ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงประตูใหญ่ของจวน ก็มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นจนหลงเฉินเบิกตากว้างขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ
“นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
ที่เบื้องหน้าของประตูจวนแห่งขุนนางเจิ้งหยวนที่เคยสงบเงียบ กลับกลายเป็นความชุลมุนของแถวอันยาวเหยียดของผู้คนเสมือนลำตัวอันคดเคี้ยวของมังกรตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งคนเหล่านั้นยังเป็นหญิงแต่งงานแล้วที่มีอายุราวสี่สิบห้าสิบปี
หลงเฉินเหลือบมองซ้ายทีขวาที ก็แน่ใจว่านี่คือจวนของเขาไม่ผิดแน่ จากนั้นเขาก็เดินเลี่ยงไปแล้วผลักประตูใหญ่บานนั้นเพื่อเข้าไปด้านใน
เมื่อประตูใหญ่ถูกเปิดออก เขาก็ได้พบกับเป่าเอ๋อที่กำลังส่งรอยยิ้มสดใสให้กับหญิงเหล่านั้น “ทุกท่านช่วยทำใจให้เย็นลงก่อน แล้วลงทะเบียนในบันทึกนี้ ลงชื่อ ส่วนสูง สัดส่วน ภาพเหมือน และลักษณะเฉพาะ ข้อมูลทุกสิ่งอันนี้จะมีส่วนช่วยให้การวิเคราะห์นั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น”
“คุณหนูพอที่จะเปิดเผยข้อมูลสักเล็กน้อยได้หรือไม่ว่าฮูหยินของพวกเราชื่นชอบลูกสะใภ้แบบใดกัน” หญิงที่แต่งงานแล้วผู้หนึ่งยิ้มกว้างพร้อมกับกล่าวถามออกมา
“คิกคิก ขอเพียงมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อม ใบหน้าที่งดงามหมดจดก็ถือว่าผ่าน แต่ทว่าที่ฮูหยินนั้นชื่นชอบเป็นพิเศษก็คงจะเป็นหญิงที่มีบั้นท้ายใหญ่
ข้าได้ยินฮูหยินกล่าวไว้ว่าหญิงสาวที่มีบั้นท้ายใหญ่ย่อมเหมาะแก่การคลอดบุตรเป็นอย่างยิ่ง และข้าขอบอกกล่าวต่อพวกท่านทั้งหลายว่าฮูหยินของเราต้องการที่จะอุ้มหลานชายมานานแล้ว……แค่กแค่ก คุณชาย ท่านกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ” เป่าเอ๋อที่กำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่นั้น ก็อดที่จะตื่นตูมไปไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของหลงเฉินกำลังจ้องมองอยู่ จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างรีบร้อน
“ยินดีที่ได้พบท่านซื่อจื่อ” ฮูหยินเหล่านั้นรีบกล่าวทักทายออกมาด้วยท่าทีที่นอบน้อม
หลงเฉินพยักหน้าครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ฉุดข้อมือของเป่าเอ๋อแล้วลากเข้าไปภายใน เขาชี้นิ้วไปยังแถวอันยาวเหยียดของหญิงที่แต่งงานแล้วเหล่านั้น พร้อมกับกล่าวถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกเจ้ากำลังทำอันใดกัน?”
“คุณชาย ที่เทศกาลโคมไฟในวันก่อนนั้นท่านสามารถจัดการคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งแห่งต้าเซี่ยจนได้รับชัยชนะ ทำให้ชื่อเสียงของท่านลือเลื่องไปไกลว่าเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งเฟิงหมิง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวจำนวนมากมายที่กำลังหาคู่ครองอยู่ พวกนางเหล่านี้ต่างก็มาเพื่อสู่ขอท่านให้กับเหล่าบุตรีของพวกนางกันทั้งนั้น” เป่าเอ๋อตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“นี่เจ้ากำลังก่อปัญหาให้ข้าอยู่ แล้วมารดาอยู่ที่ใด?”
“ตอนนี้ฮูหยินพำนักอยู่ที่ด้านใน…ไอ้หยา ข้าลืมไปเลย ฮูหยินทรงกำชับไว้ว่าหากว่าท่านกลับมาแล้ว ให้รีบเข้าไปพบโดยเร็วที่สุด” เป่าเอ๋อทุบค้อนมือไปที่ศีรษะของนางอย่างแรง
“ได้ เจ้าก็รีบหาวิธีไล่พวกนางให้กลับไปได้แล้ว นี่มันตลาดสดกันหรืออย่างไร?” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์
“คิกคิก ข้าไม่อาจทำตามสั่งของนายน้อยได้ เพราะฮูหยินสั่งให้ข้าคอยต้อนรับพวกนาง ฉะนั้นข้าต้องรีบกลับไปที่แถวก่อนแล้ว”
เป่าเอ๋อที่เคยเชื่อฟังเขามาโดยตลอด แต่บัดนี้กลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่พูดจบนางก็รีบวิ่งกลับไปยังประตูใหญ่เพื่อต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มระรื่น
หลงเฉินมองตามร่างบางของเด็กสาวนางนั้นไปพลันก็เหลือกตาดำขึ้นอย่างเอือมระอา จากนั้นเขาก็หันกายแล้วเดินตรงไปยังห้องหับของมารดาอย่างรวดเร็ว ตลอดรายทางที่เขาเดินผ่านไปภายในโสตประสาทก็บังเกิดความคิดอันว้าวุ่นไหลเวียนเข้ามาอย่างไม่หยุดหย่อน เรื่องราวเมื่อวานก่อนไม่ใช่เรื่องที่เล็กน้อยเลย ต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ทำให้มารดาต้องทุกข์ร้อนใจ
เมื่อหลงเฉินมาถึงห้องของมารดา ยังไม่ทันจะก้าวเท้าเข้ามายังภายใน ก็ถูกมารดาก็จ้องด้วยสายตาอาฆาต แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เจ้าเด็กโสโครก ยังไม่รีบเข้ามาให้เร็วอีก”
แย่แล้ว เกรงว่าคงจะไม่มีกวอจื่อ (果子) ให้ทานเสียแล้ว หลงเฉินบังเกิดความขมขื่นขึ้นมาภายในจิตใจ ตลอดรายทางที่เดินมานั้นไม่อาจคิดหาข้ออ้างที่ดีขึ้นมาได้เลยแม้แต่ข้อเดียว
*果子 ขนมหวานที่ทำจากผลไม้
แต่ทว่าฮูหยินหลงกลับกล่าววาจาเพื่อรั้งหลงเฉินเอาไว้ แล้วชี้นิ้วไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มีรูปเหมือนของหญิงงามกองอยู่อย่างท่วมท้น แล้วกล่าวขึ้นมา
“เฉินเอ๋อ หญิงสาวทั้งสิบเก้านางนี้ต่างก็ถูกคัดมาจากหญิงงามนับร้อยคนด้วยสายตาของข้าที่พิจารณาอย่างพิถีพิถันแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม คุณลักษณะ ชาติกำเนิด ต่างก็มีความเหมาะสมกับเจ้าราวกับกิ่งทองใบหยก เจ้ารีบมาดูเร็ว จ๊งยีหรือไม่?”
*中意 จ๊งยี แปลว่า ชื่นชอบ,ชมชอบ มาจากภาษากวางตุ้ง (เหมือนกับว่ามารดากำลังหยอกล้อโดยใช้ภาษาทางตอนใต้ออกมา)
หลงเฉินมองไปยังกองภาพเหมือนเหล่านั้นด้วยความฉงนสงสัย ฮูหยินหลงจึงกระทุ้งที่เอวของเขาแล้วกล่าวต่อ “อย่าสงสัยให้มานัก รีบดูเร็วสิ”
“โอย……ได้ ข้าจะดู” หลงเฉินไม่อาจจะปฏิเสธใบหน้าอันยิ้มแย้มของมารดาได้จึงฝืนยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น
หลงเฉินเปิดดูภาพเหมือนของหญิงสาวเหล่านั้นแล้วก็เกิดความประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นฮูหยินหลงก็ทักท้วงขึ้นมาอย่างดีใจเสียยกใหญ่ว่า
“เฉินเอ๋อ เจ้าว่าพวกนางมีสัดส่วนที่ดีเพียงใดกันโดยเฉพาะบั้นท้าย เหอะเหอะ แน่นอนว่าบั้นท้ายที่กว้างย่อมจัดเป็นจำพวกที่เหมาะแก่การคลอดบุตรอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
หากว่าเจ้าต้องการที่จะสู่ขอพวกนางกลับมา ข้าจะบอกให้ว่าเพียงไม่เกินสองเดือนเท่านั้น พวกเจ้าจะต้องกลายเป็นข้าวสารสุกอย่างแน่นอน”
ฮูหยินหลงยิ้มกริ่มขึ้นมาราวกับว่าตัวเองได้รับชัยชนะอย่างไรอย่างนั้น ภายในแววตาทั้งสองเสมือนกับมองเห็นภาพที่ตัวเองกำลังโอบอุ้มเด็กน้อยตัวเล็กกลุ่มหนึ่ง
ติกติก!
ริมฝีปากของหลงเฉินเริ่มแห้งผาก บนศีรษะหลั่งเหงื่อออกมาจนหยดลงบนภาพเหมือนของหญิงสาวนางหนึ่ง อีกทั้งยังได้หยดลงบนบั้นท้ายอย่างพอดิบพอดี ทำให้น้ำหมึกสีดำถูกละลายด้วยเหงื่อจนเป็นเปรอะเปื้อนเป็นวาวขนาดใหญ่ขึ้น
“มารดา เรื่องเช่นนี้…ข้าคิดว่า……” หลงเฉินกล่าวออกมาอย่างทุลักทะเล
“หยุดเลย เจ้าควรต่อปากต่อคำกับข้าให้มันน้อยลงเสียหน่อย ก่อนหน้านี้ข้านั้นกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่อาจหาภรรยาที่เหมาะสมให้แก่เจ้าได้ แต่วันนี้กลับถูกนำมาส่งถึงที่ เจ้าอย่าทำให้ข้าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เลย
ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าลำบากใจ วันนี้เจ้าจะต้องเลือกมาสามคน เมื่อกลุ่มต่อไปมาก็ค่อยเลือกอีกครั้ง ทั้งหมดทั้งมวลควรจะได้อย่างน้อยสักสิบคน ไม่เช่นนั้นเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากประตูห้องนี้อีกเลย” ฮูหยินหลงใช้วาจาข่มขู่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลงเฉินเกิดความกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย นี่คิดจะหาคู่ให้วัวหรืออย่างไรกัน? เขาเหลือบมองไปทางมารดาผู้ชราที่กำลังมีใบหน้าบึ้งตึงอยู่
ในช่วงเวลาที่หลงเฉินไม่ทราบว่าสมควรที่จะต่อกรกับมารดาของเขาอย่างไรดี ก็ได้มีเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้น “พี่หลง”
เสียงสวรรค์นั้นเป็นเสียงของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาหาเขาอย่างรีบร้อน “พี่หลง ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้ท่านไปต่อยตีกับผู้อื่นมา เหตุใดจึงไม่พาข้าไปด้วยกันเล่า?”
ร่างเงาใหญ่โตนั้นเป็นของอาหมานนั่งเอง หลงเฉินดีใจยกใหญ่จนอยากจะเข้าสวมกอดในทันที ช่างมาได้เหมาะเจาะยิ่งนัก
“มารดา ข้ายังมีเรื่องที่จะพูดคุยกับอาหมานอยู่เล็กน้อย ท่านเลือกไปก่อน หากท่านถูกใจอันใดแล้ว ข้าค่อยกลับมาดูใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
“เจ้าหนู เจ้า……”
ยังไม่ทันที่ฮูหยินหลงจะกล่าวจนจบประโยค หลงเฉินก็ได้เปิดประตูแล้วพาอาหมานออกไปไกลจนลับตา
“เจ้าเด็กโสโครกนี่ช่าง…”
เสียงกร่นด่าของนางตามหลังเงาร่างทั้งสองนั้นไป แต่เมื่อฮูหยินหลงได้เห็นภาพบั้นท้ายของเหล่าหญิงสาวเหล่านั้นก็สลายความโกรธเคืองเมื่อครู่นี้ไปอย่างรวดเร็ว นางเอาแต่ส่งสายตาหวานหยาดเยิ้ม พร้อมกีบฉีกรอยยิ้มกว้างออกมาด้วยความปลาบปลื้ม
“พี่หลง เมื่อวานที่ท่านไปทุบตีกับผู้อื่นมานั้น ท่านได้เสียเปรียบด้วยหรือไม่?” เมื่อกลับมายังห้องของหลงเฉิน อาหมานก็ได้กล่าวตัดบทขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ไม่มี พี่หลงของเจ้าในตอนนี้ต่อยตีเก่งยิ่งกว่าผู้ใด ใช่แล้ว…อาหมาน แล้ววิชาที่ข้าได้สอนให้ไป เจ้าเรียนไปถึงไหนแล้ว?” หลงเฉินฉุกคิดขึ้นมาได้จึงถามออกไป
หลงเฉินได้สั่งสอนแนวทางการไหลเวียนลมปราณให้แก่อาหมาน แต่ทว่าด้วยสติปัญญาที่มีอยู่อย่างจำกัดของอาหมานย่อมไม่อาจทำให้ผู้ใดเอ่ยวาจาสรรเสริญขึ้นมาได้
หลงเฉินมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งจึงสามารถสอนสั่งอาหมานไปทีละขั้นได้ หากเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นได้มาสั่งสอนอาหมานแล้วคงจะเหนื่อยตายทั้งที่จะหายใจอยู่ หรืออาจจะตายอย่างฉับพลันเลยก็เป็นได้
เมื่อได้ยินหลงเฉินเอ่ยถามออกมาเช่นนั้นก็ได้ทำให้อาหมานแสดงอาการตื่นเต้นขึ้นมาอย่างลิงโลด “พี่หลง ตอนนี้ข้าสามารถใช้วิชาที่ท่านสั่งสอนออกมาได้แล้ว”
“จริงหรือ?” หลงเฉินก็ตื่นตกใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หลงเฉินพาอาหมานออกมายังพื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่งภายในจวน เบื้องหน้าของพวกเขามีศิลาขนาดใหญ่เท่าหนึ่งช่วงตัวของคนผู้หนึ่งตั้งอยู่ “ใช้หมัดวายุที่ข้าสอนให้เจ้าทำลายศิลาก้อนนี้ซะ”
“ได้เลย”
อาหมานขานรับด้วยความมั่นใจ เขาย่อเอวงต่ำในลักษณะที่เหมือนกับนั่งบนหลังม้า แล้วปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ซูม”
คมหมัดนั้นก่อให้เกิดแรงเหวี่ยงของสายลมกลุ่มหนึ่ง แต่ทว่าศิลาก้อนนั้นกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยสักนิดเดียว
“นี่ยังทำได้ไม่ดีพอ ออกมาอีก” อาหมานตะโกนออกไปด้วยความพะว้าพะวง
“ซูม”
จากนั้นเขาก็ปล่อยออกไปอีกหนึ่งหมัดจนมีสายลมหอบหนึ่งพุ่งขึ้นมา แต่ศิลาก้อนนั้นก็ยังคงไร้วี่แววที่จะผุกร่อนหรือขยับเขยื้อน
“น่าแปลก มาอีก”
“ซูม ซูม ซูม”
คมหมัดถูกปล่อยออกไปอีกสามครั้ง ก้อนศิลาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม บนใบหน้าของหลงเฉินปรากฏความคับข้องใจขึ้นมากมาย
“อาหมาน นี่คือสิ่งที่เจ้าบอกว่าได้เรียนรู้ไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“จริงๆ นะ ตามปกติที่ข้าปล่อยออกไปสิบหมัด อย่างน้อยก็จะมีสามหมัดที่สำเร็จ เหตุใดวันนี้ถึงทำไม่ได้กัน” อาหมานก้มหน้าก้มตาอย่างรู้สึกผิด
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของอาหมาน หลงเฉินก็แทบจะล้มทั้งยืน การจะต่อยตีกับผู้อื่นนั้นยังจะต้องพึ่งพาโอกาสในความสำเร็จอีกอย่างนั้นหรือ?
หลงเฉินเริ่มปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาไม่น้อยเลย อาหมานผู้นี้เป็นเหมือนภูเขาทองที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับยังทำไร่ไถนาอยู่ เห้อ หมดซึ่งคำพูดที่จะกล่าวออกมาโดยทั้งสิ้น
หลงเฉินสูดหายใจเข้าลึก แล้วใช้มือตบเข้าไปที่แผ่นหลังของอาหมานพร้อมกับกล่าวว่า “ลองดูอีกครั้ง”
“ได้”
อาหมานพุ่งหมัดออกไปอีกครั้งก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนอันใดเกิดขึ้น
“อาหมาน จงท่องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ก่อนที่เจ้าจะออกหมัดไปให้ควบคุมจุดตันเถียนก่อน เมื่อจุดตันเถียนเคลื่อนไหวแล้วค่อยปล่อยหมัดออกไป
จำไว้อีกว่าจุดตันเถียนนั้นจะชักนำหมัดให้ออกมา ไม่ใช่เพียงการพุ่งหมัดแต่เป็นการเคลื่อนไหวของจุดตันเถียน” หลงเฉินอธิบายอย่างตรงไปตรงมา
เหลงเฉินสามารถจับเคล็ดของอาหมานอย่างรวดเร็ว แท้ที่จริงแล้วอาหมานนั้นออกหมัดไปเสียก่อน แล้วจึงค่อยไหลเวียนเส้นลมปราณเพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของจุดตันเถียน ซึ่งด้วยวิธีเช่นนี้อาจจะมีสำเร็จบ้างก็ตาม
“มา ลองอีกครั้งหนึ่ง อย่าได้รีบร้อนที่จะออกหมัด จงไหลเวียนจุดตันเถียนก่อน หากจุดตันเถียนไหลเวียนแล้วค่อยออกหมัดไป” หลงเฉินย้ำคิดย้ำทำกับการออกหมัดของอาหมาน
“ตูม”
แล้วก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมา ศิลาก้อนนั้นที่มีความสูงเท่าช่วงตัวคน หนักมากกว่าพันชั่ง ก็ถูกอาหมานทำลายลงด้วยหมัดเดียวจนแตกละเอียดประดุจก้อนกรวดเม็ดทราย
“พี่หลง ข้าทำสำเร็จแล้ว”
อาหมานตะโกนออกมาด้วยความดีใจเสียยกใหญ่
หลงเฉินพยักหน้าไปมาด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ แต่ทว่าภายในใจกลับตกใจขึ้นมาอย่างท่วมท้น พลังอันมหาศาลของอาหมานช่างแข็งแกร่งจนน่าเกรงกลัวยิ่งนัก
เพียงแค่หมัดเดียวของอาหมานนั้นสามารถเทียบเท่ากับพลังขั้นก่อโลหิตตอนปลายของหว่างซานเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังปลดปล่อยออกมาได้อย่างงดงามและหมดจดอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าจะไม่อาจเทียบได้กับตอนที่หว่างซานเป็นร่างสัตว์ แต่อย่างไรก็ตามอาหมานก็เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่ดี แม้การออกหมัดของอาหมานเมื่อครู่นั้นจะมีจุดบกพร่องอยู่มากมาย แต่เขาใช้พลังที่มาจากจุดตันเถียนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงไม่ใช่พลังทั้งหมด หากได้ฝึกฝนจนสามารถไหลเวียนพลังจากจุดอื่นได้ก็จะยิ่งทำให้พลังทำลายของอาหมานนั้นแข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดเทียบได้เลย
“ดี ลองอีกครั้ง” หลงเฉินปลุกเร้าขึ้นมา
“ซูม”
แล้วหมัดก็ถูกปล่อยไปอีกครั้ง แต่กลับเป็นเพียงหมัดลม
หลงเฉินจ้องมองไปที่อาหมาน ส่วนอาหมานก็มองกลับไปที่หลงเฉิน ทั้งสองคนได้สบสายตากันอยู่สักพักหนึ่งเต็มๆ แต่หลงเฉินก็ยังไม่กล่าววาจาอันใดออกมา
ในที่สุดอาหมานก็เป็นฝ่ายละสายตาไปก่อน เขาเริ่มก้มหน้ามองไปที่พื้นด้วยใบหน้าสลด “พี่หลง เป็นเพราะข้าโง่งมเกินไปใช่หรือไม่?”
“ข้าก็อยากจะบอกว่าเจ้านั้นไม่ได้โง่เลย แต่ก็เคยได้ยินมาว่าคนที่โกหกมักจะถูกฟ้าผ่าเพื่อลงทัณฑ์ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจกล่าวออกมาได้” หลงเฉินเหม่อมองไปบนท้องฟ้าแล้วกล่าวออกมาอย่างตัดพ้อ
“เช่นนั้น ข้าควรทำอย่างไรดี” อาหมานอยู่ในสภาพคอตกอย่างเต็มที่
“นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ให้เจ้ากลับไปที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์” หลงเฉินเอ่ย
“พี่หลง ท่าน……คงจะไม่ใช่ว่าท่านนั้นไม่ต้องการข้าแล้วหรอกนะ” อาหมานมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความแตกตื่น ร่างกายกำยำนั้นเริ่มสั่นเทาไปด้วยความหวาดหวั่น
หลงเฉินตบเข้าไปที่หัวไหล่ของอาหมานแล้วกล่าวต่ออีกว่า “พูดจาไร้สาระอันใดกัน พวกเราเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกันนะ”
“หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงให้ข้ากลับไปยังทุ่งเลี้ยงสัตว์กันเล่า?” อาหมานเอ่ยถามขึ้นมา
“นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป อาหารของเจ้าก็ต้องให้เจ้าเป็นคนจัดการเองทั้งสิ้น หากเจ้าต้องการที่จะกินเนื้อวัวก็ต้องฆ่าวัวด้วยตัวเอง
แต่ว่ามีข้อแม้อยู่ข้อหนึ่ง เจ้าจะต้องใช้เพียงพลังจากภายในเพื่อฆ่าวัว ไม่เช่นนั้นเจ้าก็จะต้องหิวโซอยู่อย่างนั้น ไปเถิด” หลงเฉินกำชับด้วยน้ำเสียงขึงขัง
อาหมานพยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย เมื่อหลงเฉินได้จ้องมองไปยังแผ่นหลังของอาหมานที่กำลังเดินจากไปก็อดรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาไม่ได้
สติปัญญาของอาหมานช่างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก มีบางครั้งที่เขาเองก็ลังเลว่าสมควรจะให้อาหมานติดตามอยู่ข้างกายไปด้วยดีหรือไม่
อาหมานนั้นเป็นชายหนุ่มผู้มีความใสซื่อ ซื่อจนไม่มีสมองเพื่อให้คิดใคร่ครวญและไตร่ตรอง ด้วยเหตุนี้สิ่งต่างๆ หลงเฉินได้กำชับกับเขา แน่นอนว่าอาหมานย่อมไม่คิดที่จะเกียจคร้านอย่างแน่นอน
หลงเฉินออกคำสั่งเช่นนั้นไปก็เพื่อที่จะให้อาหมานเคยชินกับการใช้ลมปราณ ไม่เช่นนั้นแล้วในวันข้างหน้าที่จะต้องติดตามหลงเฉินไปแล้วพบพานกับศัตรู แต่แค่การออกหมัดยังต้องพึ่งพาความเป็นไปได้ก็ไม่ต่างไปจากการหาที่ตายดีดีเท่านั้น
ในเมื่อตอนนี้อาหมานนั้นยิ่งกินก็ยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้น กินวัวได้มากกว่าร้อยตัวก็ยังได้ ย่อมต้องเพียงพอสำหรับการฝึกฝนในภายภาคหน้า
นี่จึงเป็นการใช้พลังเพื่อหาอาหาร หากสามารถใช้พลังลมปราณออกมาจนคุ้นเคยแล้ว พลังของอาหมานย่อมสามารถปะทุสูงขึ้นจนแม้แต่หลงเฉินเองก็ยังต้องหวาดกลัว
เมื่อหลงเฉินจัดการเรื่องของอาหมานเรียบร้อยแล้ว ก็ได้กลับเข้าไปยังห้องของตัวตนเอง ตลอดรายทางที่ผ่านมานั้นก็ยังคงพบเห็นเหล่าหญิงที่แต่งงานแล้วกำลังเข้าแถวเรียงต่อกันอย่างหนาตา และเสียงเจื้อยแจ้วของเป่าเอ๋อที่กำลังสาธยายเรื่องราวต่างๆ เพื่อปลุกเร้าพวกนางเหล่านั้น
หลงเฉินกำชับคนรับใช้ภายในจวนว่าอย่าได้เข้ามารวบกวนการเก็บตัวของเขา ในเมื่อเขานั้นได้เข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อรวมระดับที่แปดแล้วก็เหลืออีกเพียงแค่ลมหายใจเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเข้าสู่ระดับที่เก้า
จากนั้นก็เข้าสู่ขอบเขตขั้นก่อโลหิต หากถึงขั้นนี้แล้วก็จะถือว่ามีพลังเพียงพอที่จะคุ้มครองชีวิตของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
“รอก่อนเถิด ทั้งหมดที่ได้ลงมือไว้ต่อข้า ขอจะข้าดูใบหน้าที่แท้จริงของพวกเจ้าเสียหน่อยเถิด” .