หลังจากที่กลับมาถึงจวนแล้ว หลงเฉินก็ได้เข้าไปนั่งพูดคุยกับบิดาและมารดาอยู่เป็นประจำ เมื่อคิดว่าจะต้องแยกจากกันแล้วจึงอดเสียดายและใจหายอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อมาถึงวันที่จะออกเดินทาง หลงเฉินและฉู่เหยาก็ได้ไปที่วังหลวงแล้วก็ได้พบกับฉู่ฟงที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร
“เป็นกระไรไป จะเป็นจักรพรรดิแล้วยังมีความกดดันอยู่อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินยิ้มกว้าง
เมื่อฉู่ฟงเห็นหลงเฉินและฉู่เหยาก็อดไม่ได้ที่จะยินดีปรีดาขึ้นมายกใหญ่ “พี่หลง เจี่ยเจี่ย เหตุใดถึงมีเวลาว่างมาถึงที่นี่ได้กัน”
“พวกเรามาเพื่อดูว่าจักรพรรดิในอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง แอบเกียจคร้านอยู่หรือเปล่า ทว่าเจ้ากลับไม่ได้ทำให้พวกเราผิดหวังเลย” ฉู่เหยากล่าวหยอกเย้าออกไป
ฉู่ฟงมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปอย่างเป็นทางการว่า “ขณะนี้ทางจักรวรรดิได้รวมกันเป็นปึกแผ่นแล้ว นี่จึงถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่และหน้าที่อันสำคัญที่ข้าได้รับมา แม้แต่จะยามนอนก็ยังข่มตาหลับไม่ลง”
หลงเฉินสังเกตเห็นว่าดวงตาของฉู่ฟงแดงก่ำเล็กน้อย จึงทราบได้ทันทีว่าเขานั้นได้รับแรงกดดันเป็นอย่างมากจากทุกสิ่งรอบข้าง จึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว “การจะเป็นจักรพรรดิย่อมต้องล่วงรู้จิตใจของผู้คนให้มาก ไม่เช่นนั้นการอันใดก็ต้องจัดการด้วยตัวเองทั้งหมด จึงไม่แปลกที่เจ้าจะเหนื่อยเช่นนี้
นับตั้งแต่โบราณกาลมา ข้างกายของกษัตริย์ต่างก็มีขุนนางที่มีความสามารถอยู่ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นขุนนางกังฉิน ฉะนั้นเจ้าต้องตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไร เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนมีทั้งร้ายและดี
การจะอยู่บนจุดสูงสุดย่อมต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะมองเช่นไร ไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดเผยจนผู้คนมองออกได้อย่างง่ายดาย ทว่าก็ยังสามารถควบคุมทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นที่จะต้องใช้เวลา และต้องมีจิต——ใจ——ที่——เด็ดขาด”
เมื่อกล่าวมาถึงท่อนสุดท้าย น้ำเสียงของหลงเฉินก็ได้ปกคุลมไปด้วยความเยือกเย็นขึ้นมา อีกทั้งยังทอสีหน้าจริงจังอย่างถึงที่สุดจนฉู่เหยาและฉู่ฟงต่างก็ตกใจไปตามๆ กัน
“จะเป็นจักรพรรดิได้ย่อมต้องเ**้ยมหาญ ไม่เพียงแต่เ**้ยมหาญต่อผู้อื่น เจ้าต้องเ**้ยมหาญต่อตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นบัลลังก์ที่เจ้าได้ครอบครองคงยากที่จะนั่งได้แล้ว” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“หลงเฉิน บัดนี้จักรวรรดิได้ผ่านคลื่นพายุโหมกระหน่ำจนเข้าสู่ความสงบแล้ว จากความวุ่นวายก็ได้ฟื้นคืนกลับเข้าสู่ความปกติสุข เช่นนั้นในภายภาคหน้าย่อมไม่มีศัตรูอื่นใดแล้วเช่นกัน แล้วเหตุใดเจ้าต้องขู่ขวัญให้ฉู่ฟงหวาดกลัวด้วย” ฉู่เหยากล่าวขึ้นมาเมื่อสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่สมเหตุสมผล
“เจี่ยเจี่ย พี่หลงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว การจะเป็นจักรพรรดิจำเป็นจะต้องมีความเ**้ยมหาญต่อตัวเอง แม้ว่าศัตรูจะถูกพี่หลงและท่านลุงเก็บกวาดไปจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม
ทว่าหากภูเขาและลำธารนี้สามารถส่งต่อไปถึงคนรุ่นหลังจากข้าได้ พวกเขาเองก็ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน ถ้าหากไม่มีความโหดเ**้ยมเพียงพอ แล้วเอาแต่อยู่สุขสบายก็ไม่อาจจะเป็นแบบอย่างให้แก่คนรุ่นหลังได้
เช่นนั้นเฟิงหมิงก็คงจะเสื่อมโทรมไปด้วยน้ำมือของข้า และเมื่อถึงยุคของลูกหลานก็คงจะถึงคราวจะต้องล่มสลายลงไป หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะกลายเป็นทรราชต่อวงศ์ตระกูลฉู่ พี่หลง ข้าเข้าใจแล้ว!” ฉู่ฟงกล่าวออกมา
“พี่หลง? คำเรียกขานเช่นนี้ทำให้เจ้าดูโง่งมยิ่งนัก ถ้าหากถูกเรียกว่าพี่เขยแล้วก็คงจะมีความสุขเสียยิ่งกว่ามาก” หลงเฉินยิ้มกริ่มแล้วกล่าว
“หลงเฉิน เจ้า……ตัววายร้าย” ฉู่เหยาที่มีหนังหน้าบางกว่าก็ได้ตบไปที่แขนของหลงเฉินเบาๆ แล้ววิ่งหนีออกไป
หลังจากที่ฉู่เหยาจากไปแล้ว หลงเฉินก็ได้หันไปที่ฉู่ฟงแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างจริงจังว่า “ข้ากับเจี่ยเจี่ยของเจ้าจะออกจากจักรวรรดิเฟิงหมิงแล้ว การมาเยี่ยมเยือนในครั้งนี้ก็มาเพื่อที่จะบอกกล่าวเรื่องนี้”
ภายในแววตาของฉู่ฟงปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมา “ข้าพอจะทราบเรื่องมาบ้างแล้ว ข้าและเจี่ยเจี่ยอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ตีหน้าเสแสร้งเป็นตัวโง่งมมาโดยตลอดเพื่อจะได้มีชีวิตรอด จนในที่สุดพวกเราก็เป็นอิสระแล้ว เวลาเช่นนี้จึงสมควรที่จะแยกจากกันเพื่อใช้ชีวิตของตัวเอง
ข้านั้นรักเจี่ยเจี่ยมาก และข้าเองก็ทราบว่าท่านก็คงจะรักและทะนุถนอมนางไปตลอดชีวิตด้วยเช่นกัน ข้าจึงรู้สึกเบาใจเป็นอย่างยิ่ง”
“อือ วางใจเถิด ข้าจะไม่ทำให้ฉู่เหยาต้องเสียใจ” หลงเฉินกล่าวอย่างหนักแน่น นี่ถือเป็นคำมั่นสัญญาอย่างหนึ่งของลูกผู้ชาย
จากนั้นหลงเฉินและฉู่เหยาก็ออกมาจากวังหลวง แล้วก็พบพานกับเจ้าอ้วนที่เดินเข้ามาหาอย่างองอาจด้วยชุดขุนนางบนเรือนร่าง จะว่าไปแล้วก็ดูเข้ากับเจ้าอ้วนไม่น้อยเลยทีเดียว
“พี่หลง ในที่สุดข้าก็หาท่านพบแล้ว พวกเราเตรียมสุรารสเลิศเพื่อส่งท่านออกเดินทางแล้ว”
“พวกเจ้าทราบได้อย่างไรกัน?” หลงเฉินถามออกไปด้วยความฉงนสงสัย
“อย่าได้ถามอีกเลย ทั่วทั้งจักรวรรดิจะมีสักกี่คนที่ไม่ทราบเรื่องนี้กัน รีบไปกันเถิด หากวันนี้ไม่เมามายก็จะไม่เลิกรา”
เมื่อหลงเฉินและฉู่เหยามาถึงเหลาสุรารวมผู้กล้า ก็ได้พบกับซือเฟิง เจ้าลิงผอม และพวกพ้องคนอื่นที่มารอกันอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
“หลงเฉิน เจ้าจะไปจริงๆ หรือ?” ซือเฟิงถามออกมาด้วยความไม่เชื่อส่วนหนึ่ง
หลงเฉินพยักหน้าไปมา “ข้าอยากจะออกไปดูว่าโลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลสักเพียงใด ซือเฟิง เจ้าไม่คิดจะออกไปดูบ้างหรือ”
ซือเฟิงทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าทว่ากลับมอดดับลงไปในทันที แล้วส่ายหน้าไปมา “ช่างมันเถิด ด้วยความสามารถอันน้อยนิดอย่างข้าคงจะเป็นการยาก”
“เหตุใดวันนี้ถึงได้ดูถ่อมตัวถึงเพียงนี้กัน?” หลงเฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ฮาฮา พี่หลง ซือเฟิงไม่ได้ถ่อมตัว เขาเพียงแค่เสียดายที่จะต้องจากจักรวรรดิไป ทว่าข้าว่าเขาเสียดายสาวงามก็เท่านั้น” เจ้าลิงผอมที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยเล่นลิ้นขึ้นมา
“สาวงาม?” หลงเฉินหันไปหาซือเฟิง
“หลงเฉิน เจ้าอย่าได้ฟังวาจาเหลวไหลของเจ้าพวกนี้” ซือเฟิงมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาเล้กน้อย
“พี่หลง ซือเฟิงกับท่านช่างเป็นสหายที่ดีต่อกันเสียจริงเชียว ทว่าในไม่ช้าคงจะได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น” หนึ่งในพวกพ้องยิ้มที่มุมปากแล้วกล่าวมาทางหลงเฉิน
“ความสัมพันธ์อันใดกัน?” หลงเฉินทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
“หึหึ หลังจากนี้พวกท่านคงจะต้องเกี่ยวดองกันแล้ว” เจ้าอ้วนเผยร้อยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาแล้วตอบหลงเฉิน
หลงเฉินกับฉู่เหยามองตากันด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง เรื่องราวเช่นนี้จู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหันจนยากที่จะเข้าใจได้แล้ว “หึหึ มีขุนนางแนะนำองค์หญิงให้กับซือเฟิง ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานนักซือเฟิงก็คงจะพาสาวงามมาด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หลงเฉินและฉู่เหยามองหน้ากันด้วยความแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสองไม่ลงรอยกับฉู่ฟง
นั่นก็เห็นได้ชัดว่าฉู่ฟงต้องการชักจูงผู้มีพรสวรรค์อย่างซือเฟิงให้เข้าร่วมด้วยจึงใช้องค์หญิงสองเป็นตัวเบี้ย ฉู่เหยาเองก็ทราบดีว่าเรื่องเช่นนี้ก็คือทักษะที่จักรพรรดิถึงมี ทว่าฉู่เหยากลับรู้สึกว่าภายในจิตใจเกิดความไม่สบายใจขึ้นมาส่วนหนึ่ง
หลงเฉินกุมมือฉู่เหยาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ฉู่ฟงย่อมทราบอยู่แก่ใจว่ากำลังจะปกป้องตัวเองอย่างไร เรื่องราวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีหรอกหรือ? ตอนนี้พวกเราก็สามารถจากไปอย่างวางใจได้แล้ว”
ฉู่เหยาพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย หลงเฉินกล่าวได้ถูกต้องทั้งหมด ถ้าหากฉู่ฟงไม่รู้จักเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก็มีแต่จะทำให้นางเป็นห่วงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
ฉู่เหยายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่งามจดจ้องไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวว่า “หลงเฉิน เมื่อถึงเวลาที่ข้าไปอยู่ตำหนักป่าสวรรค์แล้ว เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าจะมาหาบ่อยๆ อย่าให้ผู้อื่นหอบข้าหนีไปได้เชียว”
หลงเฉินจึงรีบกล่าวออกมาอย่างขึงขังว่า “ผู้ใดกล้าแย่งภรรยาของข้า ข้าจะควักสมองของมันออกแล้วก็โยนให้สุนัขกิน ฉะนั้นข้าเองก็อยากจะเห็นว่ามีผู้ใดกันที่ไม่กลัวความตายเช่นนี้”
ถึงแม้ว่าจะทราบดีว่าหลงเฉินจงใจจะล้อเลียนตัวเอง ฉู่เหยาก็ยังคงหัวเราะจนร่างกายสั่นไหวขึ้น มา ภายในดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างถึงที่สุด
เมื่อตระหนักได้ว่าอีกไม่นานจะต้องแยกจากหลงเฉินแล้ว พวกพ้องทั้งหลายจึงไม่สนว่าจะต้องดื่มจนเมามายถึงเพียงใด นับตั้งแต่เวลานั้นพวกเขาต่างก็ดื่มด้วยกันอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนหลงเฉินเองนั้นถือว่ามีความสำเร็จในเชิงสุราเป็นอย่างยิ่ง หากผู้อื่นใช้ชาม เขาก็จะใช้ไห
ชามและไหถูกกองเอาไว้อยู่โดยรอบ สูงจนคล้ายกับภูเขาลูกเล็กๆ ทุกคนต่างก็หัวเราะอย่างมีความสุขไปพร้อมกัน ในบางเวลาก็หลั่งน้ำตาออกมากับเรื่องราวที่ผ่านพ้นเข้ามาอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
เมื่อฉู่ฟงได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว พวกพ้องที่มีความสัมพันธ์อันดีกับหลงเฉินเหล่านี้ต่างก็ได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญด้วยกันทั้งหมด อีกทั้งยังมีบรรดาศักดิ์ที่สูงส่งอีกด้วย
การร่ำสุราในวันนี้จึงเป็นเสมือนการแสดงความขอบคุณต่อทุกสิ่งอย่างที่หลงเฉินได้มอบให้พวกเขา เมื่อหลงเฉินได้เลือกเดินทางสู่เส้นทางสายใหม่จึงเป็นไปได้ว่าทั้งชีวิตนี้ พวกเขาอาจจะไม่ได้พบกันอีก จึงยากที่จะควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ได้ บ้างก็หัวเราะ บ้างก็ร่ำร้องออกมาในขณะที่ชนไหกัน
หลงเฉินเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เมื่อได้หวนนึกถึงช่วงเวลาที่แสนจะลำบากมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีเส้นทางในภายภาคหน้าที่ไม่อาจล่วงรู้ได้รออยู่จึงได้ร่ำสุราจนเมามายอย่างไม่คิดชีวิตด้วยเช่นกัน
เขาทราบอยู่แก่ใจดีว่าเส้นทางที่เขาเลือกเดินนั้นเป็นเส้นทางที่ไร้จุดหมาย อีกทั้งคงจะเต็มไปด้วยการนองเลือดและฆ่าฟัน ช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับมิตรสหายเช่นนี้อาจจะไม่มีแล้ว เขาจึงได้ปลดปล่อยความในใจออกมาทั้งหมดในค่ำคืนนี้ หลังจากที่ผู้คนทั้งหมดต่างก็เมาจนล้มฟุบลงกับพื้น ฉู่เหยาก็ได้พยุงหลงเฉินกลับจวน
ผ่านไปหลายวันหลงเฉินกลับไม่ได้ออกจากจวนเลย เขาใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อพูดคุยและทานข้าวกับบิดาและมารดาโดยตลอด จนกระทั่งถึงวันที่ถู่ฟางได้ส่งข่าวมาว่าให้เขาเตรียมตัวออกเดินทาง
หลายวันที่ผ่านมานี้เหล่าคนจากสำนักได้ทำการเก็บเกี่ยวเหมืองศิลาปราณ นำพาคนจากสำนักมาคอยดูแลแผนการและการจัดเก็บเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของผู้คนในจักรวรรดิ พวกเขาจึงรีบกระทำการทุกอย่างให้รวดเร็วที่สุด คาดว่าภายในครึ่งปีนี้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้เสร็จสิ้น ทว่าส่วนแบ่งเป็นเช่นไรนั้นยังไม่มีผู้ใดทราบได้
ด้านนอกจักรวรรดิมีสัตว์มายาขนาดใหญ่ยืนเรียงรายกันอยู่เป็นแถว บนร่างกายของมันแผ่บรรยากาศอันน่าหวาดกลัวออกมาขุมหนึ่ง อีกทั้งยังส่งเสียงคำรามจนดังก้องไปทั่วทั้งผืนฟ้า
หลงเฉิน ฉู่เหยา อาหมาน และเสี่ยวเสว่ยก็ได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่ประตูเมือง หลงเทียนเซียวและฮูหยินหลงก็ได้ออกมาส่งด้วยเช่นกัน ดวงตาของฮูหยินหลงเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา มือเรียวยาวกุมไปที่มือใหญ่ของหลงเฉินจนแน่น
ฉู่ฟงสวมชุดคลุมสีเหลืองอร่าม บนศีรษะมีมงกุฎสีทอง ทว่าชุดนี้จะสวมใส่ได้ก็ต่อเมื่อเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการแล้ว แต่วันนี้เขาอยากจะสวมใส่มันเพื่อให้ฉู่เหยาได้เห็นว่าเขานั้นได้เป็นจักรพรรดิแล้ว
“ไปเถิด”
ฮวายวี่เรียกฉู่เหยาก่อนที่จะขึ้นไปบนหลังของอินทรียักษ์ตัวหนึ่ง อินทรีตัวนั้นส่งเสียงร้องขึ้นมาเบาๆ จากนั้นก็เริ่มกระพือปีกแล้วทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอย่างรวดเร็ว
ฉู่เหยาหลั่งน้ำตาออกมาอย่างท่วมท้น แล้วหันไปโบกมือให้กับฉู่ฟงและผู้คนที่อยู่หน้าประตูเมือง จนกระทั่งเงาร่างของนางได้หายลับเข้าไปในก้อนเมฆ
จากนั้นคนอื่นๆ ก็ได้แยกย้ายกันขึ้นพาหนะของตัวเองแล้วออกเดินทางไป จนท้ายที่สุดเหลือแค่เพียงอินทรีขนเหล็กของถู่ฟางที่ยังอยู่บริเวณแห่งนี้
ถู่ฟางจ้องมองไปยังหลงเฉินสลับกับเสี่ยวเสว่ยที่อยู่ด้านหลัง แล้วพยักหน้าไปมาอย่างพึงพอใจ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีหมาป่าหิมะแดงเพลิงเป็นสัตว์เลี้ยง เช่นนี้ข้าก็วางใจได้แล้ว”
เมื่อหลงเฉินได้ยินคำพูดของถู่ฟางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงรีบกล่าวขึ้นมาว่า “เสี่ยวเสว่ยนั้นยังโตไม่เต็มที่จึงมีน้ำหนักไม่มากนัก พาหนะของท่านจะต้องเพียงพอให้พวกเราทั้งหมดใช้เดินทางได้อย่างแน่นอน”
ถู่ฟางส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “อย่างแรก ถึงแม้ว่าพาหนะของข้าจะเป็นสัตว์มายาระดับสามที่สามารถบรรทุกพวกเจ้าไปได้ทั้งหมด ทว่าการให้สัตว์มายาขึ้นขี่สัตว์มายาด้วยกัน ถือเป็นการเหยียบย้ำศักดิ์ศรี การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการฝืนสภาวะจิตใจของสัตว์มายาเป็นอย่างมาก
อีกทั้งข้าก็ไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์ที่ใช้สัตว์มายาเป็นเช่นทาสตัวหนึ่ง ฉะนั้นข้าจึงไม่สามารถให้สัตว์มายาของเจ้าขึ้นไปได้
อย่างที่สอง หากตามกฏระเบียบของสำนักพลิกสวรรค์แล้ว ศิษย์ทุกคนที่ปรารถนาจะผ่านทดสอบเพื่อเข้าสำนักจำเป็นจะต้องเดินทางไปด้วยตัวเองภายในระยะเวลาที่ทางสำนักพลิกสวรรค์กำหนดเอาไว้ เพราะนี่ก็เป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ปั้นยากขึ้นมาของหลงเฉิน ถู่ฟางจึงกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป บททดสอบนั้นยังเหลืออีกหนึ่งเดือน เจ้ายังพอมีเวลาเหลืออยู่ นี่เป็นแผนที่ของเส้นทางสู่สำนักพลิกสวรรค์ เจ้าจงเก็บเอาไว้ให้ดี”
“เช่นนั้นจะให้พวกเราทั้งสามเดินทางไปยังสำนักพลิกสวรรค์ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ นี้เป็นการกลั่นแกล้งหรืออย่างไรกัน ในเมื่อต้องการให้พวกเขาไปเอง แล้วจะให้พวกเขารอมาจนถึงวันนี้ด้วยเหตุใดกัน?
“ไม่ใช่สามคน เป็นพวกเจ้าสองคน ส่วนอาหมานจะติดตามข้ากลับไปยังตึกข้างของสำนักพลิกสวรรค์ก่อน เป็นเพราะเหตุอันใดนั้นเจ้าคงจะเข้าใจอยู่แล้ว” ถู่ฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เอาเถิด ข้าเข้าใจแล้ว หลงเฉินเกิดโทสะจนแทบจะด่าทอขึ้นมา ทว่ากลับยังไม่มีแข็งแกร่งพอที่จะกระทำเช่นนั้นได้จึงอดทนอดกลั้นเอาไว้
เมื่ออินทรีขนเหล็กได้ลอยตัวขึ้นไปสู่ท้องฟ้า อาหมานก็ได้ตะโกนขึ้นมา “เอ๊ะ! เหตุใดพี่หลงถึงไม่ได้ขึ้นมาด้วย?”
ถู่ฟางที่ยืนอยู่ทรงตัวอยู่บนตัวของอินทรีขนเหล็กก็สะดุ้งตัวโยนจนแทบจะตกลงไป ทว่ากลับไม่ได้ใส่ใจเสียงโหวกเหวกโวยวายของอาหมานแต่อย่างใด
เมื่อเห็นสัตว์มายาของถู่ฟางบินถลาออกไปไกลแล้ว หลงเฉินก็ได้ลูบไปที่ศีรษะของเสี่ยวเสว่ยครั้งหนึ่ง แล้วส่งยิ้มให้เจ้าหนูอย่างข่มขื่น “พวกเราคงจะต้องลำบากกันเสียหน่อยแล้ว”
“ฮูม”เสี่ยวเสว่ยคำรามออกมาคล้ายกับเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้ากำลังจะบอกว่าพวกเราจะไม่แพ้พวกเขาอย่างนั้นหรือ? ได้! เช่นนั้นพวกเราก็มาประลองความเร็วกับพวกเขาสักครั้งหนึ่งเถิด” หลงเฉินกระโดดขึ้นหลังของเสี่ยวเสว่ยในทันที เสี่ยวเสว่ยเองก็ได้ส่งเสียงคำรามจนกึกก้องไปทั่วทั้งผืนฟ้าแล้วพุ่งทะยานออกไปตามเส้นทาง
ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะหายลับไปก็ได้หันไปมองยังเงาร่างที่เริ่มเล็กลงไปเรื่อยๆ แล้วสะอื้นไห้ขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านแม่ โปรดรักษาตัวด้วย แล้วข้าจะกลับมาเยี่ยมพวกท่าน”
ภายในจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น โลกภายนอก…ข้ามาแล้ว นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปการเดินทางสู่โลกภายนอกของข้าจะกลายเป็นการสั่นสะเทือนไปทั้งโลกา!
……
เมื่อได้เห็นเงาของหลงเฉินและเสี่ยวเสว่ยหายลับไปจากสายตา ฮูหยินหลงก็ซบลงที่อ้อมอกของหลงเทียนเซียว แล้วปล่อยเสียงสะอึกสะอื้นออกมายกใหญ่
“เอาเถิด บุตรของเราเติบใหญ่แล้ว สมควรที่จะกางปีกออกเดินทางไปตามเส้นทางของเขา” หลงเทียนเซียวกล่าวปลอบใจภรรยา
เขาทราบอยู่เต็มอกว่าเส้นทางของหลงเฉินจะต้องยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักหนา ขอเพียงเขาไม่ตายก็ย่อมขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยุทธภพได้อย่างแน่นอน ..