กระบี่ยาวได้แทงผ่านแค่ชั้นผิวหนังของอาหมานเพียงแค่สองเซียะเท่านั้น ก็ไม่อาจผลักดันเข้าไปได้อีก นี่เป็นครั้งแรกที่ยิงฮวาได้พบเจอกับสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ร่างกายที่เปรียบได้กับสัตว์มายาตนหนึ่งย่อมถูกสยบด้วยพลังของเขาได้อย่างไม่ยากเย็นอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้กลับเกิดอันใดขึ้น เหตุใดเด็กน้อยผู้นี้กลับหยุดการลงมือของเขาเอาไว้ได้
“ฮูม”
อาหมานไม่ได้สนใจกระบี่ยาวที่ทิ่มอยู่กลางอกเลยแม้แต่น้อย ยังคงจดจ่อไปที่ขวานยักษ์ของตัวเองให้คอยบดขยี้ร่างของยิงฮวาลงไปให้จงได้
ยิงฮวาออกแรงอยู่หลายครั้งก็ยังไม่อาจแทงทะลุผ่านกระดูกของอาหมานไปได้ อีกทั้งสายตาทั้งสองก็ได้จ้องมองไปยังการเคลื่อนไหวของขวานที่กำลังกวาดเข้ามาแล้วถอยหลบไปมาอยู่หลายถ่าย
ในขณะเดียวกันก็สลับไปมองยังที่ที่ห่างไกลออกไป ก็อดไม่ได้ที่จะร้อนรนขึ้นมาภายในจิตใจเสียยกใหญ่ หลงเฉินวิ่งหนีห่างไกลออกมาที่ขอบชายป่านับสิบกว่าลี้ได้แล้ว
หากปล่อยให้หลงเฉินเข้าไปในป่า แล้วหยิบยืมผืนป่าเพื่อหลบซ่อนตัว คงจะหลบรอดจากการไล่ล่าของเขาได้อย่างแน่นอน
ทางด้านอาหมานที่ยังคงขวางรั้งเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย ยิงฮวาก็ไม่ได้แต่กัดฟันกรอดอย่างเหลืออด แล้วใช้สองฝ่ามือกุมไปที่ด้ามกระบี่จนแน่น พลิกคมกระบี่ยาวจนปรากฏประกายแสงสีแดงเพลิงขึ้นมา
“ท่าฟันทลายหินผา”
“ตูม”
ขวานใหญ่ของอาหมานถูกซัดจนหลุดลอยออกจากมือ ร่างยักษ์กลิ้งไปตามพื้นหลายสิบตลบ แล้วกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง สัมผัสได้ถึงพลังสภาวะประหลาดบนร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้สลายลงไป ลมหายใจที่หอบแรงอยู่ก็ค่อยๆ โรยรินลงไปด้วยเช่นกัน
ยิงฮวาถูกบีบคั้นจนต้องใช้ทักษะยุทธ์ระดับพสุธาออกมา จู่โจมจนอาหมานลอยละล่องไปไกล ทว่าเขาเองก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่งเช่นเดียวกัน การโจมตีในครั้งนี้ทำให้เขาไม่อาจปิดบังอาการบาดเจ็บภายในได้อีกต่อไปแล้ว
จากนั้นก็ชักฝีเท้าตามร่างเงาของหลงเฉินออกไปในทันที ขณะที่วิ่งอยู่นั้นก็ได้นำโอสถรักษาระดับสูงเม็ดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติแล้วทำการกลืนลงคอไป ควรทราบไว้ว่าโอสถรักษาอาการบาดเจ็บที่ต่ำกว่าระดับกลางลงไปแทบจะไม่เกิดผลลัพธ์ใดใดกับพลังฝึกยุทธ์ที่สูงส่งของเขาเลย
และโอสถระดับสูงเม็ดนี้ก็ให้ฤทธิ์รักษาได้น้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง แม้เขาจะกลืนโอสถรักษาลงไปแล้ว ทว่าก็ยังรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาจนแทบจะตายลงไปได้เลยทีเดียว
ยิงฮวาหันกลับไปมองยังอาหมานที่นอนแผ่ร่างอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง ก็เกิดความลังเลอยู่ไม่น้อยว่าควรจะจัดการกับอาหมานให้เสร็จสิ้นก่อนดีหรือไม่ คนผู้นี้เป็นตัวประหลาดอย่างแท้จริงจึงไม่อาจปล่อยให้เติบโตขึ้นมาได้โดยเด็ดขาด
ทว่าทันทีที่มองไปยังเงาร่างของหลงเฉินที่หายลับไปในป่าแล้ว ยิงฮวาก็ไม่อาจหยุดฝีเท้าได้อีกต่อไป ห้วงความคิดที่จะกลับไปสังหารอาหมานนั้นก็ได้หลุดลอยไปในที่สุด
อาหมานเหม่อมองไปยังเงาร่างที่พร่ามัวของยิงฮวาที่กำลังไล่ตามเส้นทางของหลงเฉิน ก็เกิดอาการร้อนรนขึ้นมายกใหญ่ รีบคว้าไปยังด้ามขวานซึกเบิกภูผาที่อยู่ข้างกาย แล้วยันตัวลุกขึ้นยืนพลันก้าวเท้าไล่ตามออกไป
ทว่าเท้าที่วิ่งออกไปได้เพียงสองก้าว จู่จู่ก็รู้สึกเหมือนกับโลกได้กลับตาลปัตรไปทั้งสิ้น
“ตึง”
บั้นท้ายของเขากระแทกลงกับพื้นเสียงดังตึง ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่ง มือทั้งสองข้างสั่นระริกไม่หยุดหย่อน นั่นก็บ่งบอกได้แล้วว่าเขาได้ถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว
จากนั้นอาหมานก็ใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระแทกหมัดลงบนพื้นอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ ที่หันขึ้นมาแล้วพบว่ายิงฮวาได้หายลับเข้าไปในเขตป่าที่หลงเฉินอยู่แล้ว
……
หลงเฉินวิ่งอย่างบ้าระห่ำไปตลอดทาง สายตาก็ได้มองไปที่การต่อสู้ของอาหมานเป็นครั้งคราว เมื่อพบว่าอาหมานยังคงพัวพันกับยิงฮวาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ ก็อดร้อนรนขึ้นมาภายในจิตใจเสียยกใหญ่
เขาเกรงว่าหากยิงฮวาถูกกระตุ้นโทสะขึ้นมาจนไม่สนใจมาที่ตน ทว่าจะหันไปสังหารอาหมานแทน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็คงจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน
หากเป็นไปตามความเข้าใจของเขามีต่อยิงฮวาแล้วนั้น ด้วยความเยือกเย็นของชายฉกรรจ์ผู้นั้นคงจะไม่กระทำไปเพียงเพราะอารมณ์โกรธเพียงชั่ววูบจนสูญเสียความเยือกเย็นอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาที่เขาได้ก้าวเข้าสู่ผืนป่ามาในที่สุด ก็พบว่ายิงฮวาได้วางมือจากอาหมานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมามากมายเหมือนกับโยนก้อนศิลาก้อนใหญ่ออกไปได้ทั้งหมด
ภายในป่าอันมืดมิดผืนนี้มีแมกไม้ใหญ่ปกคลุมไปทั่วจนบดบังท้องฟ้าที่สว่างไสวไปจนหมด แม้แต่แสงอาทิตย์อันแรงกล้าก็ยังไม่อาจที่จะลอดผ่านเข้ามาได้
หลงเฉินที่พบเห็นเส้นทางสายหนึ่งก็เอาแต่มุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต อีกทั้งยังพยายามหลบเลี่ยงการเหยียบย่ำกิ่งไม้ใบหญ้าน้อยใหญ่บนพื้นดิน
เพราะว่ากิ่งไม้ใบหญ้าน้อยใหญ่ที่อยู่บนพื้นจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ได้อย่างชัดเจน หลงเฉินจึงพยายามกระโดดเหยียบไปตามก้อนหินหรือไม่ก็บนต้นไม้เพื่อไม่ให้เกิดร่องรอย อีกทั้งยังต้องผ่อนแรงวิ่งให้เบาลงเพื่อไม่ให้เกิดซุ่มเสียงที่จะทำให้ยิงฮวาไล่ตามมาได้
ยังดีที่หลงเฉินข้อได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่ง——นั่นก็คือวิถีโอสถ ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอันแรงกล้าของเขาสามารถจับความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ในระยะไกลได้ ถึงแม้ว่าไม่อาจตรวจพบได้อย่างแม่นยำในทันที ทว่าก็ยังใช้คาดคะเนถึงระยะห่างได้
ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็หยุดฝีเท้าลง ควบคุมลมหายใจเข้าออก ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายแต่อย่างใด แล้วหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะว่างเปล่าราวกับเป็นศิลาก้อนหนึ่งที่อยู่ภายในผืนป่า ภายในจิตสำนึกก็ ‘เห็น’ เงาร่างของยิงฮวาที่เพิ่งจะเข้ามาภายในผืนป่าแห่งนี้
ในช่วงเวลาที่หยุดลงไปนานหนึ่งก้านธูปไหม้ ยิงฮวาที่เพิ่งจะวิ่งเข้ามาเหยียบย่ำอยู่บนผืนป่าสีเขียวขจีได้ไม่นานก็ไม่อาจได้ยินซุ่มเสียงใดใดขึ้นมาอีก สรรพสิ่งทั้งหมดก็ได้เงียบสงัดลงราวกับกำลังจำศีลอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ผ่านไปอีกระยะหนึ่งก็เริ่มมีเสียงของหนอนแมลงบรรเลงเสียงในจังหวะที่แตกต่างกันออกไป ตลอดทั่วทั้งผืนป่าที่ลึกลับแห่งนี้ก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
เสียงร้องขานของเหล่านกและแมลงทำให้สีหน้าของยิงฮวายิ่งปั้นยากขึ้นมา เขาทราบได้ทันทีว่าหลงเฉินได้ใช้ความเจ้าเล่ห์เพื่อที่จะหลบเลี่ยงจากการไล่ตามของเขาอยู่
พลันมุมปากของหลงเฉินก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะมีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
ถึงแม้ว่าระยะห่างของพวกเขาจะเพียงแค่สิบสองลี้ ทว่าความลึกลับท่ามกลางผืนป่าก็ทำให้ปลอดภัยได้เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเมื่อเวลาได้เวียนผ่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ปลอดภัยมากขึ้นอีก
หนึ่งชั่วยาม
สองชั่วยาม
เมื่อผ่านไปถึงสามชั่วยามเต็ม ในที่สุดยิงฮวาก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป จดจ่ออยู่ที่การค้นหาร่องรอยของฝ่าเท้าที่อยู่บนพื้นแล้วเริ่มมุ่งหน้าเข้าลึกขึ้นเรื่อยๆ
ในระหว่างที่ยิงฮวากำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในป่าที่เงียบเชียบราวกับสุสานร้าง หลงเฉินที่เคยหลับตาเข้าสู่ความว่างเปล่าอยู่นั้นก็ได้ลืมตาขึ้นมา
“เหอะเหอะ ยิงฮวา ข้าสู้กับเจ้าไม่ได้ อย่างนั้นก็ให้ข้าเล่นกับเจ้าให้ตายไปเสียเถิด” .