“อา……พวกเจ้าสมควรตาย……จงตายไปเสียเถิด”
ชายหนุ่มชุดขาวถูกกระตุ้นโทสะขึ้นมาจนบ้าคลั่งไปแล้ว หลังจากที่มองไปยังลำแสงที่ได้ส่องสว่างขึ้นมา ภายในดวงตาคู่นั้นก็คล้ายกับเกิดเปลวเพลิงพุ่งพล่านขึ้นมาเป็นสาย
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้า”
หลงเฉินมองไปที่ชายหนุ่มชุดขาว แล้วตอบกลับไปว่า “แท้ที่จริงแล้วพวกเจ้าก็เป็นแค่ตัวโง่งมกลุ่มหนึ่งก็เท่านั้นเอง เห็นชัดอยู่แล้วว่าระดับพลังของเรานั้นช่างแตกต่างกัน เจ้ายังคิดที่จะยกตนมาข่มท่านอยู่อย่างนั้นหรือ”
ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะไม่เข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ตาม ทว่าหลังจากที่ได้ยินบิดากล่าวออกมาเช่นนั้นก็พอที่จะคาดเดาเรื่องราวได้ไม่ยากเย็นนัก
หากกล่าวตามความเป็นจริงแล้วตระกูลหลงถือว่าเป็นผู้เคราะห์ร้ายของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทว่าเจ้าโง่ผู้นั้นกลับเอาความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาโยนให้พวกเขา ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“แล้วเหตุใดกลุ่มแมลงอย่างพวกเจ้าต้องตอบโต้ขึ้นมาด้วยเล่า? ถ้าหากพวกเจ้าไม่ตอบโต้ก็คงจะไม่เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ ฉะนั้นพวกเจ้าก็สมควรตายจึงจะถูกต้อง” ชายหนุ่มชุดขาวคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
“ความหลักแหลมและความโง่เขลานั้นมีเส้นบางๆ ที่เรียกว่าความบ้ากั้นอยู่” หลงเฉินปรายสายตามองไปยังชายหนุ่มชุดขาวอย่างเย้ยหยัน คนผู้นี้ไม่ใช่คนปกติแล้ว เพราะไม่มีการกระทำอันใดแตกต่างไปจากสุนัขบ้าตัวหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
“รบกวนท่านทั้งสองช่วยจัดการกับเจ้าสุนัขบ้าตัวนั้นให้ด้วย” หลงเฉินหันไปบอกกล่าวกับยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นทั้งสองคนที่ติดตามหลงเทียนเซียวมาตั้งแต่แรก
หลงเฉินสำรวจเห็นพลังการต่อสู้ของทั้งสองคนก็ถือว่าสูงส่งที่สุดในฝ่ายนี้แล้ว การมอบหมายให้พวกเขาสังหารชายหนุ่มชุดขาวคงจะไม่เป็นปัญหาที่ยากเย็นจนเกินไป
“มอบให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด”
ยอดฝีมือทั้งสองพยักหน้ารับครั้งหนึ่ง การมาเยือนในสถานที่แห่งนี้พวกเขากลับไม่ได้แสดงพลังฝีมือของตัวเองเท่าที่สมควรจะแสดงออกมา ช่างเป็นเรื่องที่น่าสมเพสยิ่งนัก ฉะนั้นในเวลาเช่นนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาควรจะลงมือให้ถึงที่สุดแล้ว
“ฮาฮาฮาฮา”
ชายหนุ่มชุดขาวระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ภายในดวงตาสาดประกายรังสีอาฆาตออกมาอย่างรุนแรง “กลุ่มแมลงอย่างพวกเจ้าช่างน่าชังยิ่งนัก ทำลายการใหญ่ของข้าจนสูญสิ้น ทำให้สิ่งที่ข้าทุ่มเทมาทั้งชีวิตต้องสูญเปล่าไปในทันตา เช่นนี้จงไปอยู่ในหลุมด้วยกันทั้งหมดนั่นซะ”
ทันทีที่กล่าวจบชายหนุ่มผู้นั้นก็กลืนกินโอสถเม็ดหนึ่งเข้าไป โอสถเม็ดนั้นมีสีดำทมิฬ ประจวบเหมาะกับที่ยอดฝีมือสองคนของหลงเทียนเซียวได้เร่งฝีเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เหอะ เพิ่งจะมาใช้โอสถในตอนนี้ก็ถือว่าสายไปเสียแล้ว”
ยุทโธปกรณ์ทั้งสองชิ้นสาดเป็นประกายแสงอันเจิดจ้าฟาดเข้าไปที่ร่างของชายหนุ่มชุดขาวอย่างไร้ความปราณี
หลงเฉินที่กำลังจ้องมองไปยังโอสถเม็ดสีดำเม็ดนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาจนรูม่านตาเบิกกว้าง แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าโอสถเม็ดนั้นคือสิ่งใด
“ระวัง!”
ทว่าคำเตือนของหลงเฉินกลับช้าไปเสียแล้ว ชายหนุ่มชุดขาวเหยียดรอยยิ้มกว้างขึ้นที่มุมปาก พลันก็ได้พลิกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นแล้วฟาดออกไปทางด้านหน้าอย่างรุนแรง
ฉับ!
หมอกโลหิตฉีดขึ้นมาเป็นสองกลุ่มทาทับท้องฟ้าสีครามจนกลายเป็นสีแดงชาด ละอองโลหิตฟุ้งกระจายคล้ายกับนกน้อยที่บินอยู่กลางอากาศ พาให้ทุกผู้คนเกิดความหวาดผวาขึ้นมาในทันที
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน?”
หลงเทียนเซียวและกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังมองไปยังฉากที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความหวาดกลัว ยอดฝีมือทั้งสองคนมีความแข็งแกร่งระดับขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเชียวนะ แล้วเหตุใดถึงได้ถูกสังหารลงจนไม่มีให้เห็นแม้กระทั่งกระดูกและเศษชิ้นเนื้อกัน
“โอสถกร่อนปะทุพลังโลหิต สิ่งนั้นคือโอสถกร่อนปะทุพลังโลหิต?”
หลงเฉินเองก็แตกตื่นขึ้นมาอย่างมากมายไม่แพ้กัน เขาจดจำโอสถเม็ดนั้นได้ขึ้นใจว่าเป็นโอสถที่ตัวเองเคยหลอมขึ้นมา แล้วชายหนุ่มชุดขาวมีโอสถนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ อีกทั้งยังเอาออกมาใช้ด้วย
โอสถกร่อนปะทุพลังโลหิตเป็นหนึ่งในโอสถที่กัดกินพลังชีวิตของผู้ใช้เป็นอย่างมาก การเผาผลาญพลังชีวิตไปก็จะทำให้ปะทุพลังอันมหาศาลขึ้นมาได้มากกว่าช่วงเวลาปกติ ทว่าการใช้มันเพียงแค่เม็ดเดียวกลับทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าหวาดกลัวนั่นก็คือ——ความตาย
เมื่อกลืนกินโอสถกร่อนปะทุพลังโลหิตลงไปแล้ว พลังชีวิตของชายหนุ่มชุดขาวก็จะเข้าสู่ห้วงเวลาสุดท้ายอันแสนคับขันราวกับเป็นตะเกียงไฟที่ใกล้จะมอดดับเต็มทีแล้ว
ร่างกายของชายหนุ่มชุดขาวเปรอะไปด้วยคราบโลหิตอยู่ทั่ว ดวงตาคู่คมแสนจะดุดันประดุจภูตผีปีศาจกำลังสิงร่างกำลังจ้องมองมาที่หลงเฉินและผู้คนอีกมากมายที่อยู่เบื้องหน้าของเขา
ภารกิจนี้ไม่ได้เป็นของชายหนุ่มชุดขาวแต่เพียงผู้เดียว ทว่าเป็นแผนการของคนรับใช้ภายในสำนักแห่งหนึ่ง หากเขาสามารถทำภารกิจนี้ได้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สาขานอก
ทว่าชายหนุ่มชุดขาวก็ได้จัดฉากให้คนรับใช้ผู้นั้นได้พบเจอกับความตายในรูปแบบของ ‘อุบัติเหตุ’ จากนั้นก็ได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลอื่นจนได้รับภารกิจนี้มาอย่างเต็มตัว
ขอเพียงเขาทำภารกิจนี้ได้สำเร็จก็จะสามารถเลื่อนขั้นไปเป็นศิษย์สายในได้แล้ว อีกทั้งยังมีโอกาสเป็นศิษย์รักได้อย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ก่อนหน้านี้แผนการขององค์ชายสี่จะได้ล้มเหลวไป ทว่าเขากลับไม่ร้อนรนเพราะตัวเองสามารถสังหารหลงเทียนเซียวและพวกพ้องในภายหลังได้อยู่แล้ว เช่นนั้นแผนการย่อมดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น
เพราะเขาไม่สามารถเปิดเผยตัวตนและเรื่องราวของเขาให้คนของทางสำนักล่วงรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา จึงดำเนินแผนการทั้งหมดโดยชักใยอยู่เบื้องหลังขององค์ชายสี่ต่อไป อีกทั้งยังต้องสร้างเส้นทางอีกสายหนึ่งเพื่อสร้างค่ายกลกักเก็บปราณก่อนจะเข้าไปเคลื่อนย้ายศิลาปราณออกไป
ถึงแม้ว่าแผนการทั้งหมดนี้จะสิ้นเปลืองเวลาไปเป็นอย่างมาก ทว่ากลับปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าสมการรอคอยอย่างถึงที่สุด
แต่ในขณะนี้ค่ายกลกักเก็บปราณกลับถูกทำลายลงจนไม่เหลือซาก อีกทั้งพลังลมปราณภายในเหมืองศิลาปราณก็ถูกชักนำออกไปจนหมดสิ้น การเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้จะต้องชักนำคนจากสำนักใหญ่ๆ เข้ามาอย่างแน่นอน
จึงกล่าวได้ว่าภารกิจของเขาในครั้งนี้ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ไม่เพียงแต่จะสูญเสียทุกอย่างไป กลับต้องเผชิญหน้ากับบทลงโทษที่หนักหนาสาหัสที่สุดจากทางสำนักอีก
ภายในจิตใจของชายหนุ่มชุดขาวจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังและความโกรธแค้นอย่างบ้าคลั่งจนไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้อีกแล้ว
หลังจากที่ชายหนุ่มชุดขาวได้กลืนโอสถกร่อนปะทุพลังโลหิตลงไป จากเดิมที่เป็นชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบกว่าปีก็ได้กลายเป็นชายวัยกลางคนไปภายในพริบตาเดียว
นี่เป็นอีกหนึ่งความน่าหวาดกลัวของโอสถกร่อนปะทุพลังโลหิตที่ลดทอนพลังชีวิตชายหนุ่มชุดขาวอย่างบ้าคลั่ง ทั้งหมุนเวียนพลังขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาล ทว่าทุกครั้งที่เขาได้หายใจออกมาก็เหมือนถูกสูบพลังชีวิตไปแล้วหนึ่งปี
“ตายไปซะเจ้าพวกแมลงน่ารำคาญ”
ชายหนุ่มชุดขาวคำรามเสียงทุ้มต่ำออกมาแล้วก็พุ่งหมัดที่หอบเอาสายลมนับหมื่นสายพุ่งทะยานเข้าไปยังกลุ่มผู้คนที่อยู่เบื้องหน้า แรงกดดันจนน่าหวาดผวาทำให้ผู้คนทั้งหมดแทบจะหยุดหายใจ อีกทั้งยังรู้สึกว่าเลือดลมภายในร่างกายปั่นป่วนขึ้นมาจนไม่สบาย หากถูกลมพายุดูดกลืนเข้าไปมีแต่จะต้องตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย
หลงเทียนเซียวทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึก เขาตระหนักได้แล้วว่าอย่างไรก็จะต้องตายอยู่ดี จึงคิดจะใช้ร่างกายเข้าต้านทานพลังขุมนั้นเอาไว้ พลันก็ได้พุ่งตัวออกไปในทันที
“หมัดทลายวายุ”
ทว่าหลงเฉินกลับเร็วเสียยิ่งกว่าเขา กำปั้นใหญ่ข้างหนึ่งพุ่งทะยานสู่ใจกลางของสายลมที่โบกพัดอย่างคลุ้มคลั่ง
“ฮูม”
หมัดของหลงเฉินที่ส่งออกไปก่อตัวพร้อมกับคมวายุขนาดใหญ่สายหนึ่งที่ผ่านข้างกายของเขามาเมื่อครู่ สิ่งนั้นก็คือกระบวนท่าของเสี่ยวเสว่ยนั่นเอง เจ้าหนูน้อยคล้ายกับสัมผัสได้ถึงความคับขันในร่างกายของหลงเฉินจึงได้ใช้กระบวนท่าคมวายุออกไป
“ตูม”
ท้องนภาสั่นสะเทือนเลือนลั่นราวกับจะแตกสลายในเร็วๆ นี้ หลงเทียนเซียวและผู้คนที่อยู่ร่วมกันต่างก็คล้ายกับต้นหญ้าที่กำลังลมกรรโชกแรงพัดจนลอยกระเด็นออกไปไกลเป็นอย่างยิ่ง เจ้าอ้วนและพวกพ้องที่มีพลังยุทธ์อันน้อยนิดต่างก็เกิดอาการมึนงงขึ้นมาในทันที
หลงเทียนเซียวรีบหันไปมองยังแผ่นหลังของบุตรชาย บรรยากาศที่เบื้องหน้าปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันของเศษดินทราย ทว่ากลับมีช่องโหวขนาดใหญ่ที่เสี่ยวเสว่ยกำลังร่ายระบำกรงเล็บไปมาอย่างไม่คิดชีวิต
ทันใดนั้นเสี่ยวเสว่ยก็ได้หยุดการเคลื่อนไหวอันบ้าคลั่งนั้นลงไป ก่อนจะกัดบางอย่างไปคำหนึ่ง จากนั้นก็ดึงร่างของหลงเฉินออกมาจากกลุ่มหมอกควันนั้น
หลงเฉินหอบหายใจอย่างรัวแรงราวกับกำลังตกอยู่ในมรสุมอันรุ่มร้อน กระบวนท่าเมื่อครู่นี้ได้ทำให้เขาสูญเสียพลังไปจนหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนกับกำลังจะหมดลมหายใจไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น
ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คล้ายกับกระดูกทั้งหมดแตกหักไปจนสิ้น กล้ามเนื้ออ่อนล้าอย่างถึงขีดสุด
“ยังฝืนกันอยู่อีกหรือพวกเจ้าแมลง จงตายไปเสียเถิด”
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินยังสามารถรับกระบวนท่าของตัวเองเอาไว้ได้ ชายหนุ่มชุดขาวจึงทวีความเกรี้ยวกราดขึ้นมายิ่งกว่าเดิม ในขณะที่กำลังจะออกหมัดไปอีกครั้ง ทันใดนั้นเองสาตาของเขาก็สบไปที่ขนสีแดงที่อยู่หว่างคิ้วของเสี่ยวเสว่ย
“สัตว์มายาระดับสาม หมาป่าหิมะแดงเพลิงอย่างนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มชุดขาวตกใจขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สนใจเสี่ยวเสว่ยมากนัก หมาป่าหิมะแดงเพลิงถือว่าเป็นสัตว์มายาที่หายากแล้ว ทว่านี่ยังเป็นถึงระดับสาม อีกทั้งเมื่ออยู่ในช่วงโตเต็มวัยจะมีพลังการต่อสู้มากกว่าเขาเสียอีก
เมื่อเห็นเสี่ยวเสว่ย เขาจึงเกิดความคิดที่จะนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงของตนในทันที ทว่าความคิดนั้นก็ได้สลายหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเขาได้กลืนโอสถกร่อนปะทุพลังโลหิตลงไปแล้ว จึงได้แต่มองไปยังเสี่ยวเสว่ยด้วยเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“แม้แต่เจ้าก็คิดจะเย้ยหยันข้าอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ตายไปด้วยกันทั้งหมดนั่นเสียเถิด” ชายหนุ่มชุดขาวปะทุความโกรธแค้นขึ้นมาพร้อมทั้งออกหมัดไปอีกครั้ง
“เสี่ยวเสว่ยหนีเร็ว”
หลงเฉินพยายามเค้นน้ำเสียงที่แหบพร่าออกมาให้ดังที่สุด เพราะเขาไม่อาจสูญเสียเสี่ยวเสว่ยด้วยเรื่องราวเช่นนี้
เสี่ยวเสว่ยไม่สนใจต่อเสียงเรียกขานของหลงเฉินเลยแม้แต่น้อย มันอ้าปากพ่นคมวายุออกมาอีกครั้งเพื่อต้านพลังหมัดที่กำลังพุ่งเข้ามา ทว่าพลังหมัดนั้นกลับแข็งแกร่งมากจนเกินไปจึงเข้ากระทบจนมาถึงตัวของมันได้
“ไม่”
“ซูม”
หลงเฉินเกิดอาการจุกที่หน้าอกในทันทีเมื่อเห็นร่างของเสี่ยวเสว่ยถูกกระแทกจากพายุหมัดอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา อีกทั้งยังมีเสียงคล้ายกับกระดูกที่หักดังขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
ร่างใหญ่ของเสี่ยวเสว่ยลอยไปกลางอากาศแล้วหล่นลงสู่พื้นเสียงดังตุบ แล้วกลิ้งเกลือกไปตามพื้นก่อนจะหยุดลงที่ข้างกายของหลงเฉินพอดี
มุมปากของเสี่ยวเสว่ยมีโลหิตไหลรินออกมาเป็นสาย ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยคราบโลหิตอยู่หลายจุด ภายในคงจะมีกระดูกแตกหักไปไม่รู้มากน้อยเท่าใด ภาพเช่นนี้ยิ่งทำให้หลงเฉินมีน้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้
“โบร๋ว”
เสี่ยวเสว่ยพยายามจะลุกขึ้นมาจากพื้น ดวงตาสีดำขลับของเจ้าหนูน้อยจ้องมองมาที่หลงเฉินด้วยความรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้ง
“สัตว์นรก ไปตายซะ”
ชายหนุ่มชุดขาวมองไปผู้เป็นเจ้าของและสัตว์มายาที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาอาฆาตมาดร้าย พลันก็ได้พุ่งทะยานร่างกายเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ซูมซูมซูม”
เงาร่างสามสายปรากฏขึ้นมาขวางที่เบื้องหน้าของหลงเฉินในทันที นั่นก็คือหลงเทียนเซียว ฉู่เหยา และซือเฟิง ถึงแม้พวกเขาจะทราบดีว่าไม่อาจต้านทานพลังอันบ้าคลั่งของชายหนุ่มชุดขาวได้ ทว่าก็ไม่อาจทนเห็นหลงเฉินตายไปต่อหน้าต่อตาได้เช่นกัน
“ไสหัวออกไป”
ชายหนุ่มชุดขาวตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วฟาดฝ่ามือออกมาหนึ่งครั้งจนร่างของผู้มาเยือนทั้งสามคนต้องลอยกระเด็นออกไปพร้อมทั้งกระอักโลหิตออกมาพร้อมกัน
“ไปตายซะเจ้าแมลงที่น่าขยะแขยง”
เท้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลข้างหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ลงมาอย่างรวดเร็ว หากถูกเหยียบก็คงจะจบสิ้นชีวิตไปในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
หลงเฉินเองก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงและพลังเลยแม้แต่น้อย แม้แต่พลังลมปราณก็ยังเหือดแห้งจนไม่อาจหลบเลี่ยงไปจากที่ตรงนี้ได้อีกแล้ว
“ตึง”
เสียงหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาทางด้านหน้า หลงเทียนเซียวและพวกต่างก็ไม่อาจจัดการกับอาการแน่นที่หน้าอกไปได้ จึงไปแต่เงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นเสียงนั้นก็พบว่าเป็นเงาของคนผู้หนึ่งที่ห่อหุ้มด้วยเพลิงกาฬอยู่ทั่วทั้งร่างกาย
“ปรมาจารย์หวินฉี”
ซือเฟิงจดจำเจ้าของเงาร่างนั้นได้เป็นอย่างดี ทว่าปรมาจารย์หวินฉีในเวลานี้กลับต่างไปจากเดิม เพลิงกาฬทั่วทั้งร่างของเขามีสีแดงเข้มและร้อนแรงเป็นอย่างมากประดุจเกิดขึ้นมาจากโลหิตภายในร่างกายของเขาเอง
จากนั้นเขาก็ได้หันกลับไปมองยังวงต่อสู้ของปรมาจารย์หวินฉี เว่ยชาง และหวังลู่หยางก็พบว่าพื้นที่แห่งนั้นถูกผลาญจนกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านไปจนหมดสิ้นแล้ว
“เจ้าเฒ่าบัดซบ ตายยากเสียจริง นี่คิดจะมาขวางข้าด้วยอย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มชุดขาวทอสีหน้าเกลียดชัง แล้วจ้องเขม็งไปที่ปรมาจารย์หวินฉีอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ปรมาจารย์หวินฉี ท่าน……” หลงเฉินมองยังร่างกายของปรมาจารย์หวินฉีก็อดสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้
หลงเฉินมองออกว่าพลังเพลิงตามร่างกายนั้นมาจากการใช้พลังเพลิงกาฬแห่งชีวิตของผู้หลอมโอสถที่กระตุ้นออกมาจากจุดหลักตามร่างกายด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณจนกลายเป็นเพลิงกาฬ
“เด็กเอ๋ย ข้านั้นมีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานแล้ว มีหลายเรื่องที่ต้องพบเจอมาจนชินชาแล้วเช่นกัน ในบัดนี้ความแค้นอันยิ่งใหญ่ของข้าก็ได้ถูกชำระไปจนหมดสิ้น ไม่มีสิ่งใดที่ข้าจะต้องเป็นห่วงอีกแล้ว
สำหรับข้า เจ้าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถที่สวรรค์ได้ประทานมาลงมา แล้วข้าจะปล่อยให้คนเช่นเจ้าตายอยู่ต่อหน้าได้อย่างไรกัน เหอะเหอะ แค่ตาแก่กระดูกแข็งผู้หนึ่งที่ขอสร้างประโยชน์บ้างก็เท่านั้น”
ปรมาจารย์หวินฉียิ้มขึ้นมาจนสามารถเห็นรอยเ**่ยวย่นบนใบหน้าได้ทั้งหมด อารมณ์ของเขาช่างแน่นิ่ง ไร้ซึ่งเพลิงโทสะ ไร้ซึ่งความขุ่นเคือง จากนั้นเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นไปทาบบนทรวงอกเบาๆ แล้วใช้นิ้วโป้งและนิ้วกลางทั้งสองข้างผสานสลับกัน ส่วนนิ้วอื่นๆ นั้นกำเอาไว้ พลันก็มีสภาวะเพลิงกาฬที่หนักหน่วงกว่าเดิมปะทุขึ้นมาอย่างคลุ้มคลั่ง ….