หลงเฉินหรี่ดวงตาเล็กลงในทันทีที่ร่างของชายหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้า ทว่ากลับไม่ได้เผยอาการตกใจออกมามากมายนัก
ในขณะที่เขาเพิ่งจะมาเยือนลานประหารแห่งนี้ก็สัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องมาที่ตัวเอง และเมื่อเขาเริ่มลงมือก็มีรังสีสังหารของศัตรูแผ่ออกมาเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าช่วงที่เขาได้สังหารยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นลงไป รังสีนั้นกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อไม่นานมานี้หลงเฉินก็สามารถสัมผัสถึงความรุนแรงของรังสีกลุ่มนั้นได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง แท้ที่จริงแล้วชายผู้นี้อยู่เยื้องไปทางด้านหลังขององค์ชายสี่นั่นเอง อีกทั้งยังสามารถรับกระบวนท่าของตนได้อย่างง่ายดายประดุจเขียนตัวอักษรเท่านั้น
การปรากฏตัวของชายหนุ่มชุดขาวทำให้ผู้คนเกิดอาการตื่นตกใจไปตามๆ กัน เมื่อหลงเทียนเซียวเห็นเช่นนั้นจึงรีบรุดเข้ามายืนอยู่ข้างกายของหลงเฉินในทันที พร้อมกับทอสีหน้าเคร่งเครียดจ้องมองไปที่ชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้น
“เจ้าคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คงจะเป็นเช่นนั้น” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาเฉกเช่นเดียวกัน
“สิ่งที่อยู่บนร่างกายของข้านั้นเป็นเจ้าที่ลงมือใช่หรือไม่? ”
ชายหนุ่มชุดขาวส่ายหน้าไปมา “ข้าไม่ทราบว่าสิ่งที่เจ้านั้นหมายถึงเรื่องอันใดกัน และเจ้า…อย่าได้มองว่าตัวเองสูงส่งจนเกินไปนัก ข้าไม่จำเป็นจะต้องลงมือกับแมลงเพียงตัวเดียวเช่นเจ้าหรอก”
“ตูม”
เมื่อชายหนุ่มชุดขาวกล่าวจบที่กลางฝ่ามือของเขาก็ได้มีประกายแสงสีขาววูบวาบขึ้นมา พลันก็ได้ใช้นิ้วมือดีดไปที่ปลายกระบี่หนักจนกระเด็นออกมา หลงเฉินรู้สึกได้ว่ากระบี่หนักในมือของเขาหนักอึ้งขึ้นมาในทันที จากนั้นร่างของเขาก็ได้ปลิวออกไปไกลกว่าสิบจั่งด้วยเช่นกัน ภายในจิตใจของหลงเฉินแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ ราวกับว่าชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้ไม่ได้ใช้พลังฝีมือออกมาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่การดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวก็สามารถก่อเกิดระดับการโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่าพลังของยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายเสียด้วยซ้ำไป
“เจ้าเป็นคนในสำนักอย่างนั้นหรือ?” หลงเทียนเซียวถามออกไปด้วยความสงสัยอย่างที่ไม่อาจจะสงบลงได้อีกแล้ว
“กับคนที่ใกล้จะตาย ไม่จำเป็นที่จะต้องทราบให้มากความนัก” ชายหนุ่มชุดขาวยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลงเทียนเซียวขมวดคิ้วเข้มอย่างครุ่นคิด และเอาแต่จ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดขาว พร้อมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำไปทางหลงเฉินว่า “เฉินเอ๋อ ข้าจะต้านเขาไว้ให้ เจ้าจงหลบหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เจ้าจะไปได้”
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากล่าวออกมา จึงได้กล่าวต่ออีกว่า “คนของสำนักมีระดับความแข็งแกร่งที่คนอย่างพวกเราไม่อาจคาดเดาได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ทว่าหากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วพวกเราก็เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญที่ไม่มีคุณสมบัติจะไปเทียบชั้นกับเทพได้เลย ด้วยพลังการต่อสู้ของพวกเขานั้นเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวจนไร้ที่เปรียบ”
หลงเฉินส่ายหน้าไปมา “โปรดอภัยให้ข้าด้วยเพราะข้าไม่อาจที่จะทำตามได้”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของบิดาแน่นิ่งไป หลงเฉินจึงไม่รีรอให้เขาเอ่ยวาจาใดขึ้นมา “ข้านั้นได้เติบใหญ่ขึ้นและมีหนทางที่ได้เลือกเองแล้ว ข้าจะไม่กระทำเรื่องที่เป็นเหมือนตราบาปติดตัวไปจนตายอย่างแน่นอน”
หลงเทียนเซียวคิดที่จะกล่าวตักเตือนขึ้นมาอีก ทว่าเมื่อมองไปยังใบหน้าที่จริงจังและขึงขังของบุตรชายแล้วจึงได้แต่กล้ำกลืนคำพูดกลับลงไป แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง
ภายในดวงตาคู่คมนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมขึ้นมา พลันก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตบเข้าไปยังไหล่ของหลงเฉิน “ได้ เช่นนั้นพวกเราก็มาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเถิด”
ชายหนุ่มชุดขาวจ้องมองไปยังหลงเฉินและหลงเทียนเซียวด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งความแยแส แล้วกล่าวออกมาน้ำเสียงทุ้มต่ำไปทางองค์ชายสี่ว่า
“ไสหัวออกไปพร้อมกับคนของเจ้าเสีย ชีวิตของเจ้านั้นยังมีประโยชน์ต่อข้าอยู่ อย่าได้ด่วนตายไปก่อน”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะสร้างความบอบช้ำให้จิตใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าองค์ชายสี่กลับรู้สึกเหมือนเป็นเสียงจากสวรรค์มาโปรดอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็รีบหันกายออกวิ่งไปอย่างรีบร้อน
เดิมทีเขาคิดว่าแผนการใหญ่ในครั้งนี้ได้มลายหายไปจนหมดสิ้นแล้ว และคิดว่าตัวเองคงไม่อาจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก จึงรู้สึกดีใจและแปลกใจที่ชายหนุ่มชุดขาวกลับปล่อยเขาไปเช่นนี้
ส่วนชายหนุ่มชุดขาวนั้นก็ทราบอยู่แล้วว่าเรื่องเช่นนี้ไม่อาจโทษองค์ชายสี่แต่เพียงผู้เดียวได้ เพราะแผนการทั้งหมดนั้นไร้ซึ่งช่องโหว่แล้ว อีกทั้งเขาเคยนึกเลื่อมใสต่อแผนการที่องค์ชายสี่ได้วางเอาไว้
ความล้มเหลวขององค์ชายสี่ในครั้งนี้เป็นเพียงความพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาอันด้อยค่าของเขาเท่านั้น ที่ได้พบเจอกับหลงเฉิน ทว่าหากเปลี่ยนให้ผู้อื่นมากระทำการแทนก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่าองค์ชายสี่สักเพียงใดนัก
ถึงแม้ว่าภายในห้วงแห่งความคิดจะไม่อาจยอมรับได้ ทว่าเขาก็จำเป็นจะต้องรักษาความสุขุมเอาไว้ให้ได้ เพราะการปรากฏตัวของหลงเฉินได้ทำให้แผนการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหันต์
ขอเพียงในหลังจากนี้เขาสามารถสังหารสองพ่อลูกตระกูลหลงลงได้ แผนการก็จะยังดำเนินต่อไปได้อีก เพียงแต่ว่าอาจจะต้องเสียเวลาเพิ่มมากขึ้น
“การต่อปากต่อคำคงจะต้องมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เป็นเพียงแมลงน่ารำคาญก็จะควรตายกันไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มชุดขาวขยับร่างกายเล็กน้อยก่อนที่ร่างจะพลิ้วพัดเข้าไปหาผู้กล้าจากตระกูลหลงทั้งสองคน พร้อมทั้งฟาดฝ่ามือที่ปรากฏประกายแสงเข้มข้นสายหนึ่งออกไป ลำแสงนั้นสาดแสงออกไปทั่วทุกสารทิศจนบรรยากาศเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นทักษะยุทธ์ระดับพสุธาชนิดหนึ่ง ทว่าชายหนุ่มชุดขาวได้ใช้ออกมาก่อนหน้านี้แล้วทว่าในครั้งนี้กลับไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
ระดับพลังของเซี่ยโหยวอวี่จะต้องใช้เวลาในการรวมสภาวะพลังอย่างน้อยก็หลายลมหายใจก่อนที่จะใช้ทักษะยุทธ์ระดับพสุธาออกมา ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะไหลเวียนพลังทั้งหมดออกมาไม่ได้
ทว่าชายผู้นี้เป็นเช่นเดียวกันกับเขาคือแทบจะไม่ต้องรอเวลาในการรวมพลังอันใดเลย จึงทำให้หลงเฉินเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาเป็นอย่างมาก พลันก็ได้ฟันกระบี่หนักในมือออกไป
หลงเทียนเซียวที่ได้รวบพลังเอาไว้ตั้งแต่แรกก็ได้ฟันออกไปอีกหนึ่งดาบด้วยเช่นกัน บรรยากาศอันกดดันหนาแน่นไปด้วยพลังดาบตลบไปทั่วทั้งผืนฟ้า
“ตูม”
เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากบรรยากาศที่หลอมรวมกันอยู่ในจุดเดียว หลงเฉินรู้สึกว่าภายในร่างกายกำลังมีพลังสภาวะขุมหนึ่งไหลย้อนกลับมาอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของเขาก็เบาหวิวแล้วล่องลอยออกไปด้านหลังอีกครั้ง ส่วนหลงเทียนเซียวเองก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ถึงแม้ว่าจะถูกซัดจนถอยหลังออกไปทว่ากลับไม่ได้ไกลเท่าหลงเฉิน
“พลังทั้งหมดสิบส่วนให้ใช้เพียงแปดส่วน เข้าออกดุจใจนึกก็เพียงพอที่จะใช้ตั้งหลักได้แล้ว” หลงเทียนเซียวเตือนสติหลงเฉิน
ที่หลงเทียนเซียวนั้นกระเด็นออกมาน้อยก้าวกว่าหลงเฉินนั้นไม่ได้เป็นเพราะเขามีพลังมากกว่าหลงเฉิน ทว่าการจู่โจมของหลงเทียนเซียวนั้นได้เก็บงำพลังเอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อให้มีเพียงพอที่จะรุกได้และรับได้ในภายหลัง
หากศัตรูและตัวเองมีฝีมือทัดเทียมกันหรืออาจจะแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่า การใช้กลยุทธ์เช่นนี้จึงจะสามารถคุ้มครองชีวิตของเราได้
หลงเฉินพยักหน้าอย่างว่าง่าย ภายในความทรงจำของจักรพรรดิโอสถที่สถิตอยู่ในร่างของเขาย่อมทราบในความข้อนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าเขานั้นยังไม่เคยชินกับการต่อสู้ในรูปแบบเช่นนี้
การต่อสู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีความแน่นอนแต่อย่างใด หากคิดจะรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ก็จำเป็นจะต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองเป็นหลักสำคัญอยู่ดี เพราะร่างกายของมนุษย์ก็คล้ายกับรถขนสมบัติคันหนึ่งที่ยังกักเก็บสิ่งของต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน แล้วแต่ว่าคนผู้นั้นจะจัดการกับการขนส่งได้มากน้อยอย่างไร
หลงเฉินเองก็ไม่ใช่ว่าไม่ทราบตรึกตรองถึงความข้อนี้ ทว่าความทะเยอทะยานของเขานั้นมีมากเสียยิ่งกว่าจะพะวงกับเรื่องเช่นนี้ ในครั้งที่เขาได้มองเห็นเทพแห่งพงไพรเปิดประตูสู่อีกโลกหนึ่งทำให้เขาได้เห็นว่าโลกภายนอกนั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่านี้อีกมากจนแทบจะอยากโบยบินออกไปให้ไกลยิ่งกว่าเดิม
เช่นนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่มีวันหยุดยั้ง ด้วยเหตุนี้ความแข็งแกร่งที่มากพอเท่านั้นจึงจะสามารถใช้คุ้มครองชีวิตของตัวเองได้ อีกทั้งยังสามารถไล่ตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนาจะได้มาครอบครอง
“เมื่อเรื่องได้จวนตัวมาถึงเพียงนี้แล้วก็คงจะไม่มีความหมายใดอีกต่อไป”
ชายหนุ่มชุดขาวส่งเสียงดังชิออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แววตาที่แผงเอาไว้ด้วยรังสีสังหารจ้องมองไปยังผู้กล้าตระกูลหลงทั้งสองคน ใบหน้าของชายหนุ่มแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มดูถูกเย้ยหยันและเต็มเปี่ยมไปด้วยความไม่แยแส
“แค่สังหารเจ้าก็คงจะเพียงพอแล้ว”
หลงเฉินยังคงยืนอยู่ในจุดเดิม ปลายกระบี่หนักชี้ตรงมาที่ใบหน้าของชายหนุ่มชุดขาว ให้ความรู้สึกคล้ายกับเป็นการตัดสินจากสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น ภายในจิตใจของหลงเฉินเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้มีพลังอันน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าการได้พบเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมกลับทำให้เขาสงบเยือกเย็นมากยิ่งขึ้น จึงไม่อาจจะปฏิเสธความรู้ขอบคุณต่อประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชนที่เคยพบเจอมา อีกทั้งยังใกล้เข้าสู่ความตายมาหลายครั้ง
หากผู้คนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาท่ามกลางสบนามรบ การต่อสู้ก็คงจะดำเนินต่อไปแบบเส้นตรง ฉะนั้นคนผู้นั้นย่อมไม่สามารถได้รับชัยชนะไปกว่าแปดส่วนแล้ว
หลงเฉินจ้องมองไปศัตรูผู้แข็งแกร่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาด้วยสภาวะจิตใจที่สงบนิ่ง สภาวะการต่อสู้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ไม่มีความหวาดกลัวที่จะต้องมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีพลังอันมหาศาลเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
แววตาของหลงเทียนเซียวทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ความปลาบปลื้มใจอัดแน่นอยู่ในช่องท้องอย่างมหาศาล ทว่าในเวลาเดียวกันก็เกิดความละอายใจขึ้นมาส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เลี้ยงดูทารกน้อยผู้นี้จนเติบใหญ่ขึ้นมา
“เป็นแค่แมลงตัวหนึ่งยังบังอาจหาญกล้ากล่าววาจาเช่นนั้นเชียวหรือ? ก็แค่เจ้าหนูที่ไม่เคยพบเจอกับโลกภายนอกมาก่อน ฉะนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าความแตกต่างที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร”
“ตูม”
เมื่อชายหนุ่มชุดขาวกล่าวจบก็ได้ปะทุพลังภายในร่างกายออกมาอย่างบ้าคลั่งกระจายไปทั่วทุกสารทิศ สองพ่อลูกตระกูลหลงที่อยู่ภายในวงล้อมของขุมพลังนั้นรู้สึกเหมือนกำลังแบกเขาลูกใหญ่ไว้บนหลังอย่างไรอย่างนั้น ลมหายใจติดขัดและเป็นไปได้อย่างยากลำบาก
“พลังปราณกดดันนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง”
หลงเฉินแตกตื่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด นี่คือสภาวะพลังหลังจากปลดปล่อยพลังลมปราณออกมาอย่างนั้นหรือ
พลังลมปราณอันมหาศาลเข้ากดดันทุกอย่างได้จนถึงขีดสูงสุด เมื่อเทียบกับพลังลมปราณของเขาแล้วกลับเป็นเสมือนผืนปฐพีอันกว้างใหญ่ที่มีก้อนกรวดเล็กๆ ก้อนหนึ่งวางอยู่
อีกทั้งบรรยากาศรอบกายของชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายผู้หนึ่ง แม้จะมีขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเช่นเดียวกับยิงฮวาหรือเซี่ยโหยวอวี่ ทว่าขุมพลังและบรรยากาศกดดันเช่นนี้ย่อมทำให้สองยอดฝีมือต้องกลายเป็นเศษสวะด้อยค่าไปในทันที
“คิดว่าการที่เจ้าได้สังหารกับผู้คนที่เป็นไม่ได้แม้แต่ส่วนหนึ่งของสายน้ำไปได้หลายคนแล้วจะทำให้ตัวเองมีความสามารถในการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่แล้วอย่างนั้นหรือ? วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้ประจักษ์ต่อสายตาเอาไว้ว่าอุปสรรคระดับข้าไม่ใช่สิ่งที่แมลงไร้ค่าอย่างพวกเจ้าจะมาขัดขวางได้”
ชายหนุ่มชุดขาวแสยะยิ้มขึ้นมา พลันก็ได้มีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาในมือพร้อมทั้งกวาดรังสีกระบี่ออกมาที่สองพ่อลูกตระกูลหลงอย่างทันควัน
ในเมื่อตอนนี้เป็นการต่อสู้ชี้เป็นตายอย่างแท้จริงแล้ว เขาจึงไม่อาจเก็บออมพลังเอาไว้ได้อีกต่อไป มือใหญ่ทั้งสองข้างที่กุมกระบี่หนักเอาไว้ก็พลิกขึ้นจนเกิดประกายสีแดงเข้มของเพลิงกาฬห่อหุ้มบนตัวกระบี่เอาไว้
กระบี่หนักและกระบี่ยาวเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังของเหล็กกล้ากระทบกัน เสียงดังระงมไปทั่วทั้งผืนฟ้าจนหลงเฉินสัมผัสได้ถึงการสั่นไหวของอภัยวะภายในแล้วตลอดทั้งร่างก็ได้ลอยออกไปไกลอีกครั้งหนึ่ง
หลงเฉินเหม่อมองไปยังเพลิงโอสถที่หลอมอยู่บนตัวกระบี่ของตัวเองก่อนจะปะทุพลังหนุนเข้าไปยังร่างของชายหนุ่มชุดขาว ในช่วงเวลานั้นผู้คนต่างก็คิดว่าชายหนุ่มชุดขาวคงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเซี่ยโหยวอวี่เข้าแล้ว
ทว่าที่มุมปากของชายหนุ่มชุดขาวกลับปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยันขึ้นมา จากนั้นมือข้างซ้ายก็ถูกกวาดออกไปด้านข้างจนทอประกายเจิดจ้าที่มีรูปร่างประดุจโล่กำบังที่ใสดั่งแก้วเข้าสลายพลังสภาวะของเพลิงโอสถลงได้อย่างง่ายดาย
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
หลงเฉินทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นช่างเกินความคาดเดาของเขาไปไกลอย่างมากมายแล้ว อีกทั้งการควบคุมพลังลมปราณเช่นนั้นถือว่ายอดเยี่ยมจนไม่อาจปฏิเสธได้
นี่คงจะเป็นวิชาการฝึกยุทธ์แบบลับเฉพาะชนิดหนึ่งของสำนักอย่างแน่นอน นี่คือการคงอยู่ของศิษย์ที่มีสำนักอย่างนั้นหรือ? ช่างเป็นพลังฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก
“ตึง”
หลังจากกระบวนท่าของหลงเฉินเริ่มจะเลือนหายไป ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามก็ได้ปรากฏเงาของดาบสามสายที่มีความยาวกว่าสามจั่งขึ้นมา ขุมพลังชนิดหนึ่งที่สถิตอยู่ในเงาดาบค่อยๆ แผ่กระจายออกมาโดยรอบ
“สามดาบเงามรณะ”
“ลือกันว่านั่นคือกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของหลงเทียนเซียวที่ยังไม่ผู้ใดสามารถรอดพ้นจากคมดาบนั้นได้มาก่อน”
“จะได้รับชัยชนะหรือไม่นะ”
ประชาชนของจักรวรรดิหลบซ่อนตัวอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปจนไม่สามารถเห็นการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน ทว่าผู้คนที่มีพลังยุทธ์ที่สูงล้ำกว่าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังส่งเสียงดังเซ็งแซ่กล่าวพึมพำกับตัวเอง
เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เฟิงหมิงเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาได้มากมาย ฉะนั้นองค์ชายสี่จึงไม่ปิดกั้นสายตาที่มองเข้ามาจากรอบทิศทางของประชาชน เพื่อที่จะให้พวกเขาเหล่านั้นได้มองเห็นความหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ประชาชนของจักรวรรดิได้พบเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนับตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ราวกับเป็นพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามายังจักรวรรดิเฟิงหมิงอย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นพวกเขาต่างก็ต้องยอมรับและให้ความเคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่งที่ยังยืดหยันอยู่อย่างแน่นอน
สายตาของพวกเขามองไปยังผู้กล้าจากตระกูลหลงที่อยู่ในสภาวะกดดันอันหนักหน่วง ทว่าก็ยังสามารถโต้กลับไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลงเฉินที่ราวกับเป็นเทพจากสรวงสวรรค์ลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังใช้กระบี่ฟาดฟันยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นให้ล้มตายไปได้หลายคนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสังหารผู้นำของจักรวรรดิต้าเซี่ยไปได้อีกด้วย
ประชาชนจำนวนไม่น้อยต่างก็ยังหวังที่จะให้หลงเฉินได้รับชัยชนะ หากมีวีรบุรุษเช่นนี้มาเชิดชูจักรวรรดิคงจะมีแต่ทำให้จักรวรรดิยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นไป
ชายหนุ่มชุดขาวมองไปยังดาบยาวที่ฟันลงมาของหลงเทียนเซียว ก็ไม่ได้ลดทอนความเย้ยหยันบนใบหน้าลงไปเลยแม้แต่น้อย
“ข้านั้นรังเกียจแมลงน่ารำคาญ ยิ่งแมลงที่แยกเคี้ยวกางปีกให้ข้านั้นก็ยิ่งเกลียดจนเข้าไส้”
พลันกระบี่ยาวในมือของชายหนุ่มก็ได้ยกสูงขึ้น
“ตึง”
กระบี่ยาวสาดประกายอันคมกล้าออกไปจนกระทบต่อสายตานับหมื่นพันคู่ราวกับคิดจะทำให้ผู้คนตาบอดไปทั้งหมดทั้งสิ้น จากนั้นก็ได้ฟาดฟันลงไปที่ร่างของหลงเทียนเซียวอย่างรุนแรง ….