นับจากเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงที่ผ่านมา การประลองอันยอดเยี่ยมระหว่างหลงเฉินและหว่างซานก็โด่งดังไปไกลทั่วทุกหนแห่ง นามของหลงเฉินแห่งจักรวรรดิเฟิงหมิงได้ลือเลื่องไปทั่วจนบัดนี้แทบจะไม่มีผู้ใดที่ไม่ทราบนามที่ดังกระฉ่อนของเขา
โดยเฉพาะในกลุ่มของชายหนุ่มผู้เยาว์ที่ยกย่องให้หลงเฉินเป็นแบบอย่างที่น่ายึดถือในความเพียรด้านการฝึกยุทธ์ เมื่อเอ่ยถึงนามนี้เมื่อใดก็อดไม่ได้ที่จะทอประกายแววตาเจิดจ้าด้วยความเคารพนับถืออย่างถึงที่สุด
ไม่ว่าจะอยู่ในดินแดนแห่งใดก็ย่อมบังเกิดผู้ที่มีพรสวรรค์อันน่าประหลาดใจ อีกทั้งยังเป็นพรสวรรค์ที่ว่านั้นก็ไม่ได้มีเพียงแค่สายวิทยายุทธ์เท่านั้น
ช่วงเวลาหลังจากงานการประลองก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วกว่าสิบวัน แต่กลับเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆ แค่สิบกว่าวันของหลงเฉิน พรสวรรค์อันแสนประหลาดของชายหนุ่มผู้หนึ่งสามารถทำกำไรอย่างมหาศาลกว่าร้อยตำลึงให้กับคนผู้หนึ่ง
เดิมทีคนผู้นี้เป็นเพียงนักวาดภาพในจักรวรรดิเฟิงหมิงผู้หนึ่ง แม้ยศถาบรรดาศักดิ์จะไม่ได้ดูย่ำแย่และแร้นแค้นอย่างที่คิด แต่การเขียนภาพนั้นไม่ได้ถูกมองว่าเป็นอาชีพที่สูงส่งสักเท่าใดจึงมีรายได้แค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
แต่ว่าหลังจากที่เขาได้เห็นการต่อสู้อันแสนมหัศจรรย์ของหลงเฉินแล้ว ในยามค่ำคืนที่กลับไปถึงบ้านพักของตัวเองก็ได้ใช้เวลาถึงสามวันสามคืนสรรค์สร้างภาพวาดอันประณีตและงดงามขึ้นมาอยู่หลายสิบชุด
บุคคลที่อยู่ในภาพวาดทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นหลงเฉิน เดิมทีหลงเฉินนั้นมีเค้าโครงของใบหน้าที่หล่อเหลาและคมคายอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ผ่านการกวัดแกว่งปลายพู่กันจากนัดวาดภาพผู้มีความคิดสร้างสรรค์ผนวกกับฉากหลังที่สมจริงจนกลายเป็นภาพวาดที่คล้ายกับเทพบนสวรรค์ลงมาจุติ
โดยเฉพาะภาพวาดที่หลงเฉินกำลังประลองการหลอมโอสถที่คล้ายกับมีรัศมีรอบตัวของเขาเปล่งประกายออกมาอย่างโดดเด่นจนกลายเป็นจุดดึงดูดสายตาจากผู้คนมากมาย
หลังจากที่คนผู้นั้นได้วาดภาพเหล่านั้นจนเสร็จสมบูรณ์ก็ได้ไปเสาะหาช่างแกะสลักแล้วสรรค์สร้างภาพเหมือนของหลงเฉินขึ้นมา หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้นำชิ้นงานเหล่านั้นออกมาเผยแพร่ หนุ่มสาวมากหน้าหลายตาต่างก็แย่งชิงผลงานเหล่านั้นกันอย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว
ภาพเหมือนนับพันภาพถูกซื้อไปจนหมดเพียงแค่พริบตาเดียว ส่วนคนที่ซื้อหาไม่ทันก็ขอร้องให้ช่างแกะสลักจัดทำขึ้นมาอีกอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ จนคนที่ต้องการซื้อทั้งหลายมาต่อแถวเรียงรายกันอย่างยาวเหยียดอยู่ที่หน้าบ้านพักของเขาด้วยจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ
จนช่างแกะสลักผู้นั้นต้องหาลูกมือมาเพิ่มแล้วเริ่มสร้างสรรค์ชิ้นงานอย่างไม่คิดชีวิตรวมทั้งสิ้นเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงเพียงพอต่อจำนวนผู้คนเหล่านั้น
แต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้ เหล่านักวาดภาพก็เริ่มเปิดเผยตัวกันมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็นกลุ่มการค้าไปในที่สุด อีกทั้งยังกลายเป็นอาชีพที่สูงส่งยิ่งกว่าเดิม หลังจากที่ภาพเหมือนชุดแรกได้ถูกขายออกไปจนหมดก็ได้มีภาพชุดที่สองออกมาอีกระลอก
ชุดที่สองที่ได้ปล่อยออกมากลับโด่งดังยิ่งกว่าชุดแรกมาก ด้วย**บห่อที่ดูอลังการ กระดาษที่ใช้ก็ทำด้วยหนังสัตว์อย่างประณีต อีกทั้งยังสามารถจัดเก็บเอาไว้ได้นานไม่ต่ำกว่าร้อยปีและสามารถสลักนามของผู้เป็นเจ้าของเข้าไปได้อีกด้วย ที่สำคัญคือมีจำนวนจำกัด
แน่นอนว่าภาพวาดที่มีจำนวนจำกัดเช่นนั้นย่อมมีราคาที่สูงลิบลับอย่างคาดไม่ถึง แต่ทว่าก็ยังมีผู้คนมากมายให้ความสนใจและจับจองด้วยจำนวนการสั่งซื้อที่ท่วมท้นจนน่าตกใจ
ภายในภาพวาดชุดนี้มีจำนวนทั้งหมดกว่าหนึ่งร้อยแผ่นที่ได้บันทึกทิวทัศน์ของคืนวันประลองกันหว่างซาน การสารภาพความในใจขององค์หญิงสาม การประลองโอสถกับเซี่ยปายฉือ หว่างซานกระตุ้นโทสะของหลงเฉิน หลงเฉินท้าประลองเป็นตายกับหว่างซาน จนเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในค่ำคืนนั้นก็ได้ถูกเขียนลงบนหนังสัตว์อย่างสวยงาม
ภายในช่วงเวลาเพียงแค่สิบวันก็ทำให้พวกเขากอบโกยเงินทองไปได้กว่าร้อยหมื่นตำลึงทอง จากนักวาดภาพธรรมดาสามัญก็มีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงพริบตาเดียวจนกลายเป็นที่จับตามองของเหล่าผู้คนเทียบเท่ากับหลงเฉินเลยก็ว่าได้
เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงสิบวันที่ผ่านมาไม่อาจล่วงรู้ไปถึงหูตาของหลงเฉินได้ในตอนนี้ เพราะเขากำลังทะลวงพลังเข้าสู่ขั้นก่อรวมระดับที่เก้าแล้ว
ที่หลงเฉินสามารถทะลวงพลังขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ก็คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องจากการประลองเป็นตายระหว่างเขาและหว่างซานก็เป็นไปได้
มีเพียงประสบการณ์ที่ได้ประสบพบพานกับความเป็นตายเท่านั้นที่จะกดดันให้คนผู้หนึ่งก้าวข้ามขีดจำกัดของสภาวะจิตใจของตัวเองจนแปรเปลี่ยนเป็นการพัฒนาพลังกายที่รวดเร็วถึงเพียงนี้
ขณะนี้หลงเฉินกำลังหมุนเวียนพลังทั้งหมดเก้าสายอยู่นั้นก็ได้ดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินเพื่อชักนำเข้าสู่จุดดารากักวายุ ขอเพียงภายในจุดดารากักวายุมีพลังอย่างเต็มเปี่ยมก็จะบังเกิดเป็นพลังแห่งปราณโลหิตขึ้นมาได้ เช่นนั้นหลงเฉินก็จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตได้ในที่สุด
ขอบเขตก่อโลหิตนั้นเป็นเหมือนกับสภาวะของโลหิตภายในเนื้อเยื่อของมนุษย์ ขอเพียงเข้าถึงขอบเขตก่อโลหิตได้ก็จะถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริงได้แล้ว
ก่อโลหิตเป็นการไหลเวียนของเส้นพลังที่แท้จริงแล้วชักนำโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ใช้ออกมา การสกัดอันบริสุทธิ์นี้ได้มาจากอาหารที่ครบทั้งห้าหมู่ที่จะพอเพียงต่อการนำไปหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อภายในร่างกาย อีกทั้งยังทำให้โลหิตบริสุทธิ์ของผู้ใช้มีความเข้มข้นที่สูงยิ่งขึ้น และใช้ขับสิ่งปนเปื้อนออกไป
แต่ทว่าก่อนที่จะเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตได้ จำเป็นที่จะต้องผ่านขั้นก่อรวมทั้งเก้าระดับก่อน เมื่อชักนำลมปราณทั่วทั้งร่างให้อยู่ในระดับที่คงที่ได้แล้ว จึงจะสามารถเริ่มกระบวนการทำให้โลหิตกลายเป็นปราณ โดยชักนำโลหิตบริสุทธิ์ให้เกิดการไหลเวียนได้อย่างปกติขึ้นมาอันเรียกกันว่า——ปราณโลหิต
ปราณและโลหิตบริสุทธิ์ที่ผสานเข้าด้วยกันจะปะทุพลังอันมหาศาลขึ้นมาอย่างท่วมท้นจนยากที่จะคาดเอาได้อันเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเลื่อนระดับของผู้ฝึกยุทธ์
“ตูม”
จุดดารากักวายุของหลงเฉินเกิดการปะทุขึ้นมาอย่างดุเดือด จนทำให้เขาดีใจขึ้นมายกใหญ่ นี่เป็นสัญญาณอันดีว่าใกล้จะเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อโลหิตแล้วหรือ หลงเฉินสงบสภาวะจิตใจที่ตื่นเต้นระรัวนี้เอาไว้ แล้วค่อยๆ ไหลเวียนพลังจนเกิดสภาวะที่นิ่งสงบขึ้น
ในช่วงเวลาเช่นนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ย่อมไม่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดอันใดได้ ถ้าหากเสียสมาธิจนปรากฏจุดรั่วไหลขึ้นมาแม้แต่น้อยก็อาจทำให้ตัวของเขาเองได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน
“ตูม ตูม ตูม”
จุดดารากักวายุเกิดการปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ลมปราณมหาศาลถูกกักเอาไว้อย่างไม่หยุดหย่อน จนบัดนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดแล้ว หลงเฉินไม่กล้าดีใจออกมาอย่างลิงโลดจึงได้จดจ่ออย่างตั้งใจอยู่ที่การไหลเวียนพลังทั้งหมด
การปะทุของพลังอันมหาศาลนี้ได้ดำเนินไปจนถึงสามชั่วยาม แต่ทว่าร่างกายก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
หลงเฉินรู้สึกแปลกประหลาดใจขึ้นมาอย่างยิ่งยวด สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้แทบจะไม่เหมือนกับบันทึกที่ถูกจดเอาไว้ในหนังสือเลย
ต่อให้การเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใดก็ไม่น่าจะยากจนถึงเพียงนี้ได้ เมื่อตอนที่หลงเฉินเข้าไปในหอทักษะยุทธ์ก็ได้พลิกบันทึกที่เกี่ยวกับกับการฝึกยุทธ์หลายต่อหลายเล่มก็พบว่าโดยส่วนมากแล้วผู้ที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตได้นั้นขอเพียงมีพลังลมปราณที่เต็มเปี่ยมจนทะลวงพลังติดต่อกันไปได้ ด้วยเหตุนี้เขาก็สมควรที่จะเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตแล้วไม่ใช่หรือ
แต่บางบันทึกก็กล่าวไว้ว่ามีผู้คนบางส่วนจำเป็นจะต้องทะลวงไปทั้งสองสายหรืออาจจะสามสายแล้วจึงจะเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิต ในบันทึกกล่าวไว้ว่าการทะลวงเพื่อเลื่อนระดับขั้นนั้นมีอยู่มากมายหลายรูปแบบ และยิ่งผู้คนใดมีพลังสภาวะที่สูงส่งก็ย่อมมีวิธีการทะลวงที่มากขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน
นับตั้งแต่ที่หลงเฉินได้ทะลวงเข้าสู่พลังขั้นก่อรวมระดับที่เก้าแล้วก็อดไม่ได้ที่เกิดความปิติยินดีขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เขาคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะแห่งแผ่นดินนี้เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุนี้การที่เขาจะทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปก็อาจต้องค้นหาวิธีการอื่นไปด้วย แม้ว่าภายในจิตใจจะเกิดความยินดีแต่ก็คล้ายกับว่าจะหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
หลงเฉินดำเนินการทะลวงพลังเพื่อปลดพันธนาการไปไม่รู้มากน้อยเพียงใดแล้วถึงสามชั่วยาม แต่กลับไม่เกิดผลลัพธ์ที่แจ่มแจ้งอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาคิดว่าย่อมไม่น้อยกว่าร้อยสายอย่างแน่นอน
การทะลวงพลังในครั้งนี้แทบจะบ่อนทำลายสภาวะของเขาไปจนแทบทั้งสิ้น สิ่งที่บันทึกเอาไว้ในหนังสือเหล่านั้นกล่าวเอาไว้ว่าอย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สามสายเท่านั้น
เวลาผ่านไปกว่าสามชั่วยามแล้วย่อมไม่แปลกหากหลงเฉินจะรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างมากมายถึงเพียงนี้ นี่เป็นการพันธนาการที่คนสามัญธรรมดาทั่วไปก็ไม่อาจที่จะเทียบเคียงได้เลยแม้แต่ปลายขนแขน
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะถูกเจ้ารั้งเอาไว้”
หลงเฉินกัดฟันแน่น ด้วยภวังค์แห่งความคิดอันว้าวุ่นที่จะเข้าสู่ขอบเขตต่อไปอีกระดับได้ถาโถมเข้ามารบกวนความเชื่อมั่นของเขาอย่างล้นหลาม เขาจึงรวบรวมสติแล้วไตร่ตรองอีกครั้งว่าระดับความยากในการทะลวงพลังระดับต่อไปนั้นมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
ในขณะนี้หลงเฉินประสบกับเหตุการณ์ที่ราวกับขึ้นไปอยู่บนหลังเสืออันยากยิ่งที่จะลงมาได้ ที่จะทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่กัดฟันสู้และทนรับกับสภาวะที่ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ต่อไป เขาดำเนินการไหลเวียนพลังนั้นจนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืนจนแทบจะคลั่งขึ้นมาอย่างง่ายดาย
หลงเฉินไม่อาจทราบได้ว่าเขานั้นได้ทะลวงพันธนาการไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว รู้ตัวอีกทีก็มีเนื้อตัวที่แข็งทื่อเหมือนกับท่อนไม้ที่ไหม้เกรียมไปแล้ว ภวังค์แห่งความคิดของเขาโลดแล่นเข้ามาอีกครั้งว่าให้เขาปล่อยวางจากสิ่งนี้ไปเสีย
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาได้เริ่มเข้าสู่จุดดารากักวายุก็เคยบังเกิดความสงสัยขึ้นมาเช่นกัน ว่าการไหลเวียนเหล่านั้นผิดพลาดมาจากจุดดารากักวายุหรือไม่ หรือแท้ที่จริงแล้วจุดดารากักวายุไม่สามารถแทนที่จุดตันเถียนได้อย่างนั้นหรือ? แต่แล้วเขาก็ได้ผ่านมันไปได้
“ตูม”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังครุ่นคิดขึ้นมาอย่างวุ่นวายอยู่ ทันใดนั้นจุดดารากักวายุก็ได้ทอแสงเปล่งประกายขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง หลงเฉินเบิกตากว้างด้วยความยินดีเสียยกใหญ่ ในที่สุดก็จะสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ?
ระหว่างที่เกิดเสียงระเบิดขึ้นมานั้นที่จุดตันเถียนของหลงเฉินก็เกิดความร้อนระอุขึ้นมาเป็นสาย หลงเฉินที่กำลังอ้าปากตาค้างอยู่สังเกตเห็นว่าพลังที่เคยชักนำอยู่ทั้งหมดเก้าสายก็ได้งอกเงยเพิ่มขึ้นมาอีกสายหนึ่ง นี่คือ——พลังสายที่สิบ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?”
หลงเฉินไม่อาจข่มความรู้สึกแตกตื่นตกใจเช่นนี้ได้ พลังปราณโดยปกตินั้นมีเพียงแค่เก้าสายไม่ใช่หรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
ที่เขาตั้งใจจดจ่อจนไม่เป็นอันกินอันนอนอยู่หลายคืนก็ยังไม่ได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิต แต่กลับเกิดพลังขั้นก่อรวมระดับที่สิบขึ้นมาได้ แทบจะทำให้เขากลายเป็นตัวโง่งมขึ้นมาในทันที
นับตั้งแต่สมัยโบราณที่ผ่านมาเป็นหมื่นปี พลังขั้นก่อรวมระดับที่เก้าก็เหมือนกับการฝึกยุทธ์ที่เกิดขึ้นมาจากวิธีการประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังว่ามีคนผู้ใดสามารถเข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อรวมจนถึงระดับที่สิบได้มาก่อน
หากเรื่องราวเฉกเช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับผู้ใดก็ตามก็ย่อมทำให้คนผู้นั้นทอประกายแววตาที่โง่งมขึ้นมาแทบทั้งสิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่หลงเฉินเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน ใบหน้าแน่นิ่งเมื่อเห็นพลังสายที่สิบพุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย ริมฝีปากแห้งผากจนไม่อาจเปิดปากขึ้นมาได้
การเลื่อนระดับขึ้นมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ก็ย่อมน่าประหลาดใจมากอยู่แล้ว แต่ที่ยิ่งต้องแตกตื่นมากกว่านั้นก็คือสภาวะของพลังสายนั้นเริ่มขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ
โดยปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์จะทราบกันดีอยู่แล้วว่าพลังขั้นก่อรวมหากได้ก่อตัวขึ้นมา ไม่ว่าจะมากน้อยเท่าใดก็จะคงอยู่ในสภาวะเช่นนั้นไปตลอดกาล ซึ่งเป็นสิ่งที่หลงเฉินกำลังพบพานอยู่ในตอนนี้
“หรือว่าจะเกิดจากเคล็ดกายานวดารา?”
หลงเฉินได้แต่เพียงคาดเดาไปเองว่าจะต้องเป็นเพราะเคล็ดกายานวดาราที่อยู่ภายในร่างกาย ฉะนั้นเส้นทางของการฝึกยุทธ์ทั้งหมดก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปและไม่อาจเป็นเหมือนกับคนปกติทั่วไปอย่างแน่นอน
สภาวะของพลังเหล่านั้นขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านไปไม่กี่พริบตาก็ได้ใหญ่โตมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เดิมทีที่มีขนาดเท่าถ้วยชามแต่บัดนี้กลับมีขนาดใหญ่เท่าถาดใบหนึ่งเลยทีเดียว
ถึงแม้จะไม่ทราบได้อย่างแน่ชัดว่าความแปลกประหลาดที่ก่อเกิดขึ้นมาตอนนี้นั้นมาจากเหตุผลอันใด แต่หลงเฉินก็พอจะทราบอยู่อย่างหนึ่งว่าการขยายใหญ่ของพลังปราณที่มากขึ้นย่อมต้องเป็นเรื่องดีที่สวรรค์ประทานมาให้เขา
พลังปราณที่มากขึ้นยิ่งจะทำให้ลมปราณฟ้าดินฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้นไปด้วย ในเทศกาลโคมไฟนั้นหลงเฉินได้ต่อสู้จนสูญเสียลมปราณไปมาก แต่บัดนี้ก็ได้ฟื้นฟูจนกลับคืนมาสมบูรณ์ด้วยระยะเพียงไม่นานจนหลงเฉินไม่อาจหยุดความแตกตื่นที่ปะทุขึ้นมาภายในจิตใจของเขาได้ เคล็ดกายานวดารานั้นช่างพิสดารเกินไปแล้ว
ด้วยขอบเขตขั้นก่อรวมระดับที่เจ็ดของหลงเฉินก็ยังทำให้เขาสามารถเอาชนะหว่างซานที่มีพลังขั้นก่อโลหิตถึงระดับที่เจ็ดมาได้ เพียงเท่านั้นก็ถือเป็นพลังการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวเหนือธรรมดาไปได้มากแล้ว
แต่ว่าเคล็ดกายานวดารายังคงมีพลังเร้นลับถูกซ่อนเอาไว้อยู่มหาศาลอย่างไม่อาจคาดเดาได้ และที่เขาได้ค้นพบมาจนถึงตอนนี้อาจยังเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งลูกใหญ่เท่านั้น
ความแข็งแกร่งของเคล็ดกายานวดาราเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งยังทำให้ผู้คนทั้งจักรวรรดิแตกตื่นขึ้นมาจนไม่อาจที่จะสงบลงได้ถึงเพียงนี้ หากปลดปล่อยพลังสายที่สิบออกไปก็มีแต่จะยิ่งย่ำแย่ หลงเฉินที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ถึงอนาคตจึงได้เกิดความหวาดหวั่นอย่างเต็มเปี่ยม
พลังทั้งสิบสายนั้นย่อมไม่อาจที่จะเปิดเผยออกไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาอาจจะต้องเจอภยันตรายที่จะตามมามากมายหากผู้ใดได้พบเห็นพลังวิชาเช่นนี้ แต่หลังจากการประลองครั้งนั้นก็คงจะไม่มีใครเกิดความอิจฉาตาร้อนขึ้นมาอีกแล้ว เขาจึงได้แต่หวังว่าจะไม่ต้องปะทุพลังขึ้นมาดังเช่นการต่อสู้ครั้งที่แล้วอีก
ขณะนี้หลงเฉินกำลังไหลเวียนพลังไปอย่างต่อเนื่อง เพราะเขาไม่ทราบว่าเคล็ดกายานวดาราจะมีจุดสิ้นสุดในขอบเขตขั้นก่อรวมที่เท่าใด แล้วจะต้องก่อรวมขึ้นมาอีกกี่สายกันแน่
แม้ว่าพลังปราณที่ยิ่งมากขึ้นจะทำให้ความแข็งแกร่งยิ่งมากขึ้นไปด้วยก็ตาม แต่ว่าการเดินทางไปทั่วโลกหล้าย่อมไม่อาจใช้ต่อสู้เช่นนี้ไปได้ตลอด ต่อให้เขาเป็นเหมือนแพะที่มีเขาอยู่นับหมื่นก็คงไม่อาจกัดพยัคฆ์เฒ่าตัวหนึ่งให้ตายได้อยู่ดี
สถานการณ์ที่หลงเฉินกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ช่างอันตรายอย่างยิ่ง รอบข้างที่มองไม่เห็นศัตรูแม้แต่คนเดียว หากมีศัตรูผู้แสนร้ายกาจบุกจู่โจมเข้ามาอาจทำให้เขาไม่สามารถรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องรีบพัฒนาระดับการฝึกยุทธ์ให้สูงขึ้นโดยเร็วที่สุด
หลงเฉินพิจารณาไปยังพลังปราณภายในร่างที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ จากที่เคยใหญ่เท่าถาดใบหนึ่งก็ได้กลายเป็นขนาดเท่าอ้างล้างหน้าไปแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถอนลมหายใจออกมา อย่างน้อยก็คงจะพอมีเรื่องให้น่ายินดีอยู่บ้าง
หลงเฉินยุติการไหลเวียนพลังลง หากว่าสภาวะจิตใจของเขายังว้าวุ่นอยู่เช่นนี้ก็ย่อมไม่เหมาะสมที่จะฝึกยุทธ์ต่อไปได้ คงจะต้องทำตรวจสอบดูใหม่อีกสักพักหนึ่ง
“โครกคราก”
เสียงดังกังวานเสียงหนึ่งดังออกมาจากท้องของเขา ความหิวโหยในตอนนี้ราวกับจะกินช้างได้ทั้งตัว เพราะไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว
เมื่อหลงเฉินผลักประตูห้องออกไป กลิ่นหอมหวนของอากาศอันบริสุทธิ์ก็ได้โชยพัดเข้ามาเตะจมูก เขาขานเรียกเป่าเอ๋อให้จัดเตรียมอาหารมื้อกลางวันให้
หลงเฉินหวาดระแวงมารดาผู้ชราจึงพยายามที่จะหลบซ่อนไปตามรายทาง เป่าเอ๋อที่กำลังจ้องมองท่าทางที่แปลกประหลาดนั้นก็คล้ายกับมองทะลุถึงความในใจของหลงเฉินได้ในทันที นางหัวเราะคิกคิกออกมาแล้วก็มุ่งหน้าไปยังห้องครัว
ไก่ต้ม (ไป่เชี่ยจี白斩鸡) ปลานึ่ง และผัดผัก กำลังพัดควันร้อนระอุขึ้นมาเป็นสาย กลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้หลงเฉินต้องท้องร้องขึ้นมาอีกครั้ง
*白斩鸡 ไก่ต้มที่จิ้มด้วยซอสขิง
หลังจากที่หลงเฉินทานอาหารบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยงก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว ความว้าวุ่นใจเกี่ยวกับการทะลวงพลังของเคล็ดกายานวดาราก็ได้ถูกลดทอนลงไปบ้างแล้ว
“คุณชาย มีคนมาขอเข้าพบ”
“ผู้ใด?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป
“ข้าเองก็ไม่ทราบ เขารอมาได้สักพักใหญ่แล้ว ข้าเห็นว่าท่านกำลังทานอย่างออกรสจึงไม่อยากขัด” เป่าเอ๋อยิ้มให้เขาแล้วกล่าวออกมา
หลงเฉินหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ตอนนี้ตระกูลหลงมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้นมากจน เป่าเอ๋อเองก็เริ่มเล่นซุกซน คิดไม่ถึงว่าจะหาญกล้าทิ้งให้แขกรอเก้อ
หลงเฉินเดินตรงไปยังห้องรับแขก กลับพบร่างของคนผู้หนึ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะมาเยือนถึงจวนของเขาได้