กระบี่ยาวและดาบยาวปะทะกันอย่างรุนแรง บรรยากาศโดยรอบเดือดดาลขึ้นมาจนถึงขีดสุด จนหนังตาที่ได้มองเข้ามาเกิดรอยย่นขึ้นมาติดต่อกันก็มิปาน หลังจากที่แยกออกจากัน ก็ได้แผ่พุ่งสภาวะไปทั่วทั้งแปดด้าน
“ตูม”
หลังจากที่เสียงปะทะกันได้หยุดลง เสียงของเหล็กกล้าที่แตกหักก็เกิดตามมาในทันที เงาร่างสายหนึ่งลอยละล่องอยู่กลางอากาศพร้อมทั้งสายโลหิตที่พุ่งออกมาจากปากของชายผู้หนึ่ง
“ท่านพ่อ”
หลงเฉินตะโกนออกไปด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด ดาบยาวในมือของหลงเทียนเซียวแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกทั้งยังมีเศษดาบแทงเข้าไปบนร่างกายของเขาจนนับไม่ถ้วน โลหิตไหลรินออกมาจากบาดแผลไม่หยุด
“หือ? ยังไม่ตายอย่างนั้นหรือ? ไม่เลวนี่ น่าสนใจดีจริงๆ”
ชายหนุ่มชุดขาวมองไปที่หลงเทียนเซียวด้วยความแปลกใจ ด้วยการโจมตีของเขาเมื่อครู่นี้ควรจะทำให้ร่างกายของหลงเทียนเซียวกลายเป็นรูพรุนไปทั่วแล้วจึงจะถูก
“ข้าเข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มชุดขาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตะโกนขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“โจมตีด้วยพลังบางส่วน รักษาพลังสภาวะเดิมเอาไว้ แล้วท้ายที่สุดก็ค่อยหยิบยืมแรงจากการปะทะคอยพยุงร่างเอาไว้”
นี่ก็คือสิ่งที่หลงเทียนเซียวได้กำชับหลงเฉินเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไหลเวียนพลังที่มีทั้งหมดสิบส่วนออกมาใช้เพียงแปดส่วน เข้าออกตามใจนึกเพื่อหลงเหลือพลังให้พอมีหนทางรอด
หากไม่ทำเช่นนี้หลงเทียนเซียวคงจะต้องกลายเป็นศพไปเสียแล้ว ทว่าร่างกายของเขาในตอนนี้กลับไม่ค่อยดีนัก หลังจากได้ผ่านศึกครั้งใหญ่ติดต่อกันทำให้การโจมตีเมื่อครู่นี้ทำให้เขาสูญสิ้นพลังลมปราณไปทั้งหมด
ตลอดทั้งร่างของเขาชโลมไปด้วยโลหิตสีแดงเข้ม เศษดาบหักคาอยู่ทั่วผิวหนังจนทำให้ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ทว่าหลักการใดก็ไร้ซึ่งประโยชน์ แมลงก็คือแมลง ไม่สมควรที่จะได้ตัดสินชะตาชีวิตด้วยตัวเองอยู่แล้ว การทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้นก็เท่านั้น”
ชายหนุ่มชุดขาวส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา พลันก็ได้ตวัดปลายกระบี่ยาวไปกลางอากาศ จากนั้นก็ได้ฟันลงที่ร่างของหลงเทียนเซียวในทันที
วิชาที่แฝงอยู่บนร่างกายของชายหนุ่มชุดขาวนั้นสร้างความประหลาดใจให้ผู้คนเป็นอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวของเขาช่างพลิ้วไหวราวกับว่าไร้ซึ่งสภาวะน้ำหนัก กระบี่ยาวแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
หลงเทียนเซียวสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่งด้วยความปลดปลง เขาดูออกว่าบุคคลผู้นี้กำเนิดมาจากสำนักแห่งหนึ่ง ฉะนั้นเขาก็พอจะคาดเดาผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้แล้ว
ดวงตาคู่คมหันไปมองที่หลงเฉินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนสายตาไปมองที่ใบหน้าของฮูหยินที่กำลังยิ้มตอบกลับมาเล็กน้อย หากทั้งตระกูลตายไปพร้อมกันได้ย่อมถือเป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่นนั้นเมื่อพวกเขาได้ยังอีกโลกหนึ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องแยกจากกันอีกแล้ว
มือขวาข้างหนึ่งรวมพลังเอาไว้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งชักนำพลังลมปราณภายในจุดตันเถียนที่หลงเหลือออกมาทั้งหมด นี่คงจะเป็นการสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสเพียงริบหรี่ก็ตาม
“ไสหัวไป”
“ตูม”
เสียงคำรามดังกึงก้องออกมาจากฝีปากของหลงเฉินประดุจราชสีกำลังคลุ้มคลั่งอยู่ ร่างของเขาขวางอยู่ที่เบื้องหน้าของบิดาในทันที พลันก็ได้แทงกระบี่หนักไปที่ชายหนุ่มชุดขาว
“พวกเจ้าถอยไป”
หลงเฉินตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด ฉู่เหยาและพวกพ้องจึงรีบพยุงร่างของหลงเทียนเซียวออกไปยังบริเวณที่ที่ห่างไกล ในขณะเดียวกันก็ได้ยื่นโอสถรักษาให้ฉู่เหยาไปเม็ดหนึ่งเพื่อใช้รักษาบิดา
หลงเทียนเซียวมองไปที่แผ่นหลังของหลงเฉิน อีกทั้งยังเหมือนกับจะกล่าวอันใดออกมา ทว่าสุดท้ายแล้วก็ได้แต่กลืนวาจาลงไป จากนั้นเงาร่างสายนั้นก็เริ่มเลือนรางไปจากสายตา
ชายหนุ่มชุดขาวมองดูกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาพยุงร่างของหลงเทียนเซียวออกไปด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่แยแส
“ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ค่าเสียจริง ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดคนธรรมดาอย่างพวกเจ้าถึงได้โง่เขลาถึงเพียงนี้ เหตุการณ์ล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้แล้วยังไม่ยอมรับชะตาชีวิตของตัวเองกันอีกหรือ”
หลงเฉินจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มชุดขาวอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วก็ได้พูดเน้นย้ำออกมาทีละพยางค์ “อย่าทำตัวสูงส่งเสมือนเป็นเทพจากสวรรค์ ความจริงแล้วเจ้าก็คือก้อนอาจมของสุนัขก็เท่านั้น”
และไม่รีรอที่จะให้ชายหนุ่มชุดขาวขัดจังหวะขึ้นมา หลงเฉินก็ได้ร่ายยาวออกมาอีกครั้ง “กับคู่ต่อสู้ที่อยู่กันคนละชั้นกับตัวเองนั้นมีแต่ทำให้ข้าแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่แรกเริ่มจนมาถึงตอนนี้แรงกดดันของเจ้าก็คล้ายกับความยินดีชนิดหนึ่ง หากข้าเสาะหาการคงอยู่ของความแข็งแกร่ง เช่นนั้นเจ้าก็เป็นได้แค่ตัวสวะผู้หนึ่งเท่านั้น”
ชายหนุ่มชุดขาวไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย “นี่เจ้ากำลังจะหาที่ตายเองนะ หากเจ้าโอนอ่อนก็สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่กระเสือกกระสน และยิ่งได้อยู่เบื้องหน้าจ่อพลังอันมหาศาลเช่นนี้ก็สมควรที่จะยอมรับว่าควรหวาดกลัวถึงเพียงใด หากว่าเจ้ายังปฏิเสธต่อไปก็มีแต่จะเพิ่มบาปให้ตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ”
“ผายลม หากเป็นไปตามที่เจ้าพร่ำพรรณนา เจ้าเองก็สมควรที่เอาศีรษะโขกกำแพงตายไปเสียเถิด เพราะเจ้าก็เป็นได้แค่เศษขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
“เอาเถิด พูดให้มากความ เจ้าก็คงจะไม่เข้าใจ ฉะนั้นก็จงเบิกตาดูว่าสิ่งใดคือพลังที่แท้จริงและยั่งยืน หวังว่าเมื่อผ่านไปอีกสักครู่เจ้าจะยังสามารถปากแข็งได้เช่นนี้อยู่อีกนะ”
“กึง”
ชายหนุ่มชุดขาวกุมไปที่มือซ้ายของเขา พลันก็ได้บังเกิดตราผนึกชนิดหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับแรงระเบิดสายหนึ่งที่ซัดหลงเฉินให้ถอยออกไปหลายก้าว
เหนือศีรษะของชายหนุ่มชุดขาวปรากฏเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่ดูน่าแปลกตาขึ้นมา แล้วพลังสภาวะของเขาก็ได้ปะทุขึ้นมาไม่หยุดหย่อน แผ่ออกไปกดดันผู้คนจนหายใจได้อย่างยากลำบาก
“นี่ก็คือจุดยืนอันน่าสะพรึงกลัวของศิษย์ที่มีสำนัก”
หลงเทียนเซียวมองไปยังชายหนุ่มชุดขาวก่อนที่จะจ้องมองไปยังแผ่นหลังของหลงเฉินด้วยความว้าวุ่นใจ แล้วก็อดที่จะพึมพำกับตัวเองอย่างแผ่วเบาขึ้นมาไม่ได้
“เทียนเซียว เจ้าว่าเฉินเอ๋อจะสามารถชนะคนผู้นั้นได้หรือไม่?” ฮูหยินหลงถามด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล มือทั้งสองข้างเกาะกุมไปที่ฝ่ามือข้างหนึ่งของหลงเทียนเซียวจนแน่น เห็นได้ชัดว่านางหวังจะให้หลงเทียนเซียวตอบกลับมาว่า——ชนะได้อย่างแน่นอน
หลงเทียนเซียวมองไปยังใบหน้าอันโรยแรงของภรรยาแล้วก็หวนนึกถึงเรื่องราวในวันวานที่ราวกับเพิ่งจะผ่านไปไม่นาน แล้วกล่าวออกมาด้วยวาจาที่อ่อนโยนว่า “วางใจเถิด พวกเราเป็นหนึ่งครอบครัวสามปากท้อง หลังจากนี้ไปจะไม่มีวันแยกจากกันอีกแล้ว”
ฮูหยินหลงรู้สึกเบาใจขึ้นมากเมื่อได้ยินน้ำเสียงของชายผู้เป็นที่รัก ทว่านางนั้นร้อนรนจนเกินไป จนไม่อาจเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของวาจาประโยคนั้น
หลังจากที่บนศีรษะของชายหนุ่มชุดขาวปรากฏสิ่งที่มีลักษณะคล้ายกับสี่เหลี่ยมขึ้นมาแล้ว พลังทำลายอันมหาศาลก็ได้กดดันไปทั่วทั้งร่างกายของหลงเฉิน
นี่คือพลังของศิษย์ที่มีสำนักอย่างนั้นหรือ? วิธีการฝึกยุทธ์ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นจึงปะทุพลังออกมาด้วยวิธีที่แตกต่างกันไปด้วย ทว่าพลังในการต่อสู้กลับแข็งแกร่งมากเสียยิ่งกว่ามากที่สุด
ยิงฮวา หวูโหว หรือแม้แต่เซี่ยโหยวอวี่เองไม่ว่าผู้ใดที่ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มชุดขาวแล้วต่างก็อ่อนแอด้วยกันทั้งนั้น คล้ายกับพวกเขาเป็นเพียงแค่กลุ่มเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
องค์ชายสี่ที่ยืนอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปก็ได้มองมายังฉากต่อสู้ด้วยความหวาดผวา เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถามชายหนุ่มชุดขาวว่ารู้สึกอย่างไรกับยิงฮวา ชายผู้นั้นกลับตอบออกมาอย่างเย็นชาแค่เพียงว่าไม่เลว
เมื่อได้มาเห็นพลังที่แผ่กระจายออกมาในตอนนี้ คำพูดในตอนนั้นก็คล้ายกับเป็นคำพูดที่มีไว้เพื่อชมเชยเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“ซูม”
เบื้องหน้าของชายหนุ่มชุดขาวเกิดประกายแสงจากการระเบิดของพลังในบรรยากาศซึ่งบ่งบอกได้ว่าพลังการต่อสู้ของเขากำลังเพิ่มสูงขึ้นไปในอีกขอบเขตหนึ่ง และในตอนนี้เขาก็คงอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว
“เตรียมตัวเสร็จแล้วอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นจงมารับคำพิพากษาไปซะ”
“เหอะ”
ชายหนุ่มชุดขาวก็เหยียดยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย พลันกระบี่ยาวในมือก็ได้ฟันออกไปทางด้านหน้า แม้จะเป็นการฟันลงมาเพียงเบาๆ ทว่ากลับแหวกอากาศจนทำให้ทั่วทั้งผืนฟ้าเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ลี้ลมทลาย”
หลงเฉินไม่กล้าที่จะรีรอให้ชายหนุ่มชุดขาวบุกเข้ามา จึงรีบไหลเวียนพลังจากจุดดารากักวายุออกมาทั้งหมด พลันก็ได้แทงกระบี่หนักออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตูม”
หลงเฉินรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างนั้นแข็งเป็นหินไปเสียแล้ว ร่างของเขาถอยออกไปทางด้านหลังหลายสิบจั่งจนเกิดรูปร่างของอากาศที่แหวกออกเป็นสองฝั่ง ที่ริมฝีปากมีโลหิตไหลออกมาอย่างช้าๆ
“ไม่เลว ลองรับกระบวนท่านี้ดูอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มชุดขาวกวาดกระบี่ยาวไปในรูปแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง รังสีกระบี่แผ่กระจายไปทั่ว จากนั้นก็ได้ฟันลงมาที่หลงเฉิน ทว่าการโจมตีในครั้งนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อยู่หลายเท่าตัวนัก
“ตูม”
หลงเฉินเองก็ฟันกระบี่ออกไปเพื่อต้านทานพลังขุมนั้นเอาไว้ ร่างกายที่บอบช้ำก็ได้ถูกซัดจนกระเด็นออกไปอีกครั้งหนึ่ง เขากระอักโลหิตออกมาคำหนึ่งเพราะได้รับบาดเจ็บไปจนถึงอวัยวะภายใน
สายตาของหลงเฉินหันไปสบกับรอยร้าวขนาดเล็กที่ตัวกระบี่หนัก นั่นก็คาดเดาได้แล้วว่ากระบี่เล่มนี้ไม่อาจทนรับพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้เอาไว้ได้
ทว่าตัวกระบี่ยาวของชายหนุ่มชุดขาวกลับไม่ได้มีร่องรอยของความเสียหายเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว คงจะเป็นเพราะกระบี่ยาวเล่มนั้นถูกตีขึ้นมาจากวัสดุชั้นเยี่ยมจึงมีความทนทานเกินธรรมดาไปแล้ว
ชายหนุ่มชุดขาวปรายสายตามองไปยังใบหน้าที่กำลังแตกตื่นของหลงเฉิน แล้วแสยะยิ้มขึ้นมา “ในที่สุดเจ้าก็คงจะเข้าใจแล้วนะว่าสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นี้น่าหวาดกลัวมากเพียงใด? และคนอย่างเจ้านั้นต่อยต่ำลงไปถึงระดับใดกัน? ข้าถึงได้ย้ำชัดไปแล้วว่าเป็นแค่แมลงก็สมควรที่จะถูกติดสินชีวิตโดยผู้อื่นอยู่แล้ว ฉะนั้นจงอย่าได้ดิ้นรนแล้วตายไปเสียตอนนี้ซะ”
เมื่อกระบี่ยาวได้ชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าสีคราม พื้นดินด้านล่างก็สั่นสะเทือนเลือนลั่นอย่างรุนแรง รังสีกระบี่อันโหดเ**้ยมสายหนึ่งตัดแหวกอากาศเข้ามาที่ร่างของหลงเฉินอย่างไร้ความปราณี
ถึงแม้ว่าผู้คนโดยมากจะยืนอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไป ทว่าพวกเขาต่างก็สัมผัสถึงพลังกดดันอันแรงกล้าได้อย่างชัดเจน กระบี่เล่มนั้นช่างน่ากลัวอย่างไร้ที่เปรียบเกินไปแล้ว
“ไม่”
ฉู่เหยากรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ พลันก็ได้พุ่งตัวออกมาทว่ากลับอยู่ในระยะที่ไกลจนเกินไป แม้อยากจะตายไปพร้อมกับหลงเฉินก็ยังทำไม่ได้ ดวงตาคู่งามจึงได้หลับตาลงด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวด
“ตูม”
ใต้พิภพเกิดการสั่นไหวรุนแรงเสียยิ่งกว่าที่ผ่านมา หมอกควันบางเบาเข้าปกคลุมอยู่เต็มท้องฟ้า รังสีกระบี่ที่มีอานุภาพทำลายล้างมหาศาลสายหนึ่งก็ได้แหวกอากาศออกเป็นเส้นทางสายใหญ่หลายเส้นที่ไกลออกไปหลายสิบจั่ง
ผู้คนต่างก็ปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความตะลึงและลนลานอย่างถึงที่สุด ฉากที่ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าสายตาของพวกเขาในตอนนี้เกินกว่าขอบเขตที่จะจินตนาการได้แล้ว ความน่าหวาดหวั่นอย่างล้ำลึกเช่นนี้ยังมีอยู่ในโลกหล้าอย่างนั้นหรือ?
เงาร่างที่คล้ายกับกำลังจะจนมุมไปตั้งแต่แรกเริ่มกลับผ่อนคลายขึ้นมาจนน่าตกใจ พลังสภาวะโดยรอบที่แผ่ซ่านออกมารุนแรงจนไม่อาจมีผู้ใดแทรกแซงเข้าไปได้ สภาวะอันแกร่งกล้าอย่างไร้ที่เปรียบเช่นนี้ให้ความรู้สึกว่าจะสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ด้วยมือเดียวเลย
“หือ?”
ชายหนุ่มชุดขาวที่คิดว่าทุกอย่างจะจบสิ้นลงไปแล้วก็ได้เคลื่อนกระบี่กลับมา ทว่าในพริบตาเดียวต่อมาดวงตาคู่นั้นของเขาก็ได้ขยายใหญ่ขึ้นจนแทบจะถลนออกมา
“ตึก ตึก ตึก”
เงาร่างของชายหนุ่มที่กุมกระบี่หนักเอาไว้ในมือค่อยย่างก้าวออกมาจากกลุ่มหมอกควันที่ปกคลุมไปทั้งผืนฟ้าอย่างหนาแน่น จากนั้นก็เผยให้เห็นประกายวังวนเรืองแสงสีขาวที่ปะทุขึ้นมาอยู่ที่ด้านหลังของเขา ยิ่งเขาก้าวเท้าออกมาก็ยิ่งเห็นประกายแสงนั้นแรงจ้าขึ้น
จากรัศมีของพลังหนุนเพียงแค่ไม่กี่จั่งในช่วงเริ่มต้น ทว่าเมื่อหลงเฉินก้าวออกมาทีละก้าวก็ทำให้วังวนนั้นเพิ่มขนาดรัศมีไปไกลกว่าร้อยจั่งเคลื่อนไหวไปมาในบรรยากาศ
ทั่วทั้งร่างของหลงเฉินปะทุพลังขึ้นมามหาศาลอย่างต่อเนื่อง การสั่นไหวของอากาศรอบๆ เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน อาภรณ์ตัวยาวลอยระบำไปตามสายลมที่พัดโชย แววตาปรากฏชั้นของดาราระยิบระยับ
“โปรดรับกระบวนท่าจากแมลงตัวนี้ด้วย”
ทันใดนั้นหลงเฉินก็ได้คำรามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมาจนดังกึกก้องถึงนรกขุมที่เก้า น้ำเสียงที่น่าเกรงขามประดุจเสียงคำรามจากมังกรที่กำลังโกรธเกรี้ยวจนสั่นไหวไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ชายหนุ่มชุดขาวไม่อาจปิดบังความแตกตื่นตกใจได้อีกต่อไป เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศบนร่างกายของหลงเฉินที่เปลี่ยนไป ความรุนแรงของขุมพลังนั้นประดุจมหาสมุทรที่แปรปรวนในช่วงที่มีพายุกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
หลงเฉินเยื้องย่างออกมาทีละก้าว และทุกฝีก้าวที่เหยียบลงสู่พื้นก็ได้ทำให้แผ่นดินสั่นไหวไปราวกับมีสัตว์มายาขนาดใหญ่กำลังตะบึงเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น ทันใดนั้นเองกระบี่หนักก็ได้กวาดไปยังชายหนุ่มชุดขาวอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มชุดขาวสบถออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์พร้อมกับแทงปลายกระบี่ยาวออกไปด้วยเช่นกัน
“เป็นเพียงแมลง ยังกล้า……อะไรกัน”
“ตูม”
กระบวนท่าของหลงเฉินไม่ได้มีความพิเศษอันใด ทว่าเมื่อกระบี่ยาวของชายหนุ่มชุดขาวและกระบี่หนักเล่มนั้นได้ปะทะกันกลับให้ความรู้สึกประดุจภูเขาไฟกำลังปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แล้วร่างของชายหนุ่มชุดขาวก็ถูกพัดออกไปจนแทบจะทำให้ลมปราณไหลย้อนกลับคืนมา
นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มชุดขาวรู้สึกตกใจได้มากมายถึงเพียงนี้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าขุมพลังอันมหาศาลนั้นไม่ได้มาจากทักษะยุทธ์อันใดเลย ทว่าเป็นพลังที่ขูดรีดออกมาจากร่างกายของหลงเฉินเอง
“ซูม”
ชายหนุ่มชุดขาวถูกซัดจนลอยไปไกลว่าสิบจั่ง ในขณะที่เขาเพิ่งจะหยุดการเคลื่อนไหวของร่างกายเอาไว้ได้นั้น ก็ได้มีเสียงระเบิดดังตามหลังมาอีกระลอกหนึ่ง
“ลี้ลมทลาย”
ก่อนที่ชายหนุ่มชุดขาวจะมีปฏิกิริยากลับคืนมา การโจมตีของหลงเฉินกลับมาอยู่ที่เบื้องหน้าเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มสะดุ้งตัวโยนอย่างไม่ทันตั้งตัว การโจมตีของหลงเฉินนั้นถี่ยิบเสียจนเขาไม่คิดว่าพลังจะยังคงไม่ลดทอนลงไปเลย แทบจะไม่มีโอกาสให้เขาได้หยุดหายใจเลยแม้แต่หอบเดียว
“ปึก”
นี่เป็นโอกาสหนึ่งในพันของชายหนุ่มชุดขาว เขาจึงตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมทั้งแทงกระบี่ยาวในมือออกไปอย่างฉับพลัน
ร่างของเขากระเด็นออกไปอีกครั้ง เมื่อสามารถหยุดยั้งร่างกายให้หยุดนิ่งได้แล้ว ผู้คนทั่วทั้งสนามก็ตกอยู่ในอาการแตกตื่นขึ้นมาในทันที
. . .