“ขุมกำลัง? หลบภัย? หมายความว่าอย่างไร?” หลงเฉินงุนงงขึ้นมายกใหญ่
กัวเหรินมองไปที่หลงเฉินประดุจตัวประหลาดผู้หนึ่งแล้วกล่าวออกมาว่า “ก่อนที่ท่านจะมายังที่แห่งนี้ ทางตระกูลไม่ได้บอกกล่าวเกี่ยวกับสิ่งต้องห้ามภายหลังจากเข้าร่วมกับสำนักพลิกสวรรค์หรอกหรือ?”
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างโง่งม เมื่อได้ยินกัวเหรินเอ่ยคำว่าตระกูลออกมา ภายในจิตใจก็เกิดอาการเศร้าสลดขึ้นมาเป็นสาย อยากจะทราบว่าทางมารดาเป็นอย่างไรบ้าง เพราะการจากมาในครั้งนี้ถือเป็นการทำร้ายจิตใจของมารดาอย่างแสนสาหัสยิ่งนัก
“เช่นนั้นพวกเราไปหาที่นั่งคุยกันก่อนเถิด” กัวเหรินโบกมือครั้งหนึ่ง พลันที่เบื้องหน้าของพวกเขาก็ได้มีสิ่งของที่คล้ายกับโต๊ะกลมตัวหนึ่งกลิ้งออกมา ทันใดนั้นก็ได้ทะยานขึ้นสู่กลางอากาศ
หลงเฉินดึงสติกลับคืนมาในทันทีเมื่อเห็นหนูขนาดใหญ่ที่มีลำตัวยาวเกือบสองจั่ง ทั่วทั้งร่างกายปกคลุมด้วยเส้นขนสีดำทมิฬ
“พาหนะของเจ้าช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อยไปที่เจ้าหนูสีดำ
กัวเหรินตอบกลับอย่างไม่ถือสาว่า “นี่เป็นสหายของข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ฉะนั้นท่านอย่าได้ดูแคลนมันเชียวนะ หากมันได้ออกวิ่งแล้วก็ไม่อาจมีสิ่งใดเปรียบได้”
ชายหนุ่มทั้งสองคนเสาะหาสถานที่ลับตาคนจนเจอบริเวณกว้างแห่งหนึ่ง หลังจากที่หย่อนก้นลงนั่งแล้ว กัวเหรินก็นำของว่างออกมาอย่างระมัดระวัง
“ท่านคงพอจะทราบเรื่องราวเกี่ยวกับสามวีรชนกับสองโฉมงามอยู่บ้างแล้วกระมัง” กัวเหรินถามออกมา
“ไม่ทราบเลย” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาอย่างโง่งมอีกครั้ง
“ฉับ”
กัวเหรินทำการตัดแบ่งของว่างอย่างบรรจงออกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็หย่อนมันเข้าปากแล้วกลืนลงคอไป
“เป็นไปไม่ได้ แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ทราบอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นบัตรเทียบเชิญของท่านก็ถือว่าได้มาอย่างลี้ลับเกินไปแล้ว” เมื่อกัวเหรินกล่าวจบก็ได้ล้วงเอาแผ่นหนังสัตว์ออกมาจากแหวนมิติ ด้านบนของแผ่นเหล่านั้นถูกขีดเขียนด้วยรายชื่อเอาไว้อย่างมากมาย เป็นไปได้ว่าอาจจะถึงหนึ่งหมื่นรายชื่อ
กัวเหรินไล่ไปตามรายชื่อบนแผ่นหนังสัตว์ พลันก็ได้ขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วกวาดนิ้วไปตามรายชื่ออีกรอบหนึ่ง ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง “เหตุใดจึงไม่มีนามของท่านในรายชื่อของผู้เข้ารายงานตัว?”
“ไม่ทราบ” หลงเฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อาจทราบได้
กัวเหรินถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยออกไปด้วยความสงสัยที่เต็มเปี่ยม “ไม่ใช่ว่าท่านไม่มีบัตรเทียบเชิญหรอกนะ”
“มีสิ”
หลงเฉินล้วงบัตรเทียบเชิญออกมาแล้วยื่นให้กัวเหริน ถึงแม้ว่าจะรู้จักกันได้ไม่นานนัก ทว่าหลงเฉินกลับรู้สึกว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่ได้เลวร้ายเลย
เมื่อยื่นมือไปรับบัตรเทียบเชิญมาแล้ว กัวเหรินก็ได้เปิดอ่านดูข้อความที่อยู่ด้านใน จากนั้นดวงตาสุกใสก็เบิกกว้างขึ้นมาอย่างถึงที่สุด “นี่เป็นบัตรเทียบเชิญเฉพาะจากผู้อาวุโสฝ่ายพฤติกรรม!”
“ท่านรู้จักมักคุ้นกับผู้อาวุโสฝ่ายพฤติกรรมด้วยอย่างนั้นหรือ ช่างน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง” กัวเหรินทอสีหน้าแตกตื่นมาที่หลงเฉิน
“เจ้าหมายถึงผู้อาวุโสถู่ฟางหรือ?” หลงเฉินถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ
“อือ ผู้อาวุโสถู่ฟางเป็นผู้ดูแลหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ อีกทั้งยังคงอยู่ในตำแหน่งสูงส่งและเปี่ยมไปด้วยความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด” กัวเหรินเปรยหางตาไปที่หลงเฉินครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกำลังคิดไปเองว่าหลงเฉินจะต้องเป็นญาติของถู่ฟางเป็นแน่
เมื่อล่วงรู้ได้ถึงความคิดของกัวเหริน หลงเฉินจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “ข้ากับผู้อาวุโสถู่ฟางมีวาสนาได้พบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากที่เขามอบบัตรเทียบเชิญและแผนที่ใบหนึ่งให้กับข้าแล้วก็ไม่มีอันใดต่อกันอีก”
“ดูเหมือนว่าท่านจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แสนประหลาดเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสฝ่ายพฤติกรรมคงจะไม่มอบบัตรเทียบเชิญให้แก่ท่านด้วยตัวเอง ท่านควรทราบว่าที่สำนักพลิกสวรรค์แห่งนี้มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดอย่างยิ่ง ยอดฝีมือที่อยู่ในระดับผู้อาวุโสต่างก็มีบัตรเทียบเชิญเพียงใบเดียวเท่านั้น
และในหลายปีมานี้ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยว่าผู้อาวุโสถู่ฟางได้ส่งบัตรเทียบเชิญให้กับผู้ใดมาก่อน ในเมื่อท่านได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสฝ่ายพฤติกรรมได้ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าท่านเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด” กัวเหรินกล่าวชื่นชมออกมาจากใจจริง
“ได้โปรดพูดถึงเรื่องราของสามวีรชนกับสองโฉมงามกันต่อเถิด ตอนนี้หัวข้อสนทนาเริ่มจะห่างไกลจากหัวข้อหลักไปเสียแล้ว” หลงเฉินกล่าวตัดบทขึ้นมาเพราะคร้านที่จะฟังคำเยินยอของกัวเหรินแล้ว
กัวเหรินจึงเริ่มบรรยายว่าตามปกติแล้วที่หมู่ตึกของสำนักพลิกสวรรค์นั้นจะมีการรับศิษย์ใหม่ทุกสามปี และรายชื่อของผู้เข้ารายงานตัวก็จะถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าเป็นปี หากคนผู้ใดไม่มีบัตรเทียบเชิญก็จะไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบได้ อีกทั้งยังอาจจะถูกไล่ออกมาในทันที
หลังจากที่รายชื่อถูกแจกจ่ายออกไปแล้ว กัวเหรินก็ได้เริ่มเก็บข้อมูลของผู้ที่จะเข้ารายงานตัวเท่าที่จะสามารถรวบรวมมาได้
กัวเหรินมุมานะในการเก็บข้อมูลเป็นอย่างยิ่ง จนในที่สุดเขาก็ได้ทั้งชื่อแซ่ ชาติกำเนิด นิสัยใจคอ และความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของยอดฝีมือที่จะมารายงานตัวลงในสมุดบันทึกได้ทั้งหมด
และแม้แต่บุคคลที่ไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงเรียงนามมากนักก็ไม่มีคลาดสายตาไปจากชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย สามวีรชนกับสองโฉมงามนั้นไม่ได้เป็นนามที่เขาตั้งขึ้นเอง ทว่าเป็นนามที่เป็นที่รู้จักกันจนทั่วทั้งโลกหล้าแล้ว
สามวีรชนคือชายหนุ่มเยาว์วัยจำนวนสามคน อันมีนามว่าเหร่ยเชียนซัง ชีซิ่ง และยวี่จื่อเฟิง ซึ่งทั้งสามชายหนุ่มถูกยกย่องให้เป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งยุคเลยก็ว่าได้
ส่วนสองโฉมงามนั้นเป็นสตรีสองนาง นางหนึ่งถูกเรียกขานว่าสาวงามแห่งน้ำแข็งเยี่ยจื่อชิว และอีกนางหนึ่งนั้นคล้ายกับสายลมหวนแห่งยุคถังหว่านเอ๋อ
เมื่อได้ยินนามเยี่ยจื่อชิว ภายในสมองของหลงเฉินก็ได้ปรากฏภาพของเงาร่างที่อยู่บนหลังของนกกระยางสีรุ้ง ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงเกรงว่าหญิงสาวนางนั้นคงจะอยู่ในอีกระดับหนึ่งเป็นแน่แท้ อีกทั้งคงจะน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าจะไม่เคยประมือกันมาก่อน ทว่าจากประสบการณ์ที่ได้ผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้งก็ทราบได้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่านั้นเป็นเช่นไร ด้วยประสาทการรับรู้อันเฉียบคมของหลงเฉินแล้วนั้น สตรีผู้เย็นชาที่พบเจอระหว่างทางย่อมต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวผู้หนึ่งเลยทีเดียว
กัวเหรินบอกเล่าต่ออีกว่าต่อจากนี้ทั่วทุกหนแห่งในสำนักพลิกสวรรค์จะต้องอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขาทั้งห้าคน ฉะนั้นกัวเหรินจึงต้องเลือกหลบภัยกับขุมกำลังสักกลุ่มหนึ่ง
เพราะภายในหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ต่างจากสำนักอื่นๆ ก็ตรงที่มีการแข่งขันกันเองอย่างรุนแรง นอกจากศิษย์รักแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถรอดพ้นจากการทำภารกิจของทางสำนักได้
ทว่าที่ยากลำบากนั้นก็คือภารกิจช่างมีอยู่เพียงหยิบมือคล้ายกับหมาป่าแย่งชิงชิ้นเนื้อกันเอง จึงไม่เพียงพอต่อจำนวนศิษย์ที่มีอยู่จนต้องเกิดการแก่งแย่งชิงดีกันขึ้นนั่นเอง
และที่แล้วมานั้นทางสำนักพลิกสวรรค์ก็ไม่อาจจัดการการก่อตั้งขุมกำลังเช่นนี้ได้ จึงกระทำเพียงเสริมสร้างประสบการณ์และบ่มเพาะความแกร่งกล้าให้แก่ศิษย์
เพราะมีเพียงขุมกำลังที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะสามารถคว้าโอกาสอันน้อยนิดได้มากกว่า กล่าวอย่างง่ายๆ นั่นก็คือยิ่งมีคุณสมบัติการฝึกยุทธ์ที่เพียบพร้อมมากเท่าใดก็ยิ่งสร้างโอกาสให้กับขุมกำลัง
และที่สำคัญผู้เข้าร่วมจะต้องมีวิสัยทัศน์ต้องกัน เพราะหากเข้าร่วมกันขุมกำลังแล้วย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือถอนตัวได้ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ว่ากลุ่มใดเหมาะสมกับตนมากที่สุด
เหล่าศิษย์รักจะมียอดเขาเป็นของตัวเอง และในที่แห่งนั้นยังมีค่ายกลต่างๆ เพื่อใช้เป็นแหล่งกักเก็บพลังลมปราณอันเข้มข้น หากได้ฝึกยุทธ์ด้วยสถานที่ที่เอื้ออำนวยเช่นนั้นย่อมต้องมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
และเหล่าศิษย์รักมักจะเลือกเอาวิชาที่ตัวเองมั่นใจที่สุดออกมาฝึกฝนร่วมกับผู้เข้าร่วม เสมือนเป็นรางวัลในการเข้าร่วมขุมกำลัง อีกทั้งภายในขุมกำลังด้วยกันเองย่อมไม่มีการครอบครองวิชาเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่มีนามอยู่ในใบรายชื่อจึงเริ่มเคลื่อนไหวเป็นการลับแล้ว บ้างก็แอบส่งของบรรณาการและกระทำเรื่องจำพวกสานความสัมพันธ์อันดี เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้ หลงเฉินก็เอาแต่ปากอ้าตาค้าง เหตุใดจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ยุ่งยากเช่นนี้ด้วย
“กัวเหริน ในความรู้สึกของเจ้า ในห้าคนนี้ ผู้ใดแข็งแกร่งที่สุด” หลงเฉินอยากจะฟังความคิดเห็นของกัวเหริน เพราะอย่างน้อยชายหนุ่มผู้นี้ก็มีข้อมูลอยู่มากมายเลยทีเดียว
กัวเหรินส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “ผู้คนทั้งห้าต่างก็เป็นเหมือนกับตัวประหลาดผู้หนึ่ง มีพลังการต่อสู้อย่างไร้เทียมทาน ฉะนั้นพวกเขาจึงสามารถต่อสู้กับระดับที่สูงกว่าได้อย่างง่ายดาย”
“ทั้งหมดต่างก็สามารถต่อสู้กับระดับที่สูงกว่าได้อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
กัวเหรินพยักหน้าไปมาแล้วกล่าวอีกว่า “อือ ที่วิปริตที่สุดเห็นจะเป็นเหร่ยเชียนซัง ว่ากันว่าเมื่อปีก่อนเขาได้ลงมือสังหารศิษย์สำนักอื่นที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปถึงสามคน จึงสร้างความโกลาหลขึ้นมาพักใหญ่เลยทีเดียว ”
“ศิษย์ในสำนักสามคน?” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด
“อือ สำนักอื่นโกรธแค้นเป็นอย่างมาก ทว่าตระกูลเหร่ยนั้นมีเส้นสนกลในจึงไม่ได้หวาดกลัวต่อผลกระทบแต่อย่างใด ในภายหลังทั้งสองฝ่ายก็เกือบจะแลกเลือดเนื้อต่อกันอยู่หลายครั้ง
ทว่าต่อมาความบาดหมางก็เริ่มเจือจางลงไป และนับจากวันนั้นเป็นต้นมาเหร่ยเชียนซังก็มีชื่อเสียงโด่งดังจนผู้คนที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่อาจหาญกล้าพอที่จะต่อกรด้วย” กัวเหรินหายใจยาว
หลงเฉินตกใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับสามารถเป็นหนึ่งสู้สามได้ อีกทั้งยังต่อสู้กับศิษย์ในสำนักถึงสามคน ด้วยพลังการต่อสู้เช่นนี้ย่อมต้องน่ากลัวจนไม่อยากจะคิดเลย
“เหร่ยเชียนซังนั้นสืบทอดพลังอัสนีจากตระกูลของตน ไม่เพียงแต่มีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัวเท่านั้น แม้แต่ความแข็งแกร่งของกายเนื้อยังยากที่จะต้านทานได้ นับตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดทำให้เขาลิ้มรสของความพ่ายแพ้ได้เลย
เหร่ยเชียนซังนั้นมีพลังไม่แตกต่างไปจากชีซิ่งและยวี่จื่อเฟิงมากนัก เพราะทั้งสองชายหนุ่มต่างก็เคยสังหารยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นมาก่อนด้วยเช่นกัน
ทว่าเรื่องราวอื่นของพวกเขากลับเป็นไปอย่างลับๆ ไม่มีการเผยแพร่ออกมาสู่ภายนอกมากนัก จึงไม่มีผู้ใดทราบถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของพวกเขา
ส่วนหญิงงามแห่งน้ำแข็งนั้นก็ได้มาจากยอดเขาน้ำแข็งเลื่อนลอย นางกำเนิดมาพร้อมกับพลังลมปราณเยือกแข็ง หากได้ไหลเวียนพลังลมปราณขึ้นมาแล้ว ต่อให้เป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกันก็ยังไม่อาจเข้าใกล้ได้เพราะคงจะถูกแช่แข็งไปเสียก่อน
ทว่าที่ลี้ลับที่สุดก็คงจะเป็นถังหว่านเอ๋อ เพราะข้อมูลที่ได้มามีเพียงอย่างเดียวก็คือนางเป็นร่างสถิตปราณวายุที่ยากจะพบเจออย่างถึงที่สุด
ร่างสถิตปราณวายุนั้นเป็นดั่งสมบัติแห่งฟ้าดินที่สามารถใช้ควบคุมสายลมได้ทั้งหมด จึงสามารถสังหารคนผู้หนึ่งลงได้โดยไม่ทันได้รู้ตัวเลย
ด้วยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็เป็นที่แน่ชักแล้วว่าบุคคลทั้งห้านี้มีพลังที่วิปริตเกินระดับมนุษย์ไปแล้ว พวกเขาต่างก็เป็นการคงอยู่ของผู้ที่ไร้ผู้ต้านไปแล้ว ฉะนั้นหากพวกเขาไม่ปะทะกันก็ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ใดอ่อนแอและผู้ใดแข็งแกร่งที่สุด” กัวเหรินกล่าวไปถอนหายไป
“แล้วเจ้าคิดจะไปหลบภัยกับขุมกำลังใดกัน?” หลงเฉินถามออกกัวเหริน
“ขุมกำลังทั้งห้านี้ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมจนแทบจะเต็มพิกัดทั้งสิ้น เพราะผู้คนอื่นต่างก็เคลื่อนไหวกันไปตั้งแต่ต้นแล้ว มีเพียงแต่ข้าที่ลงมือช้าไป
เหร่ยเชียนซังนั้นมีชื่อเสียงมากที่สุด ส่วนเยี่ยจื่อชิวนั้นขึ้นชื่อว่าเย็นชาเป็นที่สุด ทั้งสองคนนี้จึงเป็นบุคคลที่ไม่น่าไปมาหาสู่ด้วยที่สุดแล้ว
ข้าได้ยินมาว่าผู้ที่น่าคบหาด้วยที่สุดเห็นจะเป็นถังหว่านเอ๋อ ทว่าด้วยเหตุที่นางไปมาหาสู่ได้ง่ายที่สุดจึงถูกผู้คนจำนวนมหาศาลเพ่งเล็งเอาไว้อยู่มากแล้ว ฉะนั้นข้าจึงไม่หวังที่จะได้เข้าร่วม
จึงเหลือแค่เพียงชีซิ่งและยวี่จื่อเฟิง ที่จำเป็นจะต้องเสาะหาโอสถมากสักหน่อย เพื่อให้เพียงพอสำหรับการเข้าร่วมกับฝ่ายที่เหลือ” กัวเหรินกล่าว
“แล้วท่านตัดสินใจหรือยัง?” กัวเหรินถามออกมาเมื่อเห็นว่าหลงเฉินเงียบไป
“ข้าหรือ? ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ ไว้ค่อยเดินไปทีละก้าวคิดไปทีละหน่อยก็แล้วกัน” หลงเฉินยิ้มอย่างขมขื่นออกมา “ท่านไม่คิดจะเข้าร่วมกับขุมกำลังใดหรือ?” กัวเหรินทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา
“อือ ข้าชอบความเป็นอิสระมากกว่า” หลงเฉินพยักหน้าไปมา เขาจากบ้านมาก็เพื่อหลุดพ้นจากการอยู่ภายใต้ข้อบังคับต่างๆ
กัวเหรินส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างถึงที่สุดผู้หนึ่ง ทว่าข้าก็อยากจะเตือนท่านไว้อย่างหนึ่ง บุคคลเหล่านั้นต่างก็เป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว หากท่านไม่เลือกก็จะถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการฝึกยุทธ์ของท่านในภายภาคหน้าก็เป็นได้”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะกล่าววาจาตอบกลับไป ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากเบื้องหลังจนสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ
“เจ้าหนู ข้าตามหาเจ้ามานานแล้ว ในที่สุดก็หาเจอเสียที”….