เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 65 พลังจากการสลายดารา

ตำหนักหยกงามเป็นสถานที่พำนักส่วนพระองค์ขององค์หญิงฉู่เหยา มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามชั้นและแต่ละชั้นก็แบ่งเป็นห้องหับหลากหลายห้องอย่างเป็นสัดส่วน บัดนี้หลงเฉินและองค์หญิงสามได้ขึ้นมาถึงชั้นสามอันเป็นห้องบรรทม

นับตั้งแต่กำเนิดขึ้นมานี่เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินได้เยื้องย่างเข้าสู้ห้องส่วนตัวของหญิงสาว และเดิมทีก็คิดว่าภายในห้องของฉู่เหยาคงจะประดับตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่าสมพระเกรียติของชนชั้นสูง ทว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้กลับดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกับห้องหับของเขาเลยเสียด้วยซ้ำไป

“รู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างยิ่งยวดเลยใช่หรือไม่”

ฉู่เหยาที่ถูกหลงเฉินชักจูงขึ้นมาถึงชั้นบนก็เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วกล่าวต่ออีกว่า “แท้ที่จริงแล้วข้านั้นใฝ่ฝันมาโดยตลอดว่าหากตัวเองสละฐานันดรศักดิ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย ไม่ต้องสวมใส่อาภรณ์อันเลิศหรู หรือทานอาหารอันเลิศรส ขอเพียงอิสรภาพในการใช้ชีวิตก็เพียงพอแล้ว”

หลงเฉินยิ้มให้นางแล้วเอ่ยตอบกลับไปว่า “นั่นก็เป็นเพียงภาพที่เจ้าวาดฝันเอาไว้เท่านั้น ไม่มีผู้ใดเลือกเกิดได้ หากกำเนิดมายากจนก็จำเป็นต้องยอมรับความขมขื่นนั้นให้ได้ บนโลกหล้าแห่งนี้หากคิดที่จะมีอิสรภาพของตัวเองจำเป็นจะต้องมีพลังฝีมือที่คู่ควรจึงจะอยู่รอด”

ฉู่เหยาพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย จากนั้นก็เป็นฝ่ายลากหลงเฉินไปยังเตียงนอนของนาง หลงเฉินที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เกิดความแตกตื่นขึ้นมา ทว่าเมื่อเอนกายไปตามแรงดึงของฉู่เหยาแล้วหยุดตรงหัวเตียงกลับพบภาพเหมือนของตัวเองแขวนเอาไว้อยู่

และภาพวาดนี้ย่อมไม่ใช่ฝีมือของนักวาดภาพที่วางขายอยู่ตามท้องถนนทั่วไปอย่างแน่นอน ภาพผืนนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป อีกทั้งยังมีความคล้ายคลึงกับตัวจริงของเขาเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าวาดเองอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถามหยั่งเชิงออกไป

ฉู่เหยามีใบหน้าสีแดงก่ำขึ้นมาแล้วพยักหน้าน้อยๆ ทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าจ้องมองไปที่หลงเฉิน “นับตั้งแต่งานเทศกาลได้เสร็จสิ้นลงไป ข้าก็ได้วาดภาพเหมือนของเจ้าขึ้นมา ไม่เช่นนั้นแล้วทุกวันที่ผ่านพ้นไปของข้าคงจะต้องทุกข์ทรมานมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินวาจาอ่อนหวานถูกโปรยออกมาเช่นนั้น ภายในจิตใจของหลงเฉินก็เกิดความรู้สึกตื้นตันจนไม่อาจจะพรรณนาออกมาได้ “ฉู่เหยา”

มือใหญ่ข้างหนึ่งโอบเข้าไปที่เอวบางของฉู่เหยา ทั้งสองสบสายตากันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหลงเฉินก็โน้มใบหน้าต่ำลง ริมฝีปากของเขาไปประกบกับริมฝีปากเรียวเล็กของฉู่เหยาในทันที แล้วชายหญิงทั้งสองก็จุมพิตกันอย่างดูดดื่มจนผ่านเวลาไปเนิ่นนานแสนนานคล้ายกับต้องมนต์สะกด

“อืม…อา…”

ฉู่เหยาเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบกำลังหมุนเคว้งคว้างไปหมด การหายใจติดขัดและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังธาตุหยางของหลงเฉิน ทั่วทั้งร่างกายสะท้านราวกับถูกไฟช็อตอย่างไรอย่างนั้น โอบกอดนัวเนียไปบนร่างกายที่แข็งแรงของหลงเฉิน เปิดรับความรู้สึกดื่มด่ำที่คล้ายกับคนมึนเมาสุราอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองไว้ได้แล้ว

“หลงเฉิน เรียกข้าว่าฉู่เอ๋อเถิด ข้าปรารถนาที่จะเป็นผู้หญิงของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว” ฉู่เหยาหอบหายใจออกมาระรัว แววตาคู่งามจ้องมองไปยังหลงเฉินที่อยู่ห่างเพียงลมหายใจเดียว ความรู้สึกอันลึกซึ้งในตอนนี้มากจนสามารถหลอมละลายได้แม้แต่เหล็กกล้าเลยทีเดียว

หญิงสาวผู้เลอโฉมที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาในตอนนี้กำลังเร่าร้อนจนตัวของเขาเองยังรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาดุจมีเปลวเพลิงสุมอยู่อย่างไรอย่างนั้น ความใกล้ชิดที่แม้แต่ลมหายใจที่สูดเข้าไปยังเป็นของกันและกันไปแล้ว

การถูกปลุกเร้าของสาวงามกับความกระหายจากก้นบึ้งที่ลึกที่สุดในจิตสำนึกของหลงเฉินกำลังก่อตัวขึ้นมา สองมือใหญ่ที่โอบอยู่ที่เอวก็เริ่มลูบไล้ขึ้นมาทางด้านบนอย่างช้าๆ

“หลงเฉิน ข้าจะเป็นผู้หญิงของเจ้า ต่อให้ต้องตายฉู่เอ๋อก็พึงพอใจแล้ว” ฉู่เหยาพยายามบีบเสียงออกมาขณะที่หายใจหอบหนัก

น้ำเสียงอันแผ่วเบาของฉู่เหยาดังก้องอยู่ในโสตประสาทของหลงเฉินราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่อย่างไม่หยุดยั้ง จากเดิมที่ถูกกระตุ้นด้วยเพลิงราคะ จู่จู่ก็เหมือนมีสายน้ำอันเย็นเยียบสาดเข้ามาจนดับลงไป

ฉู่เหยาหอบหายใจเล็กน้อย นางเริ่มรู้สึกได้ว่าร่างกายของหลงเฉินกำลังสั่นเทาอยู่ ดวงตาคู่งามประสานเข้าไปยังดวงตาของชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ทว่าสีหน้าของหลงเฉินไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว นางจึงเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าเป็นอะไรไป?”

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งเพื่อกำจัดความคิดว้าวุ่นที่กำลังโลดแล้นอยู่ในโสตประสาทจนกลับคืนสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง จากนั้นก็ได้ใช้มือใหญ่ช้อนไปที่ศีรษะของฉู่เหยาขึ้นแล้วจุมพิตลงไปเบาๆ “ฉู่เอ๋อ เจ้าไม่เชื่อใจข้าแล้วใช่หรือไม่?”

คำพูดพร่ำเพ้อของฉู่เหยที่หลงเฉินได้ฟัง เสียงเอื้อนเอ่ยที่สะท้อนความนัยภายในจิตใจของนาง เขาคิดไม่ถึงเลยว่านางตัดสินใจจะมอบร่างกายของนางให้แก่เขา อีกทั้งยังคิดที่จะจบชีวิตของตนเองลงไปด้วย

ห้วงแห่งความคิดของเขาบังเกิดความรู้สึกคับข้องใจที่ไม่ดีขึ้นมาเป็นสาย หากเขาทำให้ฉู่เหยากลายเป็นผู้หญิงของตัวเองคงต้องเสียใจไปชั่วชีวิตอย่างแน่นอน

ความรู้สึกเช่นนี้ช่างซับซ้อนจนยากที่จะทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ได้ หลังจากที่หลงเฉินเองผนึกรวมเข้ากับความทรงจำของจักรพรรดิโอสถแล้วก็มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมยิ่งขึ้นนับตั้งแต่ก่อนหน้าจวบจนถึงบัดนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ยังไม่เคยลวงหลอกเขามาก่อนเลยสักครั้งเดียว

“หลงเฉิน……”

ฉู่เหยาเหม่อมองไปยังใบหน้าที่ว่างเปล่าของหลงเฉิน แล้วฟุบลงไปที่อ้อมอกของชายหนุ่มอีกครั้ง พร้อมกับร่ำไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง “หลงเฉิน ข้ารักเจ้า หากให้ข้าไปแต่งกับชายอื่น ข้าขอยอมตายเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่”

หลงเฉินทำได้เพียงลูบไล้ไปที่แผ่นหลังของฉู่เหยาอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกของเขาไม่ได้ผิดพลาดเลยจริงๆ “ฉู่เอ๋อ เจ้าได้หลงลืมช่วงเวลาที่พวกเราอยู่ในงานเทศกาลแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“มังกรแหวกว่ายไปทั่วสี่คาบสมุทรนับหมื่นลี้ หงส์ร่อนออกไปจากถ้ำทั้งเก้าแดน” ฉู่เหยาพึมพำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม เมื่อกล่าวจบดวงตาคู่งามก็มีน้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย

“เป็นตายอย่างไรย่อมไม่พ่ายให้แก่ท้องทะเล เส้นทางโลหิตมังกรและหงส์เคียงคู่กันจนแก่เฒ่า” หลงเฉินเอ่ยต่อขึ้นมาอย่างหนักแน่น นี่เป็นคำมั่นสัญญาที่หลงเฉินได้ให้ไว้กับฉู่เหยา

มืออันขาวผ่องได้ลูบไปที่แก้มของชายหนุ่ม น้ำเสียงสะอึกสะอื้นกล่าวขึ้นมาว่า “กระนั้น……พวกเราสามารถอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้จริงหรือ?”

“ได้แน่นอน เชื่อใจข้านะ” หลงเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ได้ ข้าจะเชื่อใจสามีในอนาคตของข้า” ฉู่เหยาเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบเต็มสองแก้ม พลันใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นมา ความงดงามของนางประดุจพฤกษาที่เบ่งบานหลังสายฝน ช่างไม่อาจมีสิ่งใดจะเทียมทัดได้อีกแล้ว

“ฉู่เอ๋อ เจ้าช่างงามยิ่งกว่าสิ่งใด” หลงเฉินโพล่งความคิดออกไปจากฝีปาก

“ขอเพียงเจ้าชมชอบ ข้าก็จะให้เจ้าได้เชยชมทุกคืนวัน” เป็นครั้งแรกที่ฉู่เหยาไม่มีความเขินอายเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันความรู้สึกในตอนนี้กลับทวีความดื่มด่ำที่ลึกล้ำมากกว่าก่อน

“เหอะเหอะ ได้ วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ครั้งนี้ข้ามีเป้าหมายที่จะมอบสิ่งของชิ้นหนึ่งให้แก่เจ้า”

หลงเฉินนำโอสถสลายดาราออกมาจากแหวนมิติ การปรากฏขึ้นมาของโอสถเม็ดนี้ทำให้ห้องหับที่เคยมืดสลัวกลับสว่างวาบขึ้นมายิ่งกว่าฟ้าสางในรุ่งเช้า ความเจิดจ้าของมันไม่อาจถูกปกปิดด้วยแสงจากดวงสุริยันที่กำลังส่องสว่างอยู่บนนภาเสียด้วยซ้ำไป

“กลืนมันลงไปเถิด ข้าจะใช้ลมปราณช่วยคุ้มกันเจ้าอีกทางหนึ่ง” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับยื่นเม็ดโอสถไปทางฉู่เหยา

ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบว่าโอสถนี้เป็นเช่นไร ทว่าด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อหลงเฉินอย่างถึงที่สุด จึงทำให้นางยอมกลืนโอสถสลายดาราลงไปอย่างว่าง่าย

หลงเฉินให้ฉู่เหยานั่งสมาธิบนเตียง จากนั้นเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งทาบไปยังแผ่นหลังของนางจนแน่นกระชับ พลันเบิกพลังแห่งจิตวิญญาณให้ไหลออกไปเป็นสาย สายตาคู่คมก็จับจ้องไปที่ท่าทีตอบสนองของฉู่เหยา

โอสถสลายดาราเม็ดนี้ได้ถูกหลอมขึ้นจากพลังแทบทั้งหมดของเขาจนกลายเป็นโอสถขั้นกลางระดับสอง

ผ่านไปไม่ถึงสองช่วงลมหายใจ ฤทธิ์ของโอสถก็ได้ไหลเวียนไปมาอย่างรวดเร็วประดุจน้ำป่าไหลหลาก แทรกซึมผ่านเข้าไปทุกอณูของร่างกาย

“ไม่ต้องสนใจ ปล่อยให้มันวิ่งผ่านไป” หลงเฉินเตือนขึ้นมาเมื่อพบว่าฉู่เหยากำลังจะต่อต้าน

โอสถสลายดาราจะเคลื่อนไหวเสมือนเป็นสายน้ำผ่านเข้าไปยังเส้นลมปราณทุกเส้นในร่างกาย เส้นลมปราณที่เคยถูกอุดเอาไว้ก็จะถูกเกลียวคลื่นดวงดาราค่อยๆ ทะลวงเข้าไปจนทะลุปรุโปร่ง

ทว่าระดับในการทะลวงอันรุนแรงนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทนรับได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกคล้ายกับมีแมลงนับพันหมื่นตัวชอนไชเข้าไปในเส้นลมปราณจนเกิดอาการระคายเคืองอย่างประหลาดชวนให้ขนลุกชันไปทั่วทั้งร่าง

ฉู่เหยาตั้งสติอย่างแน่วแน่ สิ่งที่หลงเฉินกำลังกระทำอยู่นี้ก็เพื่อตัวของนางเอง ฉะนั้นนางจึงอดทนอดกลั้นเอาไว้อย่างไม่คิดชีวิต พยายามไม่ให้ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา มีแต่หลงเฉินเท่านั้นที่พะวงอยู่อย่างเป็นห่วงเป็นใย

ความขมขื่นที่เกิดขึ้นหลงเฉินเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว จากนั้นหลงเฉินก็ได้ชักนำพลังปราณฟ้าดินจากร่างกายของเขาไหลเวียนเข้าไปเบิกเส้นลมปราณของฉู่เหยา หญิงสาวมีใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดจนไม่อาจลืมเลือนไปได้ทั้งชีวิต

แม้ว่าสถานการณ์ของฉู่เหยาจะดีกว่าเขาอยู่มาก ทว่าทั้งความเจ็บปวด ทั้งความระคายเคืองเช่นนี้ต่างก็อยู่ในระดับที่ยากจะทานรับไหวซึ่งคงจะไม่แตกต่างกันมากนัก

เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ ฤทธิ์ทั้งหมดของโอสถสลายดาราก็ได้ซึมเข้าสู่ใจกลางของเส้นลมปราณทุกเส้นของฉู่เหยาแล้ว หลงเฉินที่จ้องมองอยู่ก็ได้พยักหน้าไปมาอย่างพึงพอใจ

“ต่อไปก็ชักนำฤทธิ์โอสถเข้าสู่จุดตันเถียนของเจ้า จงจำเอาไว้ว่าตอนเริ่มต้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในการเบิกเส้นลมปราณเสมือนน้ำในมหาสมุทรนับร้อยสายมาบรรจบกันเป็นสายเดียว”

ฉู่เหยาพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ค่อยๆ ไหลเวียนพลังเพื่อขับเคลื่อนฤทธิ์โอสถกลางเส้นลมปราณไปรวมตัวกันแล้วมุ่งหน้าทะลวงเข้าสู่จุดตันเถียน

หลงเฉินประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้เมื่อพบเห็นการควบคุมลมปราณของฉู่เหยาที่จัดอยู่ในระดับดีเยี่ยม แน่นอนว่าฉู่เหยานั้นมีอัจฉริยภาพทางด้านการผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่ง

ถ้าหากจุดตันเถียนไม่ได้ถูกพลังทั้งเก้าสายผนึกลมปราณเอาไว้จนเกิดความยุ่งเหยิงขึ้นเช่นนั้น ไม่แน่ว่าช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ที่หุบเขาเมฆาคล้อย ผลลัพธ์ของพลังที่นางแสดงออกมาคงจะต้องกลับตาลปัตรอย่างแน่นอน

“ดี ตอนนี้ก็เพิ่มความเร็วขึ้นหน่อยเถิด ไหลเวียนให้เสมือนกับเป็นคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหากันจนเกิดเป็นอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งเร็วก็ยิ่งดีนะ” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

ขณะนี้ฤทธิ์ของโอสถภายในร่างกายของฉู่เหยาก็ได้ถูกรวบเอาไว้ด้วยกันจนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ปะทุพลังมากขึ้นเรื่อยๆ

ฉู่เหยาเพิ่มพลังและเร่งการไหลเวียนให้เร็วขึ้นจนเส้นลมปราณแต่ละสายถูกอัดแน่นไปด้วยพลังอันมหาศาลไหลทะลักเข้าไปในจุดตันเถียนอย่างบ้าคลั่ง

“ตูม”

จุดตันเถียนของนางเกิดการสั่นไหวขึ้นมาทำให้พลังประหลาดทั้งเก้าสายที่เข้าผนึกจุดตันเถียนถูกทะลวงอย่างรุนแรงจนล้มระเนระนาดไปในทันที

“ไม่ได้ ยังขาดพลังอีกเล็กน้อย”

หลงเฉินทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณอันมหาศาลของตัวเองพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่งเข้าชักนำฤทธิ์โอสถให้หลั่งไหลไปยังใจกลางของจุดตันเถียน

“ซูมซูมซูม……”

เสียงปะทุดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องถึงเก้าครั้ง พลังลมปราณทั้งเก้าสายที่บ่มเพาะเอาไว้มานานหลายปีก็ถูกทลายลงไปในที่สุด จนพลังของฉู่เหย่าไหลเวียนเข้าสู่ใจกลางของจุดตันเถียนได้สำเร็จ

“ตูม”

ภายในจุดตันเถียนของฉู่เหยาบังเกิดพลังอันมหาศาลขึ้นมา นึกไม่ถึงเลยว่าในตอนนี้นางได้ทะลวงพลังขั้นก่อรวมระดับที่เก้าเข้าสู่พลังขอบเขตก่อโลหิตไปแล้ว

“ก่อโลหิตขั้นที่หนึ่ง”

“ก่อโลหิตขั้นที่สอง”

“ก่อโลหิตขั้นที่สาม”

“……”

พลังการฝึกยุทธ์ก้าวหน้าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างก้าวกระโดดจนเป็นที่น่าตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง พลังประหลาดทั้งเก้าสายคล้ายกับสุกรอวบอ้วนที่ถูกเลี้ยงเอาไว้จนใหญ่โต เมื่อได้ถูกสังหารไประเบิดเป็นพลังอันมหาศาลขึ้นมา

“ขั้นที่ห้า”

“ขั้นที่หก”

ในที่สุดก็ได้พบกับสิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับฉู่เหยาแล้ว หว่างซานผู้นั้นก็เป็นได้แค่ลมที่ผายออกมาจากบั้นท้ายก็เท่านั้น

“ขั้นที่เจ็ด”

“ขั้นที่แปด”

พลังการฝึกยุทธ์ของฉู่เหยาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งท่าทีที่สามารถทะลวงพันธนาการเกินกว่าขั้นก่อโลหิตขึ้นไปอีก

“ตูม”

นี่ช่างไม่ต่างไปจากที่หลงเฉินคาดเดาเอาไว้เลย เมื่อมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาพลังของฉู่เหยาก็ได้เพิ่มขึ้นมาถึงเก้าขั้น อีกทั้งภายในเส้นลมปราณยังหลงเหลือพลังอันมหาศาลอยู่อีกมากมาย

“แย่แล้ว”

หลงเฉินตะโกนออกมาเสียงดัง เขารีบไหลเวียนพลังจากจุดดารากักวายุทั้งหมดจนกลายเป็นพลังลมปราณไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของฉู่เหยาอย่างรวดเร็ว แล้วผนึกจุดตันเถียนของฉู่เหยาอย่างเอาเป็นเอาตาย

“พรวด”

หลงเฉินกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ที่เขาชักนำพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของฉู่เหยาเพราะเกรงว่าพลังอันมหาศาลจะหวนมาทำร้ายฉู่เหยา เขาจึงทำการป้องกันออกไปทว่ากลับไม่สามารถสวนกลับลมปราณที่เสมือนม้าพยศของฉู่เหยาได้

“หลงเฉิน……” ฉู่เหยาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตอนนี้นางไม่อาจที่จะควบคุมพลังของตัวเองเอาไว้ได้ทั้งหมด

“ไม่เป็นไร คุมสติเอาไว้ อย่าได้เกิดจิตว้าวุ่น เจ้าจงช่วยข้าจัดการกับพลังภายในจุดตันเถียนเถิด อย่าให้ทะลวงไปได้อีก ไม่เช่นนั้นคงจะต้องเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาขณะที่ไหลเวียนพลังเข้าควบคุมจุดตันเถียนของฉู่เหยา

ฉู่เหยารวบรวมสติอีกครั้ง แล้วทำการควบคุมพลังลมปราณภายในจุดตันเถียนของตัวเองไปพร้อมกับการลงมือของหลงเฉินเพื่อสกัดกั้นไม่ให้พลังอันมหาศาลนี้วิ่งไปมาอย่างบ้าคลั่ง

เวลาได้ผ่านล่วงเลยไปอีกหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดสภาวะพลังภายในจุดตันเถียนของฉู่เหยาก็ได้สงบลงพร้อมกับร่างบางของนางก็ได้ล้มแผ่บนเตียงเนื่องจากสูญเสียพลังจากการเพ่งสมาธิไปเมื่อสักครู่นี้เป็นอย่างมาก

หลงเฉินก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกันมากเท่าใดนัก หากเขาไม่ได้มีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งกล้าก็คงจะสลบลงไปตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว อีกทั้งหากไม่สามารถจับความรู้สึกได้ทันก็คงจะกลายเป็นเรื่องที่ย่ำแย่ขึ้นมาอย่างแน่นอน

หลงเฉินจัดท่าท่างของฉู่เหยาให้นอนบนเตียงอย่างสุขสบาย เขาดึงผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมไปยังร่างบางที่กำลังหลับตาพริ้ม จากนั้นก็ได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งความว่าให้นางพักผ่อนให้เต็มที่ ปล่อยเรื่องทั้งหมดให้เขาจัดการแต่เพียงผู้เดียว

ฉู่ฟงที่รอคอยอยู่ชั้นล่างถึงสามชั่วยาม เมื่อได้เห็นใบหน้าอ่อนล้าและร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของหลงเฉินก็เอาแต่ปิดปาก ไม่ยอมเอ่ยวาจาอันใดออกมาอีกเลย

“ไปเถิด ข้าเหนื่อยเป็นยิ่งนัก” หลงเฉินไร้เรี่ยวแรงที่จะอธิบายออกไปยืดยาว จึงกล่าวออกมาเพียงเท่านั้น

จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้ออกมาจากตำหนักหยกงาม เมื่อเดินไปตามทางเดินได้สักระยะหนึ่งก็มีร่างของคนผู้หนึ่งขวางทางอยู่เบื้องหน้า

“องค์ชายสี่ต้องการพบท่าน” . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset