองกำลังของเยี่ยจื่อชิวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ถัดออกไปก็มีกลุ่มบุรุษและสตรีอีกไม่น้อยที่ยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ ทว่าพวกเขากลับรักษาระยะห่างกับสาวงามแห่งน้ำแข็งเอาไว้ ชายหนุ่มบางคนจ้องมองไปยังแผ่นหลังบอบบางนั้นด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ชอบพอ
หลงเฉินเหม่อมองไปที่เยี่ยจื่อชิวราวกับต้องมนต์สะกด ไม่อาจปฏิเสธความงดงามของสาวงามแห่งน้ำแข็งผู้นั้นได้เลย โดยเฉพาะความเยือกเย็นที่สูงส่งของนางช่างให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่ควรค่าแก่การเคารพกราบไหว้
หลงเฉินเชยชมความงดงามนั้นอย่างเนิ่นนาน เยี่ยจื่อชิวที่กำลังมองดูการต่อสู้อย่างเคร่งขรึมอยู่นั้นก็ได้หันใบหน้าอันขาวผ่องมองที่หลงเฉินในทันที
สายตาของทั้งคู่ประสานกันอย่างกะทันหันจนหลงเฉินตั้งตัวไม่ทัน จึงได้แต่พยักหน้ากลับไปเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทายตามมารยาท ทว่าเยี่ยจื่อชิวกลับเอาแต่จ้องมองมาที่หลงเฉินด้วยสายตาเย็นชาแล้วก็หันหน้ากลับไปดูการต่อสู้ต่ออย่างไม่แยแสหลงเฉินเลยแม้แต่น้อย
ยัยหนูผู้นี้ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย เอาเถิด ข้าจะแสร้งทำใจกว้างสักครั้งหนึ่งก็แล้วกัน หลงเฉินหัวเราะอย่างขมขื่นขึ้นมาภายในจิตใจ การถูกหญิงสาวมองข้ามเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่แย่เสียยิ่งกว่าแย่จริงๆ
“เอ๊ะ ยวี่จื่อเฟิงก็อยู่ที่นี่ด้วย” แล้วกัวเหรินก็กล่าวน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมา
หลงเฉินละสายตาจากสาวงามแห่งน้ำแข็งแล้วมองไปตามสายตาของกัวเหริน ก็เห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์สีฟ้าคราม อีกทั้งยังมีฝักกระบี่ยาวด้ามหนึ่งสะพายคาดลำตัวเอาไว้
“มือกระบี่อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินเอ่ยขึ้นมาอย่างฉงนสงสัย
“ยวี่จื่อเฟิงเริ่มร่ำเรียนวิชากระบี่ตั้งแต่อายุครบสามขวบ เขาถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในเชิงกระบี่ชั้นสูง และชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่ชื่นชอบการแก่งแย่งชิงดี ฉะนั้นผู้ใดที่ท้าประลองกับเขามักจะถูกคมดาบแห่งแสงธรรมฟาดฟันจนตาย
เขามักจะพูดอยู่เสมอว่าการต่อสู้เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง มีเพียงแต่ต้องใช้ชีวิตเข้าแลกเท่านั้นจึงจะถือว่าการต่อสู้ที่แท้จริง” กัวเหรินทอสีหน้าสลดหดหู่แล้วกล่าวออกมา
หลงเฉินมองไปที่ใบหน้าของยวี่จื่อเฟิงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วพยักหน้าไปมาอย่างเข้าใจได้ “เป็นบุคคลที่มีความน่าหวาดกลัวจริงๆ”
หลงเฉินสามารถสัมผัสได้ทันทีว่ายวี่จื่อเฟิงจะต้องมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่อีกมาก กระบี่ที่อยู่ในฝักคล้ายกับสาดความแหลมคมออกมาอยู่ตลอด หากได้ถูกชักออกมาแล้วคงจะมีรังสีสังหารฟาดฟันอย่างลึกล้ำแน่นอน
ยวี่จื่อเฟิงนั้นยังอยู่ในวัยเยาว์ ฉะนั้นความสามารถในการควบคุมพลังสภาวะแห่งกระบี่ให้พลิ้วไหวได้ดั่งใจจึงมาจากความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง อีกทั้งชายหนุ่มผู้นี้จะต้องเคยผ่านพ้นจากความเป็นความตายมาแล้ว
“ตูม”
กลางอากาศบังเกิดประกายแสงเจิดจ้าพร้อมทั้งมีเสียงระเบิดดังขึ้น ผู้คนที่ล้อมวงอยู่นั้นต่างก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ พลันก็แยกย้ายไปยังที่ที่ห่างไกลขึ้นอย่างวุ่นวาย ขุมพลังอันมหาศาลโถมกระหน่ำเข้ามายังกลุ่มคนอย่างต่อเนื่อง หากไม่ถอยหนีล่ะก็คงจะถูกซัดไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่อาจทราบได้
ฝุ่นควันที่ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วทั้งบรรยากาศเริ่มสลายและจางหายลงไป เผยให้เห็นพื้นดินที่ถูกระเบิดจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ และเงาร่างของยอดฝีมือทั้งสองก็ได้ยืนประจันหน้ากันอยู่ที่กลางหลุม
“น่าหวาดกลัวยิ่งนัก”
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
“พวกเขาต่างก็มีพลังการต่อสู้ที่ไร้เทียมทาน แข็งแกร่งจนยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้”
“เป็นสัตว์ประหลาดที่มีพรสวรรค์ระดับสูง”
“พวกเจ้าดูสิ ผ่านการต่อสู้ไปก็เนิ่นนานแล้ว ทว่าพลังสภาวะของพวกเขากลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย”
กลุ่มคนที่มุงดูการต่อสู้ต่างก็ถกเถียงกันอย่างวุ่นวายจนบังเกิดเป็นเสียงดังเซ็งแซ่ระงมไปทั่วทั้งบริเวณ ทว่าบรรยากาศบนร่างกายของพวกเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เพราะการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดที่มีพรสวรรค์ระดับสูงเช่นนี้ยากนักที่จะพบเห็นได้
“ท่านเห็นว่าอย่างไรบ้าง?” กัวเหรินถามหลงเฉิน
“แข็งแกร่งมาก ทว่ายอดฝีมือทั้งสองคนต่างก็หยั่งเชิงกันเท่านั้นจึงไม่ได้ใช้พลังฝีมือที่แท้จริงออกมา ข้าจึงไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่า” หลงเฉินตอบกลับไป
อีกทั้งสัตว์ประหลาดที่มีพรสวรรค์เหล่านี้จะเผยพลังฝีมือของตัวเองออกมาให้ผู้อื่นเห็นไปเพื่อการอันใดกัน? มีแต่พวกตัวโง่งมเท่านั้นที่จะกระทำเช่นนั้นออกมา
“ความจริงแล้วพวกเขากำลังตามจีบถังหว่านเอ๋อ” กัวเหรินยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมาแล้วกระซิบบอกหลงเฉิน
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หลงเฉินเบิกดวงตากลมโตขึ้นมา
“หึหึ ข้าเป็นถึงหน่วยข่าวกรองแห่งสำนักพลิกสวรรค์ ถึงแม้ว่าพลังการต่อสู้ของข้าจะไม่แกร่งกล้า ทว่าอย่าได้ดูแคลนพลังความสามารถทางด้านอื่นของข้าก็แล้วกัน
ชีซิ่งนั้นได้พบเจอถังหว่านเอ๋อมาก่อนแล้ว จึงได้เอ่ยคำมั่นสัญญาออกไปว่าหากไม่ใช่ถังหว่านเอ๋อก็จะไม่ตบแต่งกับผู้ใด
และเมื่อครึ่งปีก่อนเหร่ยเชียนซังก็ได้ประกาศต่อหน้าผู้คนว่าหากผู้ใดกล้าแย่งตัวถังหว่านเอ๋อไปจากเขา คนผู้นั้นจะถูกจับมาตัดคอแล้วเสียบประจาน” กัวเหรินยังคงยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วกล่าวออกมา
“น่าสนใจ ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องให้สำนักพลิกสวรรค์คึกครื้นยกใหญ่เสียแล้ว” หลงเฉินเองก็รู้สึกขำขันไปด้วย
ทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบ กลางลานต่อสู้ก็ได้ปรากฏเงาร่างบางของหญิงสาวรูปร่างสง่างาม รอยยิ้มหวานที่อยู่บนใบหน้าอันงดงามนั้นแทบจะละลายได้ทุกสรรพสิ่งบนโลกหล้า ทำให้ผู้คนที่พบเห็นคล้ายกับอยู่ในท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิแรกแย้ม อีกทั้งตลอดทั่วทั้งเรือนร่างก็ได้ส่งกลิ่มนหอมตลบอบอวนโชยมาตามสายลม
ที่ทำให้ทั้งสองยอดฝีมือต้องมาประจันหน้ากันเช่นนี้ เห็นจะเป็นเพราะดวงตากลมโตคู่นั้นที่คล้ายกับจะดูดวิญญาณของผู้คนไปได้เลย หากผู้ใดถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนั้นคงจะต้องอ่อนระทวยลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถังหว่านเอ๋อ” กัวเหรินร้องเสียงหลงขึ้นมา
นางคือถังหว่านเอ๋อ? งดงามถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสองคนยื้อแย่งกันอย่างบ้างคลั่งเช่นนี้
ความจริงแล้วเยี่ยจื่อชิวก็มีความงดงามไม่ต่างจากถังหว่านเอ๋อเลยแม้แต่น้อย ทว่าถังหว่านเอ๋อกลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเป็นจริงมากกว่า อีกทั้งยังมองแล้วสบายใจกว่าด้วย
เมื่อเห็นใบหน้าของถังหว่านเอ๋อแล้วหลงเฉินรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง ทว่ากลับนึกไม่ออกว่าเคยพบเจอนางในสถานที่แห่งใดมาก่อน หรืออาจจะเป็นเพราะความงดงามของนางทำให้เขานึกถึงฉู่เหยาและม่งฉีก็เป็นไปได้
“เหตุใดท่านทั้งสองถึงได้ยุติการต่อสู้ได้เร็วถึงเพียงนี้กัน! คนอื่นยังไม่ทันจะได้เห็นพลังของพวกท่านเลย สู้กันอีกสักรอบหนึ่งสิ”
ถังหว่านเอ๋อส่งเสียงแผดเสียงเจื้อยแจ้วประดุจกระดิ่งเงินดังระงมจนกระทบโสตประสาทของผู้คน เมื่อกล่าวจบเหร่ยเชียนซังกับชีซิ่งที่อยู่เบื้องหน้าก็ได้แสดงท่าทีราวกับว่าไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมา
ชีซิ่งยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า “คุณหนูหว่านเอ๋อคงจะเข้าใจผิดแล้ว ข้ากับพี่เหร่ยเพิ่งจะพบหน้ากันเท่านั้น อาจจะมีรู้สึกคันไม้คันมือบ้างเป็นบางครั้งคราว ทว่าพวกเราก็ยังสมัครสามัคคีกันดีอยู่” ชีซิ่งตอบหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาที่แฝงความอบอุ่นเอาไว้
“ใช่ใช่ เป็นเช่นนั้นจริง พวกเราเพียงแค่คันไม้คันมือกันก็เท่านั้นเอง” เหร่ยเชียนซังรีบตอบกลับออกไปด้วยซุ่มเสียงทุ้มต่ำที่ดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณประดุจตีไปที่ระฆังยักษ์อย่างไรอย่างนั้น
หลงเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ช่างน่าสนใจจริงๆ ชายผู้หนึ่งสงบเสงี่ยมดั่งสตรีเพศ ทว่าอีกคนหนึ่งกลับบ้าบิ่นเฉกเช่นคนไร้สติ นิสัยของพวกเขาช่างแตกต่างกันเสมือนอยู่คนละขั้วโลก
ถังหว่านเอ๋อยิ้มเล็กน้อย พลันก็ได้เปรยแววตาสุกใสไปยังผู้คนที่ยืนดูการต่อสู่ พร้อมกับกล่าวออกมาว่า “ข้านั้นยังขาดคนอยู่ หากต้องการเข้าร่วมก็รีบกันหน่อย ทว่าขอเป็นผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น”
เมื่อสิ้นเสียงป่าวประกาศของถังหว่านเอ๋อ ผู้คนมากมายต่างก็ทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาภายในดวงตา พร้อมทั้งสาวเท้ามุ่งตรงไปยังที่ที่ถังหว่านเอ๋อยืนอยู่
“แม่นาง โปรดเลือกข้าเถิด ข้ามีพลังการต่อสู้ที่แกร่งกล้ายิ่งนัก อีกทั้งยังสามารถตายแทนท่านได้เลย”
“เลือกข้าดีกว่า ข้าสามารถเก็บที่นอนหมอนมุ้งให้ท่านได้ และถ้าหากไม่รังเกียจ ข้าก็……อา”
ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะได้กล่าวออกมาจนจบก็ได้ถูกฝ่าเท้าของกลุ่มคนเหยียบย่ำลงไปจมดิน เพราะในตอนนี้ทั่วทั้งผืนป่าเกิดความวุ่นวายจลาจลขึ้นมาแล้ว
ไม่เพียงแต่มุ่งหน้าไปหาถังหว่านเอ๋อเท่านั้น ผู้คนบางกลุ่มก็ได้แยกย้ายกันไปทางเยี่ยจื่อชิว ยวี่จื่อเฟิง เหร่ยเชียนซัง และชีซิ่งด้วยเช่นกัน
ในเมื่อยอดฝีมือทั้งห้าคนได้ปรากฏตัวขึ้นมาในสถานที่เดียวกัน ผู้คนมากมายจึงอยากจะลองทดสอบโชคของตัวเองกันเสียหน่อย เพียงได้เป็นผู้รับใช้ก็ยังดี ไม่เช่นนั้นคงยากที่จะมีชีวิตอยู่รอดด้วยตัวคนเดียวภายในหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์แห่งนี้
ตอนนี้ทุกขุมกำลังก็แทบจะเต็มพิกัดทั้งหมดแล้ว ทว่าแต่ละขุมกำลังก็มีทั้งผู้ที่โดดเด่นและไม่โดดเด่น หากว่ามีคนมากเกินไปก็ย่อมมีแต่สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์จนส่งผลกระทบต่อส่วนรวมได้
ทว่าพวกเขาต่างก็เฉลียวฉลาดอยู่ไม่น้อยเลย หากยังไม่ถึงช่วงเวลาตัดสินก็ควรจะมีจำนวนเอาไว้ข่มก่อนส่วนหนึ่ง หากเมื่อใดมีศิษย์ที่มีพลังการต่อสู้สูงส่งปรากฏตัวขึ้นมา เมื่อนั้นค่อยรับเข้าสู่ขุมกำลังของตัวเองอย่างถาวร
ตามกฎเกณฑ์ของหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ต่างกำหนดให้หนึ่งขุมกำลังมีผู้เข้าร่วมได้เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้น ฉะนั้นเหล่ายอดฝีมือทั้งห้าคนจึงต้องคัดเลือกอย่างระมัดระวังที่สุด
ยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ย่อมไม่ใช่คำเรียกขานโดยไร้ที่มาอย่างแน่นอน พวกเขาย่อมต้องมีสายตาที่แหลมคมกว่าผู้ใด อองออกถึงพลังการต่อสู้ของผู้ที่จะเข้าร่วมขุมกำลังของตนเพื่อให้คุ้มค่าที่จะรับเอาไว้
“แล้วเจ้าไม่ไปเข้าร่วมขุมกำลังหรือ?” เมื่อเห็นว่ากัวเหรินยังยืนอยู่ข้างกาย หลงเฉินจึงถามไถ่ออกไปด้วยความแปลกใจ
“พี่หลง ท่านว่าข้าสมควรเป็นผู้ติดตามของท่านได้หรือไม่?” จู่จู่กัวเหรินก็ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“หมายความว่าอย่างไร?” หลงเฉินทอสีหน้างุนงง
“ความหมายก็คือนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นลูกน้องของท่าน ท่านไปที่ใดข้าก็จะตามท่านไปด้วย” กัวเหรินอธิบายด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
“อย่าเลย ข้าเองก็ยังไม่รู้ว่าจะติดตามผู้ใดดี หากเจ้าตามข้ามาก็ไม่ต่างอันใดไปจากการเฝ้ารอความตายหรอก” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับไป
“พี่หลง โปรดฟังที่ข้าจะพูดก่อน หากว่าข้าเข้าไปตอนนี้ก็ย่อมไม่มีโอกาสได้รับเลือกอยู่ดี ทว่าด้วยพลังการต่อสู้ของท่านแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ปฏิเสธท่านแน่ เมื่อถึงเวลานั้นท่านก็พาข้าเข้าไปด้วย” กัวเหรินปั้นสีหน้าอ้อนวอนอย่างถึงที่สุด
“ได้ด้วยหรือ?” หลงเฉินมองไปที่กัวเหรินอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่ไม่ใช่การซื้อของที่เรียกว่าหนึ่งแถมอีกหนึ่งหรอกหรือ?
“พี่หลงโปรดเชื่อข้า ไม่ว่าท่านจะเข้าร่วมกับขุมกำลังใดย่อมต้องกลายเป็นระดับแนวหน้าอย่างแน่นอน หรือถ้าหากท่านไม่ปรารถนาจะติดตามสัตว์ประหลาดเหล่านั้น ท่านก็สามารถเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้อยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นท่านก็แค่พาข้าติดตามไปด้วย” กัวเหรินกล่าว
หลงเฉินส่ายหน้าไปมา เขาไม่เคยคิดที่จะเข้าร่วมกับขุมกำลังใด อยู่เพียงลำพังยังจะดีเสียกว่า ในขณะที่กำลังบอกปัดกัวเหรินอยู่นั้น จู่จู่บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง
“เจ้าสนใจจะเข้าร่วมกับขุมกำลังของข้าหรือไม่?”….