เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 114 ความจริง

ด้านหน้ามีแม่น้ำที่ไหลไปจนสุดสายตา มันถูกห้อมล้อมไว้ด้วยหน้าผาสูงจากทั้งสองข้าง หน้าผาสูงชันทั้งสองนั้นดูราบเรียบราบกับถูกตัดให้แยกออกจากกันด้วยกระบี่ไม่มีผิด

 

 

 

 

 

แม่น้ำนี้มีความลึกหลายร้อยจั้ง และความเร็วในการไหลของแม่น้ำก็รวดเร็วและรุนแรงราวกับม้าพยศที่ส่งเสียงคำรามออกมาจากระยะไกล สายน้ำนั้นไหลวนไปมาไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

 

 

 

ชายสองคน คนหนึ่งหนุ่ม คนหนึ่งดูมีอายุ กำลังยืนอยู่บนขอบของหน้าผา พวกเขากำลังยืนมองดูกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่อยู่ด้านล่าง

 

 

 

 

 

“ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงพาข้ามายังที่แห่งนี้? ” หลงเฉินถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

 

 

 

 

ชายทั้งสองขึ้นหลังสัตว์มายาและโบยบินมาจนถึงสถานที่แห่งนี้ พวกเขาใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ถึงแม้ว่าหุบเขาแห่งนี้จะมีทิวทัศน์ที่งดงามและน่าตื่นตาเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่าหลงเทียนเซียวคงไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะพาหลงเฉินมาเพื่อชื่นชมทิวทัศน์อย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

“ที่ข้าพาเจ้ามายังที่นี่ก็เพื่อ…บอกเล่าถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของเจ้า” หลงเทียนเซียวยังคงจ้องมองไปยังสายธารที่เชี่ยวกราด ทว่าใบหน้าของเขากลับไม่รู้ว่าจะแสดงอารมณ์ใดออกมาดี

 

 

 

 

 

“ชาติกำเนิดที่แท้จริง? ” หลงเฉินย้ำคำพูดอีกครั้งด้วยความงุนงง

 

 

 

 

 

หลงเทียนเซียวถอนหายใจออกมาก่อนจะตบไปที่ไหล่ของหลงเฉินแล้วกล่าวว่า “แท้ที่จริงแล้วเจ้าไม่ใช่บุตรบังเกิดเกล้าของข้า ทว่าถูกเก็บมาเลี้ยงดูเท่านั้น”

 

 

 

 

 

“ท่านว่าอย่างไรนะ? ” หลงเฉินแตกตื่นขึ้นมาในทันทีพร้อมทั้งจ้องมองไปที่หลงเทียนเซียวอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง อีกทั้งใบหน้าของเขาก็เริ่มชาซ่านขึ้นมาทีละน้อย

 

 

 

 

 

“นี้จึงเป็นสาเหตุว่าเพราะเหตุใดมารดาของเจ้าจึงไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ นางไม่อยากให้เจ้าล่วงรู้ถึงความลับนี้มาตลอด” หลงเทียนเซียวกล่าวออกมาด้วยความลำบากใจไม่น้อย

 

 

 

 

 

แม้ว่าจะผ่านศึกต่อสู้มามากมายนับครั้งไม่ถ้วน หลงเฉินก็สามารถทนรับความลำบากเช่นนั้นได้ ทว่ากับสิ่งที่ได้ยินมาในตอนนี้กลับไม่อาจทานรับอย่างเต็มใจได้ ทั้งบิดาและมารดาของเขาไม่ใช่บิดาและมารดาบังเกิดเกล้าอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

หลงเฉินรู้สึกหวาดหวั่นและหวาดกลัวขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาหวิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนราวกับว่าได้กลายเป็นเพียงวิญญาณสายหนึ่งไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

“เฉินเอ๋อ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่บุตรบังเกิดเกล้าของข้า ทว่าในสายตาของข้ากับฮูหยินนั้นก็เห็นเจ้าเป็นบุตรแท้ๆ ของพวกเราอยู่ดี” หลงเทียนเซียวจ้องมองไปยังใบหน้าที่มีแต่ความสับสนของหลงเฉินจึงกล่าวปลอบประโลมออกมา

 

 

 

 

 

“ในเมื่อข้าไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของพวกท่าน แล้วเหตุใดจึงได้มีคำมั่นสัญญาต่อกันได้เล่า? ” หลงเฉินถามออกมา

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินวาจาฉุนเฉียวของหลงเฉิน หลงเทียนเซียวก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด แล้วหันไปจ้องมองไปยังสายธารที่ไหลเชี่ยวอีกครั้งหนึ่ง “ในช่วงเวลาที่ข้าและมารดาของเจ้ากำลังมีบุตรชายด้วยกันหนึ่งคน ทว่าขณะที่นางตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่เจ็ดก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจนทำให้พวกเราต้องสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไป

 

 

 

 

 

ในเวลานั้นมารดาของเจ้าร่ำไห้ไม่เป็นอันกินอันนอนด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่เสื่อมคลาย อีกทั้งข้าเองก็ไปออกรบอยู่ นางเอาแต่โทษตัวเองจนคิดสั้นไปหลายครั้ง หลังจากนั้นข้าก็ได้พาเจ้ากลับมาด้วย นางจึงบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ข้าฟัง”

 

 

 

 

 

“ยิงฮวาเป็นผู้กระทำใช่หรือไม่? ” หลงเฉินกัดฟันกรอดก่อนที่จะถามออกไป

 

 

 

 

 

หลงเทียนเซียวส่ายหน้าไปมา “ไม่ใช่ เมื่อขณะนั้นข้ากับยิงฮวายังไม่มีความแค้นอันใดต่อกัน เรื่องนิ้วที่ถูกตัดไปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาในภายหลัง

 

 

 

 

 

เป็นมารดาของเจ้าที่ไม่ระวังตัวเอง แม้เรื่องราวจะผ่านพ้นไปนานแล้ว นางก็ยังเอาแต่ทุกข์ระทมอยู่อย่างนั้น อีกทั้งยังเอาแต่กล่าวโทษตัวเองไม่หยุด

 

 

 

 

 

หลังจากนั้นเมื่อข้าได้อุ้มเจ้ากลับมาด้วยก็เป็นเหมือนกับการได้ชดเชยสิ่งที่มารดาของเจ้าได้ขาดหายไป จะว่าไปแล้วพวกเราต้องขอบคุณเจ้าจึงจะถูกต้อง ไม่เช่นนั้นมารดาเจ้าคงจะเจ็บปวดใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน”

 

 

 

 

 

หลงเฉินเงียบไปและไม่คิดจะกล่าววาจาอันใดออกมาอีก หลงเทียนเซียวจึงตบเข้าไปที่บ่าของเขาเบาๆ แล้วกล่าวต่ออีกว่า “เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกก็อย่าได้มองโลกในแง่ร้ายเหมือนกับหญิงสาวไปเลย

 

 

 

 

 

ต่อให้เจ้าไม่ใช่บุตรชายบังเกิดเกล้าของข้า ข้าก็ยังจะคอยบดบังลมฝนเพื่อเจ้าไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน หากว่าข้าต้องพบเจอกับความยากลำบาก เจ้าก็ไม่คิดที่จะแลกชีวิตเพื่อปกป้องข้าอย่างนั้นหรือ? ฉะนั้นก็อย่างได้เก็บเรื่องเช่นนี้มาคิดให้มากเลย”

 

 

 

 

 

หลงเฉินพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย บิดาและมารดาต่างก็รักและทะนุถนอมเขามาโดยตลอดทั้งที่ไม่ใช่บิดาและมารดาบังเกิดเกล้า ทว่าในเวลานี้ก็ยังยากที่หลงเฉินจะทนรับความจริงเช่นนี้ได้

 

 

 

 

 

“ข้าและมารดาของเจ้าต่างก็เห็นเจ้าเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของพวกเรา โดยเฉพาะมารดาของเจ้า หลังจากที่สูญเสียบุตรชายไปนางก็ทุกข์ระทมเป็นอย่างมาก ฉะนั้นเจ้าจึงเป็นดั่งทั้งชีวิตของนางเลยก็ว่าได้” หลงเทียนเซียวยังคงกล่าวปลอบประโลมออกมา

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อนานมาแล้วหลงเทียนเซียวได้ส่งเฉินเฟยมาเพื่อคุ้มครองตระกูลหลง ทว่าหากเกิดอันตรายอันใดให้เลือกปกป้องเขาก่อนเป็นอันดับแรก

 

 

 

 

 

ในครั้งนั้นเขาจึงคิดโกรธเกลียดบิดาที่คิดจะทิ้งมารดาเพื่อปกป้องเพียงเขาคนเดียว เมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปากของบิดาแล้ว ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงความจริงที่ลึกซึ้งแล้ว

 

 

 

 

 

เมื่อมารดาได้สูญเสียบุตรชายไปแล้วหนึ่งคน แน่นอนว่านางย่อมไม่อาจทนรับความเจ็บปวดที่จะสูญเสียบุตรชายคนที่สองไป หากบิดาช่วยเหลือมารดาแล้วปล่อยให้เขาตายไป มารดาก็คงจะเกลียดชังบิดาไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นถึงความรักของบิดาและมารดาที่ทำเพื่อเขาถึงเพียงนี้ หลงเฉินก็รู้สึกตื้นตันใจจนหยาดน้ำตาหลั่งไหลออกมาอาบสองแก้มอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ หลังจากนั้นเขาก็ร้องระงมออกมาเสียงดังไม่หยุด

 

 

 

 

 

ความรักของบิดานั้นเปรียบเสมือนขุนเขาอันยิ่งใหญ่ที่โอบล้อมปกป้องเขาไว้ ส่วนความรักของมารดาก็เปรียบเสมือนมหาสมุทรคอยหล่อเลี้ยงชีวิตของเขา ต่อให้ใช้ทั้งชีวิตก็ไม่อาจตอบแทนพวกท่านได้หมด และหากเขายังคิดที่จะจากไปก็ช่างไร้น้ำใจจนเกินไปแล้ว

 

 

 

 

 

“ท่านพ่อ ข้า……” หลงเฉินคิดจะปฏิเสธการออกไปดูโลกภายนอก ทว่าเสียงทุ้มต่ำของหลงเทียนเซียวกลับแทรกขึ้นมาก่อน

 

 

 

 

 

“เฉินเอ๋อ เกิดเป็นบุรุษจำเป็นจะต้องออกไปท่องให้ทั่วทั้งสี่ทิศ อย่าได้หมกตัวอยู่แต่ในเรือนเหมือนกับอิสตรี หากเจ้าต้องปล่อยวางความฝันของตัวเองไปเพื่อข้ากับมารดา เจ้าคงจะต้องเสียใจไปทั้งชีวิตอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

และข้าเองก็เข้าใจมารดาของเจ้าดี ถึงแม้ว่านางจะเสียใจในตอนนี้ ทว่าภายในส่วนลึกของจิตใจก็หวังจะให้เจ้าพบเจอกับความสุข”

 

 

 

 

 

หลงเทียนเซียวหยุดพ่นลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า “เจ้าเองก็คงจะสังเกตได้แล้วว่าร่างกายของเจ้านั้นได้ถูกคนลงมือกระทำบางอย่างมาก่อน

 

 

 

 

 

ข้าเองก็ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดกันที่ลงมือได้อย่างโหดเ**้ยมถึงเพียงนี้ ถึงกับลงมือต่อทารกน้อยที่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกได้เพียงแค่เดือนเดียว ในตอนที่ข้าเจอเจ้า ข้าพบว่าจุดตันเถียนของเจ้าและตรงท้องน้อยมีรูประหลาดอยู่สามรูที่ยังไม่ได้รับการรักษา

 

 

 

 

 

หากข้าเดาไม่ผิด เส้นรากปราณภายในจุดตันเถียนของเจ้าก็ได้ถูกคนใช้เครื่องมือพิเศษชนิดหนึ่งดึงเอาออกไปด้วย ทว่าอีกสองจุดนั้นข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ข้าคิดว่ามันคงเกิดขึ้นในตอนที่เจ้าถูกชิงเส้นรากปราณไป”

 

 

 

 

 

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดทว่าในตอนนี้หัวใจของหลงเฉินกลับเต้นระรัว เขาเคยคิดว่ายิงฮวาเป็นผู้กระทำต่อร่างกายของเขา ทว่าแท้ที่จริงแล้วกลับเป็นเหตุผลอื่นและผู้อื่นแทน

 

 

 

 

 

หลงเทียนเซียวทราบแค่เพียงว่าจุดตันเถียนของหลงเฉินว่างเปล่า และรากปราณก็ถูกช่วงชิงไปเท่านั้น ทว่าหลงเฉินที่ผนึกเข้ากับความทรงจำของจักรพรรดิโอสถได้ทราบแล้วว่าไม่เพียงแค่รากปราณที่ถูกช่วงชิงไปเท่านั้น ทว่ายังมีกระดูกปราณและปราณโลหิตที่ถูกชิงไปด้วย

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นต้องมีจิตใจที่เลือดเย็นเพียงใดจึงสามารถลงมือกับทารกที่เพิ่งเกิดมาได้แค่เพียงเดือนเดียว เขาจึงกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

“ตั้งแต่ที่ทราบเรื่องของเจ้า ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าชั่วชีวิตของเจ้าคงจะไม่อาจฝึกยุทธ์ได้อีกแล้ว ข้าจึงสัญญาว่าด้วยพลังความสามารถของหลงเทียนเซียวผู้นี้จะคอยดูแลสองแม่ลูกให้มีกินมีใช้ไปทั้งชีวิต

 

 

 

 

 

ทว่าสิ่งที่ข้าเสียใจที่สุดกลับเกิดขึ้นมารวดเร็วเหลือเกิน ข้าต้องเข้าไปอยู่ภายในวังวนที่ไม่อาจออกมาได้จนทำให้พวกเจ้าต้องตกระกำลำบาก” หลงเทียนเซียวส่ายหน้าไปมาอย่างหดหู่ใจ

 

 

 

 

 

“ข้ากับมารดาของเจ้าหวังจะให้เจ้าสามารถยืนหยัดขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง หากเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ไม่จำเป็นจะต้องห่วงเจ้าให้มากมายอีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้ชะตาชีวิตของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้ากับนางก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะคุ้มครองเจ้าได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

ข้าเองก็ได้เตรียมใจเอาไว้พร้อมแล้ว ที่นำพาเจ้ามายังสถานที่แห่งนี้ก็เพื่อบอกเล่าเรื่องทั้งหมดให้แก่เจ้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะจากไป ทว่าอย่างไรเสียพวกเราก็ยังคงเป็นบิดามารดาของเจ้า และก่อนที่บุตรอันเป็นที่รักของพวกเราจะจากไป ข้าอยากให้เจ้าล่วงรู้ถึงความจริงที่เจ้าสมควรจะรู้”

 

 

 

 

 

“แล้วบิดามารดาที่แท้จริงของข้าเป็นผู้ใดกัน? ” หลงเฉินหยุดเสียงร่ำไห้ลง พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถามออกมา

 

 

 

 

 

หลงเทียนเซียวส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ทราบ ข้าเพียงบังเอิญไปเจอเจ้าในสถานที่แห่งนี้ ที่แห่งนั้นมียอดฝีมือสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่อย่างดุเดือด แม่น้ำที่เจ้าเห็นอยู่ตรงนี้เกิดมาจากการฟันด้วยกระบี่เพียงครั้งเดียวของหนึ่งในยอดฝีมือสองคนนั้น”

 

 

 

 

 

หลงเฉินเบิกตากลมโตจนแทบจะถลนออกมาในทันที ความเงียบงันเข้าครอบงำที่แห่งนั้นชั่วขณะหนึ่ง แม้แต่คำพูดเดียวก็ไม่อาจเค้นขึ้นมาได้

 

 

 

 

 

“ถ้าหากข้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเองก็คงจะไม่เชื่อ ทว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง ในตอนที่ข้าพบเจ้านั้นกำลังมีคนสองคนต่อสู้กันอยู่กลางอากาศ

 

 

 

 

 

บนร่างกายของพวกเขาเปล่งประกายแสงอันคมกล้าที่เสียดผ่านห้วงอากาศออกมาเป็นระลอก รังสีกระบี่ทรงพลังจนตัดผ่านได้แม้กระทั่งขุนเขา…”

 

 

 

 

 

ภายในดวงตาของหลงเทียนเซียวเหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย เขาหวนนึกถึงความทรงจำที่ผ่านพ้นไปสิบกว่าปีขึ้นมา เป็นความทรงจำที่น่าตกใจและไม่อาจลืมเลือนไปได้

 

 

 

 

 

“ช่วงเวลานั้นข้าได้ออกท่องยุทธภพเพียงลำพังเพื่อออกล่ากวางยักษ์เขาแดงตนหนึ่งสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการหลอมโอสถบำรุงร่างกายให้แก่มารดาของเจ้าที่กำลังตั้งครรภ์ ทว่ากลับได้มาพบเจอกับการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้า

 

 

 

 

 

ข้าได้หลบซ่อนอยู่หลังศิลาก้อนใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากสนามต่อสู้ ทว่าคนผู้หนึ่งใช้วิชาลี้ลับบางอย่างออกมาจนปราณกระบี่ของเขาพุ่งทะลักขึ้นมา อักขระประหลาดปกคลุมทั่วท้องฟ้า และเขาก็สังหารยอดฝีมืออีกคนภายในกระบี่เดียว

 

 

 

 

 

การโจมตีจากกระบี่นั้นทำให้เกิดแม่น้ำสายใหญ่นี้ขึ้นมา ในตอนนั้นเขาตกตะลึงถึงขีดสุด ข้าไม่เคยพบเจอกับยอดฝีมือที่มีระดับสูงถึงเพียงนั้นมาก่อน

 

 

 

 

 

หลังจากที่คนผู้นั้นได้ใช้กระบี่เดียวสังหารศัตรูลงไปแล้ว ข้าจึงเห็นว่าเขาได้อุ้มทารกน้อยขึ้นมา จากนั้นเขาก็ได้ย่างกรายเข้ามาหาโดยที่ข้าไม่อาจขยับเขยื้อนร่างกายหลบหนีได้ คล้ายกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยพลังกดดันบางอย่าง ตอนนั้นข้าคิดว่าชีวิตคงจะต้องจบสิ้นลงตรงนั้นเสียแล้ว

 

 

 

 

 

ทว่าไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะส่งมอบทารกน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขามาให้ข้า แล้วบอกให้เลี้ยงดูเด็กน้อยผู้นั้นให้เติบใหญ่ขึ้นมา

 

 

 

 

 

ข้านั้นแตกตื่นจนสติหลุดลอยออกไป ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะมองว่าเขาเป็นใคร แล้วส่งมอบทารกน้อยมาให้ด้วยเหตุอันใด รู้เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นช่างน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

หลังจากนั้นเขาก็ได้กล่าวคำพูดกับข้าอยู่หลายประโยค แล้วก็ได้ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ก่อนจะพลิกฝ่ามือครั้งหนึ่งแล้วส่งข้าออกมาในที่ที่ห่างไกล ร่างกายของเขาจู่ๆ ก็มีอักขระและเส้นจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นมาทั่วร่าง และร่างของเขาก็สลายไปอย่างช้าๆ ” เมื่อกล่าวมาจนถึงตรงนี้หลงเทียนเซียวก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง คำบอกเล่าของเขาราวกับว่าเหมือนกับได้กลับไปสู่วันวานที่ยังตราตรึงอยู่ในห้วงความทรงจำ

 

 

 

 

 

“เฉินเอ๋อ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ทราบว่าบิดาและมารดาบังเกิดเกล้าของเจ้านั้นเป็นผู้ใด ทว่าข้าตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่าพวกเขาจะต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่จนน่าตกใจอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

เพราะว่าคนที่ส่งเจ้าให้กับข้านั้นเรียกขานเจ้าว่านายน้อย หากบุคคลที่มีแข็งแกร่งเช่นนั้นยังเป็นได้แค่ข้ารับใช้ เช่นนั้นบิดาและมารดาที่แท้จริงของเจ้าจะต้องยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย”

 

 

 

 

 

หลงเฉินเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ความแข็งแกร่งของคนผู้หนึ่งสามารถตัดผ่าขุนเขาแห่งนี้จนกลายเป็นสองซีกได้ด้วยกระบี่เดียวยังเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้เท่านั้น แล้วบิดามารดาของเขาจะแข็งแกร่งไปถึงระดับใดกัน?

 

 

 

 

 

หลงเทียนเซียวกล่าวต่ออีกว่า “หลังจากนั้นข้าก็ได้ไปค้นหาในตำราโบราณหลายเล่มที่เอ่ยถึงอักขระและลายเส้นประหลาดที่ปรากฎบนตัวของยอดฝีมือผู้นั้นก่อนที่เขาจะสลายไป

 

 

 

 

 

วิชาสุดท้ายที่เขาใช้เรียกว่าวิถีเปลี่ยนผัน ทว่าข้าในตอนนั้นข้าไม่เข้าใจมันแม้แต่น้อบ ทว่าภายหลังมา ข้าพอจะคาดเดาได้ว่ามันน่าจะเป็นวิชาลับบางอย่างที่สามารถลบล้างร่องรอยทุกอย่าง ยอดฝีมือผู้นั้นทำลายตัวเองก็เพื่อจะปกป้องเจ้า

 

 

 

 

 

หลังจากที่ข้าพาเจ้ากลับมายังจักรวรรดิก็ได้แต่หวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ และย้ำเตือนอยู่ตลอดว่าเจ้าคือบุตรชายของข้า ชั่วชีวิตนี้จะไม่ให้สิ่งใดมาแยกพวกเราจากกันได้ ทว่าจากศึกกลางเมืองที่ผ่านมมานี้ได้ทำให้ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นชะตาชีวิตของเจ้า”

 

 

 

 

 

“ชะตาชีวิตอะไรกัน? ” หลงเฉินถามออกมา

 

 

 

 

 

“ก่อนที่คนผู้นั้นจะหายไป เขาได้สั่งเสียเอาไว้ว่าหากเจ้าไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ ก็จงให้เจ้าใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาอย่างมีความสุขไปทั้งชีวิต ทว่าวันใดที่เจ้าสามารถฝึกยุทธ์ได้ก็จงให้ข้าบอกถึงชาติกำเนิดของเจ้า แล้วให้เจ้าเลือกเองว่าจะทำเช่นไรต่อไป

 

 

 

 

 

เดิมทีแล้วข้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้ของเจ้าก็คงไม่อาจทราบถึงความจริงนี้ได้อีกแล้ว ทว่าเมื่อเห็นเจ้าต่อสู้กับชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นกับตาตัวเอง ข้าก็ตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่าเจ้าจะต้องจากไปแล้วจริงๆ

 

 

 

 

 

ส่วนที่มารดาของเจ้าไม่ต้องการให้เจ้าจากนางไป ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวเจ้าจะรู้ถึงชาติกำเนิดแล้วจะตามไปล้างแค้นคนพวกนั้น”

 

 

 

 

 

คนที่นำพาหลงเฉินหลบหนีออกมาจากที่ใดสักแห่งได้พบกับสุ่มโจมตีมาตลอดทาง และเพื่อปกป้องหลงเฉินเอาไว้ เขาจึงต้องใช้วิถีเปลี่ยนผันออกมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นก็แสดงว่าศัตรูนั้นจะต้องน่าสะพรึงกลัวมาก

 

 

 

 

 

ฮูหยินหลงคาดเดาเอาไว้ว่าหากหลงเฉินได้ล่วงรู้ถึงชาติกำเนิดที่แท้จริง แน่นอนว่าย่อมเขาต้องเลือกที่จะล้างแค้น อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูร้ายกาจมากมายที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน

 

 

 

 

 

“แน่นอนความแค้นย่อมต้องได้รับการชำระ ทว่าท่านพ่อโปรดวางใจได้ ข้าย่อมไม่เข้าไปหาที่ตายอย่างโง่งมแน่นอน” หลงเฉินกล่าวอย่างหนักแน่น

 

 

 

 

 

คนพวกนั้นขโมยทุกอย่างไปจากเขา ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตอบแทนกลับไปอย่างทัดเทียมกันอย่างแน่นอน ทว่าก่อนจะไปถึงเวลานั้น เขาจำเป็นที่จะต้องเพิ่มพูนพลังฝีมือให้สูงยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นคงจะเป็นการไปหาที่ตายเท่านั้น

 

 

 

 

 

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องตัดสินใจเช่นนี้ ตามข้ามา บิดาและมารดาของเจ้าได้ทิ้งบางสิ่งไว้ให้เจ้าด้วย” เมื่อหลงเทียนเซียวกล่าวจบก็ได้โบกมือครั้งหนึ่ง ทันให้นั้นศิลาก้อนใหญ่เบื้องหน้าก็ได้ระเบิดออก เผยให้เห็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่อยู่ภายใน

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset