ไข่ใบใหญ่ทั้งหมดสี่ใบตั้งตระหง่านรวมกันอยู่ที่เบื้องหน้า ความสูงของไข่เท่ากับระดับหัวไหล่ของหลงเฉิน เปลือกด้านบนมีคราบโลหิตที่สดใหม่ติดอยู่ นี่ถือเป็นไข่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเจอมาเลยก็ว่าได้
หลงเฉินเกิดอาการลิงโลดขึ้นมาในทันที ไข่เหล่านี้จะต้องเป็นของกิ้งก่าเพลิงตัวเมื่อครู่นี้อย่างแน่นอน ทว่าหลังจากออกไข่แล้วมักจะตกอยู่ในสภาวะที่ร่างกายอ่อนแอที่สุด อีกทั้งพลังการต่อสู้มักจะถูกลดทอนไปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อนึกขึ้นมาถึงตรงนี้หลงเฉินก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาเป็นจำนวนมาก.
เขาดูแคลนความน่าหวาดกลัวของสัตว์มายาระดับสามมากเกินไปแล้ว การที่สัตว์มายาตัวหนึ่งจะทะลวงขึ้นไปสู่ระดับสามได้นั้นย่อมไม่ต่างไปจากการพลิกผืนธรณีขึ้นมา เช่นนั้นพลังการต่อสู้และทักษะการต่อสู้ของพวกมันย่อมต้องแกร่งกล้ากว่าที่คาดเดาเอาไว้อย่างมหาศาลแน่นอน
ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะกิ้งก่าเพลิงตัวเมื่อครู่กำลังอยู่ในสภาวะที่อ่อนแออยู่ เกรงว่าวันนี้เขาคงจะหลบหนีจากเงื้อมมือของสัตว์ร้ายไปไม่ได้เสียแล้ว
“โบร๋วโบร๋ว……”
เสี่ยวเสว่ยส่งเสียงขึ้นมาเบาๆ ราวกับล่วงรู้ความคิดของหลงเฉินอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นเจ้าหนูน้อยก็ได้ใช้ฟันอันแหลมคมของมันเริ่มกัดไปที่ไข่ใบใหญ่อย่างไม่คิดชีวิต ทว่าไม่ว่าจะอ้าปากเช่นไร ก็ยังไม่อาจเจาะเปลือกไข่ลงไปได้จึงเกิดอาการร้อนรนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“หึหึ เมื่อไม่ได้กินเนื้อก็กินไข่ชดเชยก็แล้วกัน”
หลงเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งหมัดกระแทกเข้าไปที่เปลือกไข่อย่างรุนแรง ไข่ใบใหญ่สั่นไหวไปมาครู่หนึ่งแล้วก็ค่อยๆ ปรากฏรอยร้าวขึ้นมาทีละน้อยจนมีของเหลวไหลที่อยู่ภายในไหลออกมา
เสี่ยวเสว่ยรีบเลียไปที่ของเหลวที่ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็ได้ชำระล้างของเหลวที่อยู่ภายในนั้นจนสะอาดหมดจด
หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่เมื่อเห็นว่าระหว่างที่เสี่ยวเสว่ยกำลังกินของเหลวอยู่นั้น ร่างกายของเจ้าหนูน้อยก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีพลังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน
จากนั้นหลงเฉินเองก็เคาะไปที่เปลือกไข่ใบที่สองให้แก่เสี่ยวเสว่ยที่ยังคงไม่อิ่มหนำสำราญเท่าที่ควร ไข่ทั้งสี่ใบนี้เป็นไข่ของสัตว์มายาระดับสามนั่นก็คือเป็นตัวอ่อนของกิ้งก่าเพลิง เช่นนั้นหากพวกมันได้เจริญเติบโตขึ้นมาก็จะกลายเป็นกิ้งก่าเพลิงที่ทรงพลังเฉกเช่นเดียวกับผู้ให้กำเนิดของมันเลยก็ว่าได้
และภายในตัวของพวกมันก็ยังสามารถบังเกิดสัตว์เพลิงขึ้นมาได้ สิ่งของอันล้ำค่าเช่นนี้ถือว่าเป็นสมบัติที่ผู้หลอมโอสถมากมายต่างก็ปรารถนาเป็นอย่างมาก
ทว่าตอนนี้หลงเฉินได้ครอบครองโอสถภายในมาแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจถึงความข้อนี้อีกต่อไป เขาเพียงอยากให้เสี่ยวเสว่ยพัฒนาขึ้นไปให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อเสี่ยวเสว่ยแล้วเขาย่อมไม่เกิดความรู้สึกเสียดายสัตว์เพลิงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเสี่ยวเสว่ยกำลังดื่มด่ำกับของเหลวเหล่านั้นอย่างออกรสออกชาติ หลงเฉินก็ได้เคาะไข่ใบที่เหลือจนแตกออกทั้งหมด ผลลัพธ์ก็คือเสี่ยวเสว่ยได้ชำระล้างไข่ทั้งสี่ใบจนหมดเกลี้ยง
หลังจากหนังท้องเต่งตึงจนแทบจะปริแตกแล้ว เสี่ยวเสว่ยก็ได้หมอบลงกับพื้นไปในทันที พลันดวงตาอันสุกใสก็ปิดลงอย่างช้าๆ แล้วพลังสภาวะรอบกายก็ได้เคลื่อนไหวไปมาอย่างบ้าคลั่งและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย
“นี่คือการเลื่อนขั้นอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินตื่นตาตื่นใจกับสภาวะที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ เสี่ยวเสว่ยนั้นเป็นสัตว์มายาระดับสามที่มีโลหิตบริสุทธิ์อยู่ในร่างกายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และหลังจากที่ได้รับพรแห่งปราณอันลี้ลับจากยอดฝีมือแห่งดินแดนหลิงเจี่ยแล้วก็ทำให้เจ้าหนูน้อยยิ่งมีพลังเพื่อฝึกยุทธ์เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
จวบจนมาถึงตอนนี้ที่ได้ดูดซับพลังอันมหาศาลจากไข่ของกิ้งก่าเพลิงไปอย่างเต็มที่ ภายในร่างกายของเสี่ยวเสว่ยจึงเริ่มไหลเวียนพลังที่ได้รับเข้ามาเมื่อครู่ขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง สภาวะรอบกายแปรเปลี่ยนเป็นบรรยากาศแห่งความแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัว ขุมอากาศโดยรอบเริ่มสั่นไหวไปมาเล็กน้อย
หลงเฉินพยักหน้าไปมาอย่างพึงพอใจ ถ้าหากเสี่ยวเสว่ยได้เลื่อนขั้นเป็นระดับสามตอนกลางแล้วย่อมบังเกิดพลังการต่อสู้ที่เกินกว่าขอบเขตของพลังที่กิ้งก่าเพลิงแสดงออกมาเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังกลายเป็นสุดยอดของหมาป่าหิมะแดงเพลิงทั้งปวงอย่างแน่นอน หึหึ เพียงแค่นึกคิดมาถึงตรงนี้ก็ทำให้จิตใจของเขาเต้นระรัวจนแทบจะเอาใจไม่ไหวแล้ว
หลงเฉินทราบดีว่าในขณะที่สัตว์มายากำลังเลื่อนขั้นอยู่นั้นจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอย่างมาก เขาจึงทำการคุ้มกันให้เสี่ยวเสว่ยไปด้วย ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นอาณาเขตของกิ้งก่าเพลิงที่ไม่อาจมีสัตว์มายาตัวอื่นมายุ่งวุ่นวายก็ตามที
หลงเฉินถือโอกาสนี้เดินสำรวจภายในถ้ำอย่างละเอียดก็พบว่าในที่แห่งนี้มีหลุมขนาดใหญ่อยู่หลุมหนึ่ง เมื่อมองลึกขึ้นไปแล้วก็พบว่ายังมีอีกชั้นหนึ่งของถ้ำที่สามารถมองเห็นส่วนยอดด้านบนได้เลย คล้ายกับถ้ำเป็นนี้เป็นเตาเผาอันหนึ่ง
หลงเฉินเดินไปตามเส้นทางภายในถ้ำก็พบว่าด้านหน้ามีแอ่งศิลาลาวาขนาดใหญ่ที่กำลังเดือดพล่านอยู่ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยไอร้อนที่ระอุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“ท่ามกลางทะเลทรายมีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วยหรือ”
อาจจะเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้มีกิ้งก่าเพลิงคอยคุ้มกันอยู่ สัตว์มายาตัวอื่นจึงไม่อาจย่ำกรายเข้ามาหาที่ตายอย่างแน่นอน อีกทั้งคือแอ่งศิลาลาวานี่ไม่ได้มีประโยชน์อันใดต่อการฝึกยุทธ์เลยแม้แต่น้อยจึงไม่มีผู้ใดเข้ามายังสถานที่แห่งนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นของสิ่งนี้จึงถูกเก็บรักษาเอาไว้มาจนถึงทุกวันนี้
ทว่าหากป่าวประกาศออกไปว่าสถานที่แห่งนี้ยังมีการคงอยู่ของกิ้งก่าเพลิง เชื่อว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธ์จะต้องพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินตามหามันไปตั้งแต่แรกแล้วอย่างแน่นอน ในวันนี้หลงเฉินอาจจะไม่ได้พบเจอกับกิ้งก่าเพลิงแล้วก็เป็นได้
แอ่งศิลาลาวาที่ว่านี้มีรัศมีสิบกว่าจั่ง ใจกลางบ่อคล้ายกับน้ำที่กำลังเดือดพล่านอยู่ อีกทั้งยังมีไอร้อนโบกพัดเข้ามาอย่างต่อเนื่องให้ความรู้สึกราวกับถูกต้มอยู่อย่างไรอย่างนั้น
แม้หลงเฉินจะเบิกเกราะกายาเพลิงโอสถขึ้นมาทำการป้องกันเอาไว้แล้วก็ยังรู้สึกหายใจได้ลำบากอยู่ดี พลันก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่ากิ้งก่าเพลิงจะต้องดูดซับเพลิงกาฬจากแอ่งศิลาลาวาแห่งนี้เพื่อการฝึกยุทธ์อย่างแน่นอน
กิ้งก่าเพลิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และกิ้งก่าตัวหนึ่งก็มีทั้งสองเพศในร่างเดียวจึงไม่จำเป็นจะต้องพะวงว่าจะมีกิ้งก่าเพลิงตัวอื่นจู่โจมมาถึงรังของตัวเอง
“กึง”
จู่จู่บรรยากาศโดยรอบก็ได้สั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง หินหนืดที่อยู่ภายในแอ่งศิลาลาวาเริ่มซัดทอดไปมาและปะทุสูงขึ้นเรื่อยๆ จนหลงเฉินต้องรีบถอยออกมา
หินหนืดปะทุขึ้นมาจนสูงประมาณสามเซียะ เผยให้เห็นเพลิงกาฬสีฟ้าใสพุ่งทะยานขึ้นมาหลายสายในเวลาไล่เลี่ยกัน เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ ไอร้อนลอยคละคลุ้งอยู่กลางอากาศ ราวกับกำลังเผาผลาญร่างกายของหลงเฉินอยู่
อาภรณ์บนร่างกายของหลงเฉินได้สลายหายไปจนหมดสิ้น ที่จุดกึ่งกลางของขุมเพลิงกาฬก็ได้ปรากฏขี้เถ้าอยู่สายหนึ่งก่อนที่จะหายไปกับอากาศภายในพริบตา จุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าถูกไหลเวียนขึ้นมาเอง พร้อมกับพลังเพลิงกาฬภายในร่างกายที่ถูกดูดออกไปส่วนหนึ่ง
‘พสุธาเพลิง นั่นต้องเป็นพสุธาเพลิงอย่างแน่นอน’
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเบื้องหน้าสายตาของหลงเฉินในตอนนี้ก็คือเพลิงกาฬทารก เพลิงกาฬชนิดนี้จะผุดขึ้นมาจากพสุธา พลังทำลายของมันอยู่ในระดับที่สามารถต้มท้องทะเลให้เดือดหรือหล่อหลอมเป็นภูผาขนาดใหญ่ขึ้นมาได้เลยก็ว่าได้ ภายในความทรงจำของจักรพรรดิโอสถสามารถจดจำความน่าหวาดกลัวของเพลิงกาฬชนิดนี้ได้เป็นอย่างดี
หลงเฉินกำหมัดแน่นจนกำปั้นแทบจะปริแตก ภายในจิตใจเต้นระรัวจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมา พสุธาเพลิงกลุ่มนี้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาจึงไม่ได้ปะทุอย่างดุเดือดนัก ทว่ากลับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะสยบมัน
ทว่าภายในความทรงจำของจักรพรรดิโอสถแล้ว ต่อให้เป็นพสุธาเพลิงที่อ่อนกำลังที่สุด ก็ใช่ว่าจะสยบความร้อนแรงเช่นนี้ลงได้ด้วยพลังของเขาในตอนนี้
หรือต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับถู่ฟางแล้วก็ยังไม่อาจจัดการกับความพิโรธของพสุธาเพลิงกลุ่มนี้ได้ อีกทั้งยังถึงขั้นถูกแผดเผาจนไม่เหลือเถ้าถ่านไปในทันที
“นี่เจ้าผุดขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งข้าหรืออย่างไรกัน?”
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะร่ำไห้อย่างไร้น้ำตาออกมา ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังสมบัติอันล้ำค่าและสุดยอดที่สุดอย่างอาลัยอาวรณ์ยิ่ง การที่พบเห็นแต่นำออกไปได้ก็เสมือนกับถูกลงโทษด้วยวิธีที่โหดร้ายที่สุด
‘ไม่ได้ จะต้องไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงสิ่งนี้อย่างแน่นอน เมื่อข้าเป็นคนพบก็ต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว’
หลงเฉินเดินสำรวจพื้นที่ภายในถ้ำอย่างละเอียดอีกครั้ง ปากทางเข้าถ้ำนั้นมีความสูงประมาณสองเซียะ แล้วเขาก็เริ่มวาดแผนผังขนาดย่อมขึ้นมา โดยวาดปากทางเข้าถ้ำให้เสมือนจริงที่สุด
หลังจากขีดเขียนทุกตารางพื้นที่อย่างละเอียดถี่ถ้วนและถูกต้องแล้ว หลงเฉินก็ได้ออกไปตามหาศิลาก้อนใหญ่ที่มีสีใกล้เคียงกับผนังของถ้ำ เมื่อได้ศิลาตามที่ต้องการมาแล้ว เขาก็ใช้คมกระบี่แกะสลักและขัดให้ศิลาก้อนนั้นเกิดความมันเงาขึ้นมา
อีกทั้งยังทำสัญลักษณ์บริเวณพื้นดินเพื่อให้ทราบว่านี่คือประตูศิลาที่เขาได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง ศิลาก้อนนี้สามารถใช้เป็นประตูศิลาปิดถ้ำได้อย่างพอดิบพอดี เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องจากที่แห่งนี้ไปก็จะเป็นการรับประกันได้ว่าจะไม่มีผู้ใดพบเจอถ้ำแห่งนี้
ศิลาที่เขากำลังแกะสลักอยู่นี้มีความแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าออกแรงมากจนเกินไป ไม่เช่นนั้นกระบี่ยาวในมือคงจะต้องแตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างแน่นอน หลงเฉินจึงค่อยๆ ลงมือแกะสลักไปอย่างเชื่องช้า
ผ่านไปจนถึงวันที่สาม ในที่สุดหลงเฉินก็สามารถแกะสลักประตูศิลาขนาดใหญ่จนสำเร็จ พลันก็ได้กระตุ้นกายากักวายุเพื่อเคลื่อนย้ายประตูศิลาที่น่าจะมีน้ำหนักประมาณสิบหมื่นชั่งไปปิดปากทางเข้าถ้ำ จากนั้นเขาก็เริ่มขัดประตูศิลาให้กลมกลืนไปกับปากถ้ำ
จนกระทั่งเข้าสู่วันที่ห้า ศีรษะของหลงเฉินก็ได้หยาดเหงื่ออันเย็นเยียบหลั่งออกมาจนท้วมท้น ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างประตูศิลาที่มีขนาดพอเหมาะกับถ้ำแห่งนี้ขึ้นมาได้
“ตูม”
ภายในถ้ำเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวไปมาอย่างแผ่วเบา ขุมพลังอันยิ่งใหญ่ไหลเวียนออกมาสู่ภายนอกจนทำให้ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสาย
“เสี่ยวเสว่ยเลื่อนขั้นแล้ว”
หลงเฉินดีใจขึ้นมายกใหญ่ เมื่อลอดเข้าไปในถ้ำได้แล้วก็ยิ่งแตกตื่นตกใจขึ้นไปอีก ร่างกายของเสี่ยวเสว่ยเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว อีกทั้งเส้นขนสีขาวประดุจหิมะและหว่างคิ้วที่มีขนสีแดงกลุ่มหนึ่งก็ได้ทอประกายความสง่างามมากขึ้นกว่าเดิม
“ฮูม”
เสี่ยวเสว่ยคำรามเสียงดังลากยาวออกมาจนภายในถ้ำเกิดเสียงสะท้อนกึกก้องไปทั่ว ถึงแม้หลงเฉินจะเตรียมใจเอาไว้แล้วส่วนหนึ่ง ทว่าเสียงนั้นได้สะท้านไปทั้งโสตประสาทจนของเหลวในหูแทบจะไหลออกมาเลยทีเดียว
“เจ้าหนูน้อย เจ้าจดจำพี่ใหญ่อย่างข้าไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ” หลงเฉินดึงไปที่ใบหูที่ด้านชา แล้วกล่าวด้วยอารมณ์บูดบึ้งไปที่เสี่ยวเสว่ย
“โบร๋วโบร๋ว……”
เสี่ยวเสว่ยยื่นหัวที่ใหญ่เท่ากับร่างกายของหลงเฉินคลอเคลียไปมาเหมือนเช่นทุกครั้งที่ออดอ้อนหลงเฉิน ทว่าขนาดร่างกายที่ใหญ่โตและพละกำลังที่เพิ่มขึ้นกลับทำให้หลงเฉินคล้ายกลับถูกผลักจนเซถลาออกไป
“เอาล่ะ ข้าแค่หยอกเจ้าเท่านั้น ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องเดินทางต่อแล้ว” หลงเฉินลูบไปที่ศีรษะของเสี่ยวเสว่ยอย่างอ่อนโยน เมื่อเสี่ยวเสว่ยออกมาจากถ้ำแล้ว หลงเฉินก็ได้ย้ายประตูศิลาอุดช่องว่างของปากถ้ำในทันที จากนั้นก็ได้ไหลเวียนเพลิงโอสถขึ้นมาเพื่อหลอมศิลาให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใช้เศษหินศิลาโบกทับไปอีกชั้นหนึ่ง หากมองจากภายนอกแล้วย่อมไม่สามารถมองออกว่าที่แห่งนี้มีทางเข้าถ้ำอยู่
หลังจากที่จัดการทปิดผนึกจนเสร็จสิ้นแล้ว หลงเฉินก็ยืนปรบมือให้กับฝีมือของตัวเองอย่างพึงพอใจอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็ได้ดึงแผนที่ที่วาดเอาไว้ออกมาเพื่อตรวจสอบทิศทางให้ถูกต้องเพื่อให้ตัวเองสามารถตามหาสถานที่แห่งนี้ได้พบอีกครั้ง
ทว่าถ้ำแห่งนี้กลับอยู่ในเนินเขาขนาดเล็กที่อยู่กลางทะเลทรายจึงไม่สะดุดตามากนัก ถ้าหากเขาไม่ได้ตามประกายแสงสว่างวาบในครั้งนั้นมาก็คงจะไม่สังเกตเห็นเนินเขาแห่งนี้อย่างแน่นอน
จากนั้นหลงเฉินก็กระโดดขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวเสว่ย แล้วออกเดินทางอย่างรวดเร็วประดุจลมพายุหมุนวนที่สามารถพลิกผืนฟ้าได้เลย
การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดหลงเฉินก็มาถึงบริเวณรอบนอกของตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์ได้แล้ว
เมื่อลองคำนวณระยะเวลาดูแล้ว กว่าจะถึงวันทดสอบก็ยังเหลืออีกมากมายก่ายกอง จากที่แห่งนี้ไปถึงตึกข้างก็เหลือเพียงหมื่นลี้เท่านั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบเดินทาง
หลงเฉินจึงให้เสี่ยวเสว่ยเดินไปอย่างสบายๆ ผ่านผืนป่าไปแห่งสุดท้าย ทว่าทันใดนั้นเองที่เบื้องหน้าของพวกเขาก็ได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาขวางทางเอาไว้ .