“อาหมาน เป็นเพราะมารดาทำร้ายเจ้าเอง”
ฮูหยินหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ในสายตาของนางนั้นอาหมานเป็นเด็กที่ดีมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เสื่อมคลาย เด็กหนุ่มไม่มีซึ่งความโกรธแค้นเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันยังกล่าวปลอบใจนางอีกจึงยิ่งทวีความเศร้าโศกเสียใจอย่างถึงที่สุด
ถ้าหากนางไม่ชักจูงญาติของตัวเองเข้ามา ทุกคนภายในจวนก็คงจะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยิ่งได้มองเห็นอาหมานเริ่มหายใจอย่างโรยรินแล้วก็ยิ่งทำให้นางโกรธเกลียดตัวเองขึ้นมามากกว่าเดิม
“ท่านแม่ไม่ต้องกลัว พี่หลงจะต้องมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน” อาหมานพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคอ พลันก็ได้ยันร่างขึ้นลุกนั่งเพื่อลดทอนการทิ่มแทงของเข็มหนอนกระดูก จนในตอนนี้ความเจ็บปวดก็ได้บรรเทาลงไปเล็กน้อย “เด็กเอ๋ย เจ้าคงจะลำบากมามากแล้ว” ฮูหยินหลงกวาดสายตาคู่งามไปรอบร่างกายของอาหมาน เข็มที่มีปักอยู่เต็มร่างกายคงจะทำให้เขาเจ็บปวดมากอย่างแน่นอน จากนั้นน้ำตาก็หลั่งออกมาจนนองทั้งสองแก้ม เด็กน้อยผู้นี้ถูกลงโทษมาอย่างไรบ้างนะ?
“มารดา ข้าไม่เป็นไร ยิงฮวาผู้บัดซบนั้นเพียงบีบบังคับให้ข้าบอกเรื่องบางอย่างต่อเขา ทว่าข้าไม่ทราบว่าเขานั้นพูดถึงเรื่องอันใด ข้าจึงบอกออกไปแต่คำว่า ‘ไม่’ จนตัวบัดซบผู้นั้นโกรธจนแทบจะคลั่งตายไปเลย” อาหมานกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
อาการบาดเจ็บของยิงฮวาได้ถูกรักษาจนดีขึ้นแล้ว เมื่อได้ยินมาว่าอาหมานได้ถูกจับมาด้วยจึงบังเกิดความดีใจขึ้นมายกใหญ่ แล้วออกคำสั่งให้พาตัวอาหมานไปพบเพื่อซักถามด้วยตัวของเขาเอง
เขามีความประหลาดใจต่อกายเนื้อของอาหมานเป็นอย่างมาก เจ้าหนูผู้นี้ยังไม่เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตเสียด้วยซ้ำไป ทว่ากลับสามารถต้านทานกระบี่ของยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเช่นเขาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นย่อมต้องทำให้กระจ่างขึ้นมาให้จงได้
ยิงฮวาต้องการที่จะรู้ว่าอาหมานได้ฝึกยุทธ์ด้วยวิธีการใด เพราะว่าเขาไม่ได้มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แรงกล้าเท่ากับหลงเฉิน จึงไม่สามารถพิจารณาเข้าไปในร่างกายของอาหมานได้อย่างละเอียด
เพียงแค่มองเห็นว่าภายในร่างกายของอาหมานนั้นมีเส้นลมปราณอยู่แค่สี่สายเท่านั้น ทว่ากลับสามารถฝึกฝนจนมีกายเนื้อที่แข็งแรงและมีพลังอันน่าพิศวงได้ถึงเพียงนี้
ฉะนั้นยิงฮวาย่อมไม่มีทางปล่อยให้วิชาอันลี้ลับและพิสดารเช่นนี้หลุดลอยไปได้ ต่อให้เขาไม่สามารถนำมาฝึกยุทธ์ได้ ทว่าขอเพียงได้ทราบเป็นแนวทางก็ถือเป็นสมบัติอันหาค่าไม่ได้อย่างถึงที่สุดแล้ว
ช่วงเวลาที่เขาเค้นคำตอบจากฝีปากของอาหมานอยู่นั้น กลับไม่มีวาจาอันเป็นประโยชน์จากเจ้าเด็กน้อยปากแข็งผู้นี้ได้เลย แม้แต่ตัวอักษรเดียวก็ยังไม่มีหลุดออกจากปาก ไม่ว่าเขาจะทุบตีต่อยเตะอย่างรุนแรงเพียงใดก็ยังคงไร้ซึ่งซุ่มเสียงของอาหมาน
อีกทั้งยังใช้เครื่องมือลงทัณฑ์อีกมากมายจนนับไม่ถ้วนก็ไม่ทำให้อาหมานปริปากออกมาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เข็มหนอนกระดูกอย่างสุดท้ายก็ไม่ได้ผลอันใดเลย
ทว่ายิงฮวากลับได้ล่วงรู้ถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับร่างกายของอาหมานอยู่ข้อหนึ่งนั่นก็คือร่างกายของเจ้าเด็กน้อยผู้นี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับร่างกายของเขาถึงแปดเก้าส่วน
หากถามไถ่ผู้คนมากมายถึงความเจ็บปวดจากเข็มหนอนกระดูกนั้นจะเป็นเช่นไร? แล้วมีผู้ใดกันที่สามารถทนรับทั้งหมดสิบเล่มได้โดยที่ไม่ตาย? อีกทั้งต่อให้เป็นยอดฝีมือในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเองก็ไม่อาจทนรับความเจ็บปวดเจียนตายจากเข็มหนอนกระดูกนับสิบเล่มได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ยิงฮวาจึงไม่ได้สนใจต่อวิชาการฝึกยุทธ์ของอาหมานอีกต่อไป ทว่ากลับไปประหลาดใจต่อกายเนื้อของอาหมานเสียมากกว่า เขาจึงอยากรู้ว่าคนผู้นี้จะสามารถทนทานรับเข็มหนอนกระดูกได้มากถึงเพียงใดกัน
จนในที่สุดยิงฮวาก็ต้องตกใจขึ้นมายกใหญ่ เมื่อพบว่าร่างกายของอาหมานนั้นเต็มไปด้วยเข็มหนอนกระดูกเกือบจะทุกส่วนแล้วก็ยังคงมีชีวิต นี่จึงเป็นกายเนื้อที่แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวมากเกินไปแล้ว
ในเวลาต่อมาก็ได้มีคำสั่งจากเบื้องบนให้นำตัวอาหมานไปยังลานประหาร ยิงฮวาจึงยุติการทรมานอาหมานไว้แต่เพียงเท่านั้น เขาสั่งให้พลทหารแบกร่างของอาหมานออกไปในทันที
“ชิ ช่างร้ายกาจยิ่งนัก สามารถทนความเจ็บปวดจากเข็มหนอนกระดูกได้มากมายถึงเพียงนั้นก็ยังไม่ตาย อยากจะรู้เสียจริงว่าคอของเจ้าจะทานรับคมดาบไว้ได้หรือไม่ ข้าจะรอดูอย่างใจจดใจจ่ออยู่ใกล้ๆ เลย” หลี่เฟิงปรายตามองไปยังร่างของอาหมานแล้วกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน
“เจ้าตัวบัดซบ พี่หลงจะต้องบมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน” อาหมานตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“ฝันไปเถิด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้เป็นสวรรค์มาโปรดก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน จงกลายเป็นภูตผีวิญญาณให้สบายใจเถิด” หลี่เฟิงหัวเราะออกมาโดยที่ไม่ได้มองมาที่พวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้นเองที่สองฝั่งของลานประหารก็ได้มีการปรากฏตัวของกลุ่มคนจากทั้งจักรวรรดิเฟิงหมิงและจักรวรรดิต้าเซี่ย ฝั่งของจักรวรรดิเฟิงหมิงมีไทเฮาเดินนำหน้าเหล่าองค์ชายและองค์หญิงของราชวงศ์ออกมาจากคนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง
ส่วนฝั่งของจักรวรรดิต้าเซี่ยนั้นมีร่างสูงใหญ่ราวกับหอคอยหลังหนึ่งของชายหนุ่มที่สวมชุดรัดรูปสีเหลือง ด้านหลังของเขาติดตามมาด้วยทหารติดอาวุธอีกสามนาย
บนร่างกายของชายทั้งสี่คนถูกปกคลุมไปด้วยพลังกดดันมหาศาลจนเป็นที่น่าหวาดกลัวของผู้คนที่พบเห็น โดยเฉพาะภายในดวงตาของพวกเขานั้นที่เปล่งประกายออกมาอย่างแรงกล้าประดุจภูเขาไฟลูกหนึ่งที่พร้อมจะปะทุความเดือดดาลออกมาได้ทุกเวลา
ชายหนุ่มผู้สวมชุดรัดรูปสีเหลืองที่เดินนำอยู่ทางด้านหน้าก็คือจักรพรรดิเซี่ยโหยวอวี่แห่งจักรวรรดิต้าเซี่ย ส่วนผู้ติดตามอีกสามคนนั้นเป็นสุดยอดฝีมือแห่งยุคของจักรวรรดิต้าเซี่ย
กลุ่มคนทั้งสองฝ่ายต่างก็ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน องค์ชายสี่เดินนำออกมาก่อน ตามติดมาด้วยยิงฮวา และชายฉกรรจ์รูปร่างผอมบางผู้หนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา อีกทั้งบนแผ่นหลังของเขานั้นก็ได้สะพายค้อนศึกด้ามหนึ่งเอาไว้ คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในสามของยอดฝีมือแห่งจักรวรรดิเฟิงหมิงขุนนางหวูโหว——หวูยี่นั่นเอง
หลังจากที่องค์ชายใหญ่ถูกจับกุมในข้อหาผู้บงการการสังหารองค์ชายต้าเซี่ยไปแล้ว ไทเฮาจึงรับสั่งให้องค์ชายสี่ขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์แทน ในช่วงเวลาที่หวูโหวชักนำกองทัพใหญ่กลับเข้ามาป้องกันจักรวรรดิเอาไว้ ทว่าเมื่อกลับมาถึงก็พบว่ากองทัพทหารแห่งจักรวรรดิต้าเซี่ยได้เคลื่อนทัพเข้ามาภายในเมืองแล้ว
อีกทั้งยังพบว่าองค์ชายสี่ได้ยืนประจันหน้ากับเหล่าทหารจากต้าเซี่ยนับสิบหมื่นนายอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าขององค์ชายสี่ในขณะนั้นช่างเปี่ยมไปด้วยความสุขุมนุ่มลึกอย่างถึงที่สุด จากนั้นเขาก็ได้เจรจาบางอย่างจนกองทัพของต้าเซี่ยหยุดการลงมือ
ประชาชนที่มองเห็นเหตุการณ์ก็ชื่นชมในความสง่างามขององค์ชายสี่กันถ้วนหน้า อีกทั้งยังเกิดความนับถือและเลื่อมใสในความสามารถขององค์ชายผู้นั้นเป็นอย่างมาก เขาช่างมีจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้นำที่จักรวรรดิสมควรจะมี
“ข่าวร้ายของพี่ฉางเฟิง ทำให้ข้ารู้สึกปวดร้าวอย่างยิ่ง ทว่ายังดีที่สวรรค์ยังมีตา เหล่าผู้ที่ข้องเกี่ยวกับแผนการต่างก็ถูกจับกุมเอาไว้ทั้งหมดแล้ว หวังว่าโลหิตของผู้คนเหล่านี้จะสามารถส่งไปถึงวิญญาณของพี่ฉางเฟิงได้”
องค์ชายสี่เดินมาหยุดอยู่ที่เบื้องหน้าของเซี่ยโหยวอวี่ พลันก็ได้ทอสีหน้าเต็มไปด้วยความสำนึกผิดแล้วกล่าวออกมา
ใบหน้าของเซี่ยโหยวอวี่ปรากฏความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ผู้ที่ถูกสังหารลงไปนั้นเป็นบุตรชายที่แท้จริงของเขา หากกล่าวตามความสัตย์แล้วนั้นภายในจิตใจของเขากลับไม่อาจยอมรับการจากไปเช่นนี้ได้ อีกทั้งเขาก็ทราบอยู่แก่ใจแล้วว่าการตายของบุตรชายนั้นเป็นฝีมือขององค์ชายสี่ฉู่เซี่ยผู้นี้นั่นเอง ทว่าก็ไม่อาจที่จะแก้แค้นแทนได้
เพราะมีคนผู้หนึ่งได้กำชับเอาไว้ว่าอย่าได้แตะต้องฉู่เซี่ยผู้นี้แม้แต่ปลายเส้นขน และที่เขายกกองทัพทหารออกมาในครั้งนี้ก็เป็นคำสั่งของคนผู้นั้นด้วยเช่นกัน ฉากที่ดำเนินไปเรื่อยๆ นี้ต่างก็เป็นเพียงละครที่ฉู่เซี่ยแสดงขึ้นมาก็เท่านั้น
“ดูเหมือนว่าฝ่าบาทยังไม่อาจยอมรับการจากไปของพี่ฉางเฟิงได้ ยิ่งฉู่เซี่ยได้เข้ามาใกล้ชิดท่านเช่นนี้ก็สามารถรับความรู้สึกของท่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พี่ฉางเฟิงคงจะเป็นที่รักของท่านบิดาเป็นอย่างมาก เขาไม่น่าตายจากไปเร็วถึงเพียงเลย ช่างน่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง” องค์ชายสี่กล่าวออกมา แล้วก็ถอนหายใจยกใหญ่
ดวงตาของเซี่ยโหยวอวี่หรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด เขาอยากจะฟาดบุรุษจอมปลอมผู้นี้ให้ตายคามือไปสักครั้งหนึ่ง ทั้งที่เขาเป็นผู้บงการการสังหารบุตรชายแล้วยังจะมาเสแสร้งแกล้งปั้นหน้าเช่นนี้ต่อหน้าเขาอีก ช่างน่าชิงชังจนเกินไปแล้ว
ทว่าเขาเองก็ไม่หาญกล้าพอที่จะลงมือต่อองค์ชายผู้นี้ หากสังหารฉู่เซี่ยด้วยน้ำมือของตัวเองเกรงว่าคงจะเป็นการกระตุ้นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาความรุนแรงได้ ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดทนและอดกลั้นความแค้นเคืองเช่นนี้เอาไว้ก่อน
“องค์ชายฉู่เซี่ยเกรงใจเกินไปแล้ว ขอเพียงสามารถสังหารฆาตกรที่สังหารบุตรชายของข้าได้ ข้าคิดว่าฉางเฟิงก็คงจะตายตาหลับไปได้แล้ว” เซี่ยโหยวอวี่จ้องมองเข้าไปในแววตาของฉู่เซี่ยอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมทั้งกระแทกเสียงตรงคำว่า ‘ฆาตกร’ ออกมาเสียงดังอย่างจงใจ
องค์ชายสี่เมินสายตาอาฆาตของเซี่ยโหยวอวี่อย่างไม่แยแส แล้วตอบกลับไปว่า “ฝ่าบาทวางใจเถิด ฆาตกรอยู่ที่นี้ทั้งหมดแล้ว หนีอย่างไรก็คงจะไม่รอดอย่างแน่นอน
และเพื่อความสัมพันธ์อันดีที่มีมาอย่างยาวนานของทั้งสองจักรวรรดิ การเสียสละชีวิตของผู้คนส่วนหนึ่งย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเราก็มีแต่จะต้องปล่อยวางหรือทำเป็นมองไม่เห็นไปบ้าง จึงจะทำให้ทั้งสองจักรวรรดิอยู่อย่างสงบสุขดังเดิมได้ อีกทั้งยังคืนความเป็นธรรมให้แก่ต้าเซี่ยอีกด้วย หวังว่าฝ่าบาทจะมองการณ์ไกลเช่นนี้ด้วยเช่นกัน”
เซี่ยโหยวอวี่รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาภายในจิตใจ ในที่สุดแผนการยึดครองจักรวรรดิเฟิงหมิงที่เคยวางเอาไว้กลับทำให้เขากลายเป็นตัวหมากตัวหนึ่งไปเสียเอง จากที่คอยควบคุมชะตาชีวิตขององค์ชายผู้นี้เอาไว้ทว่าในตอนนี้กลับถูกตลบหลังแทน ที่องค์ชายสี่สังหารเซี่ยฉางเฟิงลงเพื่อป่าวประกาศว่าเขาไม่ใช่ฉู่เซี่ยคนเดิมอีกต่อไปแล้วนั่นเอง
หากเขายังคิดที่จะเข้าควบคุมฉู่เซี่ยต่อไปคงจะเป็นความผิดในความผิดพลาดอย่างมหันต์อย่างแน่นอน หากไม่ระวังตัวคงจะต้องเป็นเขาเองที่ก้าวเข้าสู่หลุมฝังศพ
คำพูดขององค์ชายสี่ได้เสียดแทงเข้าไปภายในอกของเซี่ยโหยวอวี่จนเกิดความเจ็บปวดขึ้นมา เขาทำได้แค่เพียงพยักหน้าไปมา แล้วตอบกลับไปว่า “ไม่เลว ความยุติธรรมถือเป็นความสุขของประชาชน”
“ใช่แล้ว ทว่าความยุติธรรมก็จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือกันทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นอย่าได้ให้คนบาปต้องมาทำลายความสัมพันธ์และความสงบสุขของทั้งสองจักรวรรดิอีกเลย”
เมื่อองค์ชายสี่กล่าวจบก็ได้หันไปมององค์ชายใหญ่และพวกพ้องที่อยู่บนลานประลอง พลันก็ได้เหยียดรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา ทันใดนั้นก็สลายรอยยิ้มกลับไปอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนออกไปเสียงดัง “ฉู่หยาง เจ้าทราบความผิดขอตัวเองหรือไม่?”
องค์ชายใหญ่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ได้สติขึ้นมาในทันที จู่จู่ใบหน้าของเขาก็ได้ทอดสีและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว ดวงตาของเขาเหม่อมองขึ้นไปบนฟากฟ้าราวกับกำลังเห็นภาพที่น่าหวาดกลัวบางอย่างอยู่
“ข้ามีความผิด”
“ข้ามีความผิด”
“……”
แล้วองค์ชายใหญ่ก็ได้ก้มหน้าแนบติดไปกับพื้นพร้อมกับพึมพำออกมาราวกับกำลังสารภาพบาปกับพื้นดินอย่างไรอย่างนั้น ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าที่ท้ายทอยขององค์ชายใหญ่มีเข็มขนาดเล็กเท่าเส้นขนปักอยู่สามเล่ม
ไม่เพียงแค่องค์ชายใหญ่เท่านั้น แม้แต่ไทเฮาเองก็มีเข็มขนาดเดียวกันปักอยู่ที่ท้ายทอยด้วย ทว่ากลับถูกเส้นผมอันยาวเหยียดของนางบดบังสายตาของผู้อื่นเอาไว้
จากนั้นองค์ชายสี่ก็ได้กวาดสายตามองไปทั่วทั้งลานประหารแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เฟิงหมิงและต้าเซี่ย เพื่อความสัมพันธ์และสันติสุขของพวกเรา สิ่งที่เข้ามาบ่อนทำลายความสงบสุขของประชาชนของทั้งสองจักรวรรดิจนไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นได้นั้นจะไม่มีการยกเว้น——สังหารได้”
เมื่อสิ้นเสียงขององค์ชายสี่ ดาบในมือของเหล่าเพชฌฆาตก็ได้เคลื่อนไหวไปมาในห้วงอากาศ
“ฉับ ฉับ ฉับ ฉับ ฉับ……”
ศีรษะกว่ายี่สิบหัวกลิ้งไปตามลานกว้างแหง่นั้น สายโลหิตสีแดงชาดพุ่งกระฉูดออกมาราวกับฝนดาวตกหลายร้อยสาย อีกทั้งยังไหลนองไปเต็มพื้นดินส่งกลิ่นคาวโชยไปทั่วทั้งบริเวณ ผู้คนของตระกูลหลงกว่าครึ่งหนึ่งที่อยู่ด้านหลังตกใจกับฉากที่อยู่เบื้องหน้าจนสลบไปในทันที
ประชาชนที่อยู่ห่างไกลออกไปต่างก็ตื่นตกใจจนถึงกับต้องปิดป้องใบหน้ากันไปทั้งหมด พวกเขาเคยเห็นการเข่นฆ่ากันของผู้คนมาก่อน ทว่าการสังหารหมู่เช่นนี้ช่างโหดเ**้ยมเกินกว่าจะยอมรับได้
อีกทั้งผู้คนที่ถูกประหารไปต่างก็เป็นถึงขุนนางผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ที่ใหญ่โตของจักรวรรดิ ทำให้พวกเขาบังเกิดความหวาดกลัวต่อองค์ชายสี่ขึ้นมาภายในจิตใจอย่างมากมายมหาศาล
เมื่อองค์ชายสี่มองไปยังกลุ่มคนที่ถูกฟันคอลงไปแล้ว ก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างผ่อนคลาย เพราะเขารู้สึกตื่นเต้นมากจนเกินไปแล้ว ความรู้สึกของผู้ที่สามารถควบคุมความเป็นความตายของผู้อื่นได้ช่างเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจนแทบจะกลั้นความยินดีเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
จากนั้นสายตาคู่คมก็ได้กวาดมองไปยังใบหน้าขาวซีดของเหล่าองค์ชายและองค์หญิงรวมไปถึงขุนนางน้อยใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดผวา ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจะพบเห็นเป็นยิ่งนัก
เขาได้หยิบยืมโอกาสการประหารในครั้งนี้เพื่อสะสางผู้คนที่มีความคิดไม่ตรงกับเขาออกไปให้หมดสิ้น หลงเหลือเพียงผู้ที่สวามิภักดิ์และไม่มีความคิดที่เป็นปรปักษ์ เพื่อส่งให้เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิที่มีอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิ
“เจ้าช่างมีจิตใจอำมหิตยิ่งนัก”
องค์ชายสี่ที่กำลังทอดสายตาไปยังร่างไร้ชีวิตของเหล่านักโทษอยู่นั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดผวาของฮูหยินหลง
ร่างกายของฮูหยินหลงสั่นเทาไปทั้งตัว ฉากเบื้องหน้าได้กระตุ้นความหวาดกลัวภายในจิตใจของนางให้ชัดเจนยิ่งขึ้นทว่ากลับไม่ได้สลบไป
“ฮูหยินหลงต้องขออภัยด้วย หลงเฉินนั้นมีความผิดจนไม่อาจให้อภัยได้ ต่อให้เป็นข้าก็ไม่อาจปกป้องพวกเจ้าได้เช่นกัน ฉะนั้นอย่าได้กล่าวโทษข้าเลย”
องค์ชายสี่กล่าวไปด้วยใบหน้าที่แสร้งเป็นเสียใจอยู่ส่วนหนึ่งพลันก็ได้โบกมือขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นดาบยาวเล่มหนึ่งก็ได้ปรากฏอยู่บนมือข้างหนึ่งของเขา “ไสหัวไป! หยุดมือของเจ้าซะ!”
ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ที่ห่างไกลออกไปไม่มากนัก…