เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 116 สงครามน้ำลาย

หลงเฉินหันกลับไปก็ประจวบกับเป็นต้นเสียงของเฒ่าชราที่กำลังจะรีบไปเกิดใหม่เมื่อสักครู่นี้ ทว่ากลับมายืนอยู่ต่อหน้าของหลงเฉินได้อย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง

บนใบหน้าของเฒ่าชรามีร่องรอยเ**่ยวย่นประปรายไปทั่ว อีกทั้งยังมีหลุมบ่ออยู่เต็มไปหมด เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกันถึงเพียงนี้ก็ได้ทำให้ใบหน้านั้นยิ่งดูน่าหวาดกลัวขึ้นกว่าเดิม

เมื่อพบว่าหลงเฉินไม่กล่าววาจาอันใด และยังคงเอาแต่จ้องมองมาที่ตนด้วยท่าทีงุนงง เฒ่าชราจึงเกิดความรำคาญแล้วร้องตะโกนออกมาว่า “ข้า…ถาม…เจ้า ว่าเจ้าใช่หลงเฉินหรือไม่”

“ข้าคือหลงเฉิน มีเรื่องอันใดที่จะชี้แนะหรือ” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ

“เจ้าก็คือหลงเฉินอย่างนั้นหรือ”

ทันใดนั้นเฒ่าชราก็ได้ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันไปมา อีกทั้งยังส่งสายตาอาฆาตประดุจสัตว์ป่ากระหายเนื้อจ้องมองมาที่เขา หลงเฉิน ฉู่เหยา และอาหมานต่างก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเฒ่าชราจึงรีบถอยเท้าไปด้านหลังอยู่หลายก้าว

หลงเฉินไหลเวียนพลังลมปราณขึ้นมาเตรียมพร้อมการลงมือ เขาสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารอันน่าหวาดผวาอย่างถึงที่สุดบนตัวของเฒ่าชราผู้นี้อย่างมหาศาล

“ท่านมีเรื่องอันใด?”

เฒ่าชรายังคงจดจ้องไปที่หลงเฉินอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วตะโกนออกมาว่า “เจ้าเป็นเพียงผู้เยาว์ แล้วเหตุอันใดจึงไม่แสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสกัน?”

หลงเฉินฉงนสงสัยขึ้นมาอย่างยิ่ง แล้วจู่จู่ร่ากายก็แข็งทื่อไปราวกับถูกผนึกเอาไว้ทั่วร่างกาย อีกทั้งยังหนักอึ้งเสมือนถูกหินศิลานับหมื่นชั่งกดทับลงมาจนยากที่จะหายใจ

อาหมานนั้นยังพอที่จะฝืนเอาไว้ได้ ทว่าฉู่เหยากลับไม่อาจทานรับไหว บนใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นซีดขาวในทันที ที่มุมปากมีสายโลหิตซึมออกมา เรือนร่างอรชรไม่อาจทรงตัวอยู่ในท่ายืนเอาไว้ได้

หลงเฉินฝืนสภาวะเข้าไปพยุงร่างกายของฉู่เหยาเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พลันก็ได้ไหลเวียนพลังปราณด้วยพลังทั้งหมดเพื่อต้านกับขุมพลังอันท่วมท้นของเฒ่าชราเอาไว้

“เจ้าไปกินผิดสำแดงจนหลายเป็นบ้าไปหรือไร?” หลงเฉินบังเกิดโทสะขึ้นมาอย่างมาก จึงอ้าปากด่าทอออกไป

“เจ้าผู้เยาว์ที่ไม่รู้ความอันใด ฉะนั้นวันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองว่าการเคารพผู้อาวุโสนั้นควรกระทำเช่นไร” เมื่อเฒ่าชราเห็นว่าหลงเฉินสามารถต้านทานพลังของเขาเอาไว้ได้จึงเกิดความตกใจอย่างยิ่ง พลันก็ยิ้มขึ้นที่มุมปากแล้วปะทุพลังปราณขึ้นมาต่อเนื่อง

อาหมานส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความฉุนเฉียวจนตลอดทั่วทั้งร่างกายกลายเป็นสีแดงก่ำขึ้นมา ดวงตาจ้องเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่เฒ่าชราจนคนผู้นั้นตกใจขึ้นมายกใหญ่

พลังปราณที่ชายผู้นั้นกดดันออกมาช่างมหาศาล แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นก็ยังไม่อาจทนรับได้ ทว่าเจ้าเด็กตัวใหญ่ผู้นี้กลับไม่มีดีแค่ขนาดตัวเท่านั้น เขาถึงกับสามารถทนทานพลังเช่นนั้นเอาไว้ได้

“ซูม”

แม้ว่าหลงเฉินจะใช้พลังเข้าสลายสภาวะของพลังปราณที่แผ่ออกมาจำนวนมากไปด้านข้าง ทว่าฉู่เหยาก็ยังคงกระอักโลหิตออกมาอีกคำหนึ่งจนใบหน้าขาวซีดมากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าเฒ่า เจ้าจะหาที่ตายอย่างนั้นหรือ”

หลงเฉินโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างถึงที่สุด พร้อมทั้งตะโกนออกมาสุดเสียงจนกระตุ้นพลังวงแหวนแห่งเทพขึ้นมา ทันใดนั้นเองก็ได้มีน้ำเสียงอันเรียบเฉยดังขึ้นมา

“หยุดมือ”

เสียงนั้นคล้ายกับเป็นการเอ่ยวาจาธรรมดาที่ไม่ได้ดังมากมาย ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสงบ ไม่มีอารมณ์ขุ่นเคืองอันใดแอบแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่สามารถทำให้เฒ่าชราทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง อีกทั้งยังรั้งพลังปราณอันมหาศาลกลับไปอย่างรวดเร็ว

หลงเฉินรู้สึกผ่อนคลายลง ส่วนฉู่เหยาเองก็อาการดีขึ้น ทว่าใบหน้ายังคงซีดขาวอยู่จนอดสงสารขึ้นมาไม่ได้

แล้วหลงเฉินก็มีปฏิกิริยาตอบกลับในทันที ไม่ทราบว่าเมื่อใดที่บริเวณโดยรอบมีผู้คนมากหน้าหลายตากำลังมองมาที่เขาอยู่ อีกทั้งยังเป็นใบหน้าที่แสดงถึงความยินดีอย่างลึกล้ำชนิดหนึ่ง

ผู้คนเหล่านั้นมีอยู่ด้วยกันเจ็ดคน เกือบทั้งหมดเป็นเฒ่าชรารุ่นราวคราวเดียวกัน มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นหญิงสาววัยกลางคนที่มีใบหน้างดงาม ทว่ากลับทอสีหน้าเยือกเย็นราวกับถูกดูดซับความสุขไปจนหมดสิ้น

เสียงห้ามปรามที่ดังขึ้นเมื่อครู่นี้มาจากเฒ่าชราผู้หนึ่งที่มีใบหน้าคร่งขรึมประดุจอาวุธมีคมที่พร้อมสังหารผู้คนได้ทุกเมื่อ และจ้องมองมาที่หลงเฉินด้วยความเย็นชา

“ไม่แปลกใจเลยที่หลายปีมานี้ไม่มีความก้าวหน้าอันใด เพราะเอาแต่ฝึกฝนความด้านของหนังหน้ามาโดยตลอดนี่เอง”

คนผู้อื่นต่างก็แสร้งทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาในทันที ทว่าภายในดวงตาของพวกเขากลับแฝงความเย้ยหยันเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม เห็นได้ชัดว่าแววตาเช่นนั้นเป็นบรรยากาศของความยินดีต่อความโชคร้ายของผู้อื่นอยู่

ทันใดนั้นใบหน้าของเฒ่าชราที่รีบไปตายก็เขียวคล้ำขึ้นมา ดวงตาของเขาปะทุเปลวเพลิงแห่งโทสะอยู่ครู่หนึ่งทว่ากลับมอดดับไปอย่างรวดเร็ว แล้วฝืนใจกล่าวออกมาว่า “เจ้าเด็กผู้นี้ไร้มารยาทต่อข้าอย่างยิ่ง ข้าเพียงแค่จะสั่งสอนเขาเสียหน่อย มีอันใดที่กระทำไม่ได้กัน? ผู้อาวุโสอย่างข้า มีอันใดที่กระทำไม่ได้กัน!”

“เจ้าเม่าหาง อย่าได้ทำตัวน่าชังไปหน่อยเลย ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเสียหน้าสักหน่อย แล้วเหตุอันใดจึงไม่ลองตักน้ำชะโงกดูเงาหน้าของตัวเองเสียบ้าง อีกทั้งยังเอาแต่ระบายอารมณ์กับผู้เยาว์ผู้หนึ่ง คนในสำนักนรกโลหิตอย่างพวกเจ้าช่างหน้าด้านหน้าทนกันเสียจริง” เฒ่าชราผู้หนึ่งส่งเสียงดังชิออกมาก่อนที่จะกล่าววาจาเย็นชาขึ้นมา

“เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกแล้วยังมาลงมือต่อผู้เยาว์ที่มีพลังฝีมือเพียงขอบเขตก่อโลหิต หนังหน้าของเจ้าช่างหนาเกินไปเสียแล้ว ถ้าหากดึงมันออกมาได้เกรงว่าคงจะนำมาใช้เป็นโล่กำบังที่ดาบหรือหอกก็แทงไม่เข้า แม้แต่เพลิงวารีก็ยังไม่ระคาย” เฒ่าชราอีกคนหนึ่งด่าทอออกมา

การถากถางยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง หลงเฉินพอจะจับใจความได้ว่าเฒ่าชราผู้ห้ามทัพมีนามว่าถู่ฟางซึ่งเป็นเฒ่าชราเพียงผู้เดียวที่จ้าวเม่าหางอะไรนั่นเกรงกลัว พวกเขาเอาแต่สบถด่าทอกันไปมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ากลับแฝงเอาไว้ด้วยความเย้ยหยันอย่างถึงที่สุด

ทันใดนั้นเฒ่าชราที่มีนามว่าซีลั่ว พร้อมทั้งเฒ่าชราคนอื่นก็ยิ้มกริ่มขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ถ้าหากว่าเจ้าไม่พอใจพวกเรา เช่นนั้นก็มาวัดความสูงต่ำกันเสียหน่อยเถิด อย่าได้เอาแต่ใช้วิธีของอิสตรีที่เก่งแต่ใช้ลิ้นและปากอยู่เลย”

แล้วทั้งสองฝ่ายก็เข้าประจันหน้ากันในทันที ถู่ฟางที่เห็นท่าไม่ดีจึงเลื่อนมือขึ้นมาช้าเพื่อหยุดยั้งการทะเลาะเบาะแว้งเอาไว้ “พวกเจ้าต่างก็เป็นตัวแทนของสำนัก ถือเป็นบุคคลผู้มีหน้ามีตา แล้วเหตุใดต้องมากระทำเรื่องน่าขบขันต่อหน้าผู้เยาว์เช่นนี้ หยุดไว้เพียงเท่านี้เถิด”

เมื่อสิ้นเสียงนั้นผู้คนมากมายก็ไม่ได้โต้แย้งกันอีก จากนั้นหนึ่งในเฒ่าชราก็ได้กล่าวด้วยวาจาไพเราะอีกทั้งยังดูให้เกียรติต่อหลงเฉิน

“เจ้าหนู ไม่เลวเลยทีเดียว ได้ยินมาว่าเจ้าได้จัดการศิษย์ที่มีสำนักผู้หนึ่งไป เดิมทีแล้วข้าก็ไม่อยากจะเชื่อสักเท่าใดนัก ทว่าเมื่อเห็นเจ้าสามารถผ่อนสภาวะพลังกดดันจากผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ อีกทั้งยังสามารถสังหารศิษย์สายนอกได้อีก ฉะนั้นเจ้ามีความสนใจที่จะเข้าร่วมกับตำหนักทะเลครามของพวกข้าหรือไม่

เพราะด้วยพรสวรรค์เช่นเจ้าแล้วอย่างน้อยก็ต้องได้เป็นศิษย์สายในอย่างง่ายดายแน่นอน ยิ่งถ้าท่านผู้อาวุโสภายในสำนักโปรดปรานเจ้าแล้วก็อาจได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์รักได้เลยทีเดียว”

เฒ่าชราคนอื่นที่ได้ยินต่างก็ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง แล้วศึกแย่งชิงด้วยฝีปากก็บังเกิดขึ้น “มาสำนักศูนย์รวมของพวกเราดีกว่า ข้าขอรับรองว่าตำแหน่งศิษย์รักย่อมไม่หนีไปจากเจ้าอย่างแน่นอน”

“เป็นเพียงศิษย์รักแล้วจะได้ความอย่างไรกัน เจ้าหนู ข้าจะบอกต่อเจ้าว่าสำนักประตูมนุษย์ของข้าจะให้เจ้าเป็นศิษย์รัก อีกทั้งที่สำนักยังถูกเรียกขานว่าเป็นสำนักที่มีสาวงามอันดับหนึ่งอยู่ หากเจ้าเข้าร่วมกับสำนักของข้าย่อมต้องพึงพอใจอย่างแน่นอน เจ้าหนู ข้าต้องตาเจ้าแล้ว อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวังเลย”

“ให้ตายสิ น่ารังเกียจเกินไปแล้ว สาวงามภายในสำนักของเจ้าเพิ่งจะอายุแค่แปดปี มีเรื่องอันใดที่ทุเรศกว่านี้อีกไหม?”

“จะผิดอันใดเล่า? ฝึกยุทธ์มาก็ตั้งหลายปีแล้ว รอคอยอีกสักสิบปีก็คงจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ? จะเรียกว่าทุเรศได้อย่างไรกันเล่า?”

“……”

หลงเฉิน ฉู่เหยา และอาหมานต่างก็ทอแววตาโง่งมขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เมื่อได้ล่วงรู้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นคนของสำนักที่มีสถานะสูงศักดิ์ อีกทั้งความแข็งแกร่งคงจะสูงล้ำยิ่งกว่าจ้าวเม่าหางผู้นั้นอีก

ผู้คนที่แข็งแกร่งเช่นนี้กำลังแย่งตัวหลงเฉินอย่างวุ่นวาย ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นแผนการของหลงเฉินที่ได้คิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทว่ากลับไม่คิดว่าเรื่องราวจะโกลาหลจนกลายเป็นตัวโง่งมเช่นนี้ไปได้

“ชิ ครั้งนี้เจ้าได้ทำให้สำนักนรกโลหิตของพวกเราเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ขึ้นมา เช่นนั้นจงชดใช้ความผิดด้วยการเข้าร่วมสำนักของพวกเรา แล้วข้าจะยอมลืมเลือนเรื่องราวมี่เจ้าก่อเอาไว้ราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน อีกทั้งยังจะเลี้ยงดูเจ้าด้วยความเอาใจใส่อีกด้วย” จ้าวเม่าหางคลายความโกรธลงไปในทันที แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างหน้าไม่อาย

จ้าวเม่าหางผู้นี้เป็นเพียงตัวแทนจากสำนักนรกโลหิตมาเจรจาเรื่องเหมืองศิลาปราณ ทว่าเหมืองแห่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาค้นพบมาได้ตั้งแต่ต้นแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรส่วนแบ่งก็สมควรจะเป็นของพวกเขาด้วยเช่นกัน

โดยรอบของอาณาเขตของจักรวรรดิเฟิงหมิงมีสำนักด้วยกันทั้งหมดเจ็ดแห่ง หากเป็นไปตามกฎระเบียบที่ถูกวางเอาไว้แล้ว สำนักที่อยู่ภายในอาณาเขตแห่งนี้ควรจะได้รับส่วนแบ่งจากเหมืองอย่างเสนอภาค เพื่อป้องกันการแก่งแย่งที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง

ทว่าสำนักนรกโลหิตได้กระทำการที่ขัดต่อกฎระเบียบที่วางเอาไว้อย่างรุนแรง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเรื่องราวถูกแพร่งพรายออกไปนั่นก็คือถูกขับออกจากการได้รับส่วนแบ่งจากเหมืองศิลาปราณ

ด้วยเหตุนี้จ้าวเม่าหางผู้นี้จึงเกิดโทสะเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการลงความเห็นจากเฒ่าชราจากทั้งหกสำนักที่มีความเห็นตรงกันซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีถู่ฟางร่วมด้วย เขาจึงกระทำได้แค่ข่มอารมณ์โกรธเกรี้ยวเอาไว้ให้อัดแน่นอยู่ภายในท้อง

และในขณะที่เขากำลังเดินออกมาจากทางประตูใหญ่ของชุมนุมก็เกือบชนเข้ากับร่างของหลงเฉินและพวกจนแทบจะลอยกระเด็นไป ทว่าหลังจากที่เขาตีห่างออกไปได้ระยะหนึ่งกลับรู้สึกถึงความไม่ถูกต้องบางอย่างขึ้นมา

ด้วยพลังการยุทธ์อันสูงส่งของเขาก็สามารถมองออกได้ทันทีว่าหลงเฉินนั้นมีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตที่พบเจอได้ทั่วไปเท่านั้น

ทว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของเขาได้โดยไม่มีอาการแตกตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวก็สามารถคลายพลังของเขาออกและยังยืนหยัดอยู่ได้

เมื่อยืนยันตัวตนของชายหนุ่มผู้นั้นว่าหลงเฉิน ผู้ที่ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียเหมืองศิลาปราณไปจนหมดสิ้นจึงไม่อาจเก็บงำความโกรธเกรี้ยวที่ท้วมท้นออกมาได้อีกต่อไป

และเนื่องจากการประชุมของสำนักได้บัญญัติเอาไว้ชัดเจนว่าไม่ให้ลงมือวิสามัญต่อบุคคลที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อสำนักได้ในทันที ฉะนั้นเขาจึงใช้ข้ออ้างว่าหลงเฉินไม่เคารพบุคคลต่อผู้อาวุโส ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คิดจะจัดการหลงเฉินให้ตายไป แต่อย่างน้อยก็ขอระบายอารมณ์สักเพียงเล็กน้อยก็ยังดี

เมื่อเห็นผู้คนจากสำนักอื่นต่างก็ชักจูงหลงเฉินให้เข้าร่วม จึงรีบเปลี่ยนอารมณ์กลับมาในทันที ราวกับว่าเหมืองศิลาปราณกับเขานั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว

เพราะการชักนำลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ให้เข้าร่วมสำนักได้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีเสียยิ่งกว่า อีกทั้งยังเป็นการทดแทนสิ่งที่เสียไปได้อีกแบบหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่ทำให้สำนักเสียเปรียบมากจนเกินไป จึงเปลี่ยนวาจาและอารมณ์ได้รวดเร็วประดุจกิ้งก่าเปลี่ยนสีอย่างไรอย่างนั้น

“หนังหน้าเช่นนี้คงจะฝึกฝนมาตั้งแต่ยังเยาว์จนถึงบัดนี้เสียกระมัง” เฒ่าชราผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หลังจากที่ทุกสำนักได้กล่าวเชิญชวนออกไปแล้วก็รอคอยแค่การตอบรับจากหลงเฉินว่าจะเลือกอย่างไร

“เป็นอย่างไร? เจ้ายินดีที่จะมาเข้าร่วมกับสำนักนรกโลหิตของพวกเราหรือไม่ เจ้าลองคิดดูให้ดีก่อน อย่าได้ด่วนตัดสินใจไปล่ะ”

แววตาของจ้าวเม่าหางทอประกายเจิดจ้าจับจ้องมาที่หลงเฉิน น้ำเสียงเล็กแหลมคล้ายกับดัดแปลงออกมาได้แฝงความคุกคามอย่างหนึ่งเอาไว้

“ฮาฮาฮา”

แล้วจู่จู่หลงเฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมายกใหญ่ เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนน้ำตาเล็ดออกมาจนใบหน้าของจ้าวเม่าหางเกิดอาการปั้นยากขึ้นมาในทันที

“เจ้าหนู เจ้าหัวเราะด้วยเรื่องอันใด?” จ้าวเม่าหางกล่าวออกมาด้วยโทสะ

“ข้าเพียงแค่ถูกวิชาหน้าด้านของท่านมาทำให้เสียสมาธิไปก็เท่านั้น ข้ากำลังรวบรวมสมาธิเพื่อกล่าวคำพูดประโยคหนึ่งต่อท่านอยู่” หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไป

“คำพูดว่าอะไรกัน?” จ้าวเม่าหางหรี่ดวงตาลงแล้วจ้องมองไปที่หลงเฉิน

หลงเฉินเผยรอยยิ้มมีเลศนัยแล้วกล่าวเน้นย้ำออกไปทีละคำว่า “คิดได้ไกลแค่ไหน เจ้าก็ไสหัวไปให้ไกลเท่านั้น!”

หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ทว่ากลับชัดเจนและตอกย้ำเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นวาจาที่ไม่อ้อมค้อมแต่อย่างใด จนผู้คนโดยรอบเกิดอาการตกใจพร้อมทั้งระเบิดเสียงหัวเราะออกมายกใหญ่

“เจ้า……”

จ้าวเม่าหางทอสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาด้วยความโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด เส้นผมบนศีรษะตั้งขึ้นมาพร้อมกันคล้ายกับราชสีห์แผงขนในช่วงเวลาที่เกรี้ยวกราดขึ้นมา ความเกลียดชังต่อชายหนุ่มช่างมากมายจนอยากจะฟาดให้ตายคามือไปในทันที ทว่ากลับยังไม่กล้าพอที่จะกระทำต่อคนหมู่มากเช่นนี้

“ได้ เจ้ารอข้าก่อนเถิด”

แล้วเจ้าเม่าหางก็รีบหันกายและเดินจากไป เขาโกรธจนเสียสติขึ้นมาจนไประบายต่อแผ่นศิลาขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างเป็นถนนด้วยการเหยียบฝ่าเท้าลงไปจนศิลาผืนนั้นแหลกละเอียดเป็นทางยาว

เมื่อเห็นว่าจ้าวเม่าหางถูกหลงเฉินกระตุ้นโทสะจนหนีไปต่างก็หัวเราะฮาฮาออกมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ไถ่ถามหลงเฉินยกใหญ่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร อีกทั้งยังผูกมิตรไมตรีต่อเขาด้วย

หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของเฒ่าชราที่ไม่ได้เอ่ยวาจาชักชวนออกมาแต่อย่างใด จึงถามออกไปอย่างลังเลว่า “ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าถ้าหากข้าปรารถนาจะร่วมกับสำนักของท่าน ข้าจะได้รับการต้อนรับหรือไม่?”

เฒ่าชราที่หลับตาอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วปรายสายตามองไปที่หลงเฉินครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เป็นการยากที่เจ้าจะเข้าร่วมสำนักของข้าได้”….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset