เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 43 อมนุษย์

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง แล้วก็ยื่นกำปั้นข้างหนึ่งซัดออกไปอย่างช้าๆทั่วทั้งร่างก่อเกิดการหมุนวนของสายลมขึ้นจนอาภรณ์คลุมยาวได้ปลิวไสวไปมาตามแรงลม เส้นผมสีดำเริงระบำอยู่บนศีรษะ ท่าทางของเขาในตอนนี้คล้ายกับมีเทพสงครามลงมาจุติอยู่ในร่าง

“เช่นนั้นก็ลองดู ว่าผู้ใดกันที่จะไม่ได้เห็นแสงตะวันในวันรุ่งขึ้น”

ขณะที่หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ ที่กำปั้นข้างหนึ่งของเขาก็ปรากฏประกายแสงสีขาวอ่อนๆ ขึ้นมา รอบหมัดมีคลื่นพลังก้อนหนึ่งไหลเวียนอยู่เสมือนกำลังดูดกลืนอากาศโดยรอบรวมเข้าไปด้วย

เจ้าของดวงตาคู่งามที่กำลังสะท้อนภาพของหลงเฉินอยู่ภายในแววตาในขณะนี้ กำลังเกิดความโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกคล้ายกับว่าภูเขาลูกใหญ่ได้ถูกยกออกไปจากกลางอกแล้ว ฉู่เหยาเห็นชัดว่าคมหมัดที่หลงเฉินกำลังใช้ออกมานั้นคือทักษะยุทธ์ขั้นมนุษย์ระดับสูงที่นางเคยสอนให้แก่เขา

แม้จะเป็นกระบวนท่าเดียวกัน แต่เมื่อถูกหลงเฉินใช้ออกมา กลับได้ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พลังทำลายเรียกได้ว่าสามารถจะดูดกลืนแม่น้ำและขุนเขาไปได้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าต้นตำรับที่นางสอนออกมานับสิบเท่าของสิบเท่า อานุภาพที่ออกมานั้นอาจจะเพียงพอที่จะทำลายล้างทุกสรรพสิ่งได้อย่างราบคาบ

“หมัดทลายวายุ”

หลงเฉินตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งดั่งมีสายฟ้าฟาดลงมาจากฟากฟ้า พลันคมหมัดนั้นก็ได้หอบสายลมพวยพุ่งออกมามากมายราวกับว่าจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง อีกทั้งพลังในตอนนี้สูงมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำไป

ความน่ากลัวแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งบรรยากาศรอบลานประลอง หลงเฉินปะทุพลังอันมหาศาลออกมาอีกครั้ง ทุกสายตาของเหล่าผู้คนกำลังมองเห็นหลงเฉินเป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดแสนดุร้ายตัวหนึ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหว่างซาน หลงเฉินได้กลายเป็นมัจจุราชที่จะมาเอาชีวิตของเขาไป หมัดที่พุ่งออกมานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งฟ้าดิน คิดไม่ถึงว่าจะหยุดการเคลื่อนไหวของเขาลงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

ความเย็นยะเยือกเข้าครอบงำจิตใจของหว่างซาน เดิมทีเขาเพียงแค่คิดว่าหลงเฉินนั้นถูกกดดันจึงได้ปะทุพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งขึ้นมาแค่เพียงชั่วครู่เท่านั้น

หว่างซานนั้นเป็นเสมือนกับยุทโธปกรณ์ที่เซี่ยฉางเฟิงได้ปั้นขึ้นมาอย่างลับๆ เขาเดินอยู่บนเส้นทางของการแย่งชิงความเป็นตายมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ประสบกับแรงกดดันและเรื่องราวที่เฉียดตายมานับครั้งไม่ถ้วนจนมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้

เขาต่อสู้กับศัตรูที่เก่งกาจและน่าหวาดกลัวมามากมายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ต่อให้หลงเฉินแสดงพลังอันมหาศาลออกมาเท่าใดก็คงจะไม่รอดพ้นจากเงื้อมมือของขาได้ จากประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชนของเขาสามารถใช้ออกมาได้ทุกเมื่อเพื่อบีบให้หลงเฉินค่อยๆ ตายคามือไปอย่างช้าๆ

แต่ว่าคมหมัดเมื่อครู่นี้ทำให้เขาถูกปิดกั้นเส้นทางที่จะออกไปจนหมดสิ้น ไร้ซึ่งหนทางจะหลบหนี กระทำได้แค่เพียงต้านทานเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ระดับของการปิดกั้นเส้นทางนั้นขึ้นอยู่กับสมาธิของผู้ใช้ยุทธ์เป็นหลักว่าจะมีความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงใด เมื่อพลังสมาธิอันแข็งแกร่งถูกผนวกเข้ากับกระบวนท่าของผู้ใช้ยุทธ์ก็จะทำให้อีกฝ่ายไร้ซึ่งหนทางในการหลบเลี่ยงได้

ด้วยความสามารถเช่นนี้จะมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งระดับสูงสุดอย่างเช่นหว่างซานหรือคนที่เคยมีสภาพใกล้ตายแล้วไต่เต้าขึ้นมาจนกลายเป็นคน จึงจะสามารถใช้ทักษะฝ่ามือในระดับนี้ออกมาอย่างสมบูรณ์

แต่ทว่าชายหนุ่มผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้กลับมีพลังยุทธ์เพียงแค่ขั้นก่อรวมระดับที่เจ็ด แต่กลับสามารถใช้สิ่งนี้ออกมาได้ ช่างเหลือเชื่อเกินกว่าหว่างซานผู้นี้จะสามารถพรรณนาออกมาเป็นวาจาได้

หลงเฉินไม่รีรอให้หว่างซานได้ทันครุ่นคิดถึงสิ่งอื่นใด ลงหมัดที่หอบแรงลมเข้าหนุนเสริมไปที่ใบหน้าของหว่างซาน

ในเวลานั้นเองหว่างซานก็ได้ปะทุพลังที่แอบซ่อนเอาไว้แล้วตะโกนออกมาเสียงดังกึกก้อง ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงสีโลหิตขึ้นมาชั้นหนึ่ง พลันก็พุ่งหมัดออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่มี

“ตูม”

เสียงระเบิดดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าผู้ชมทั้งหลายต่างสัมผัสได้ถึงแรงสั่นไหวที่พื้นดินรอบเขตลานประลอง ทันใดนั้นเองก็ได้มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งลอยกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศแล้วพุ่งไปกระแทกเข้ากับเชิงเขาจำลองที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์อย่างรุนแรง

เชิงเขาจำลองที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ที่สูงไม่กี่จั่งก็ได้ทลายลงมาในช่วงพริบตาเดียว เศษหินกระเด็นกระดอนลงสู่พื้น สายตาทุกคู่หันไปมองหลงเฉินที่อยู่กลางลานประลอง แล้วก็ได้หันกลับไปมองเชิงเขาจำลองที่เพิ่งถูกโค่นล้มลงไป ความเงียบสงัดปกคลุมพื้นที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่งแล้ว

เซี่ยฉางเฟิงมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาอย่างรุนแรง คาดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะซ่อนเร้นพลังการต่อสู้ที่มีอานุภาพทำลายล้างอย่างมหาศาลถึงเพียงนี้เอาไว้โดยที่เขาไม่อาจสัมผัสได้มาก่อน

ไม่เพียงแค่เซี่ยฉางเฟิงเท่านั้น ใบหน้าเ**่ยวย่นของเว่ยชางเองก็แทบจะไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกเจ็บปวดแปรบเข้าไปลึกถึงกระดูกดำคล้ายกับเป็นการต่อสู้ของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

ถ้าหากสำนักภายในทราบถึงพลังการต่อสู้อันแกร่งกล้าของหลงเฉินแล้ว คงจะอ้าแขนต้อนรับเข้าสู่สำนักอย่างแน่นอน อีกทั้งด้วยความเยาว์วัยของหลงเฉินเช่นนี้แล้วยิ่งเบิกทางได้อย่างง่ายดาย

เว่ยชางคิดที่จะปลิดชีพหลงเฉินลงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจอกันได้เพียงแค่ไม่กี่ยามกลับทำให้เขาได้รับความอับอายขายหน้าจนนับครั้งไม่ถ้วน เขากับหลงเฉินในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับน้ำมันกับไฟ

หากวันนี้เขาปล่อยให้หลงเฉินมีชีวิตรอดกลับมา เขาจะยังสามารถมีชีวิตเหลือรอดอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?

“ตูม”

ทันใดนั้นเองเชิงเขาจำลองที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือมนุษย์ก็มีเศษหินลอยฟุ้งออกมาจนตลบอบอวลไปในอากาศ เงาร่างหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาจากซากปรักหักพังเหล่านั้น สร้างแรงดึงดูดให้สายตาหลายคู่หันไปจับจ้อง

ร่างนั้นก็คือหว่างซานที่คล้ายกับสุนัขจนตรอกตัวหนึ่ง อาภรณ์อันหรูหรากลับฉีกขาดและเปรอะเปื้อนจนไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นผิวหนังถลอกเป็นหย่อมๆ

เมื่อเศษละอองฝุ่นผงได้จางหายไปก็ปรากฏใบหน้าของหว่างซานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ใบหน้านั้นถูกอาบด้วยสายโลหิตที่ย้อยลงมาจนถึงปลายคางจากนั้นก็ไหลหยดลงสู่พื้นดิน

“ยอดมาก…เจ้าได้ทำให้ข้าประหลาดใจได้มากเสียจริง ขอชมเชย” ร่างของหว่างซานเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ทว่ายังสามารถคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบได้

“เจ้าก็ทำให้ข้าตกใจได้มากเช่นกัน” หลงเฉินตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

หว่างซานเผยรอยยิ้มกว้างที่มุมปาก ใบหน้านั้นดุร้ายขึ้นมาทั้งที่ยังเต็มไปด้วยคราบโลหิตไหลเป็นทาง ความเย็นยะเยือกเข้าครอบงำจิตใจของหว่างซานอีกครั้งหนึ่งแล้ว

หว่างซานหันหน้าไปมองที่เซี่ยฉางเฟิงครู่หนึ่ง ก็พบว่าเซี่ยฉางเฟิงได้พยักหน้าเล็กน้อยส่งกลับมา ทันใดนั้นเองหว่างซานก็ได้หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“หลงเฉิน ความแข็งแกร่งของเจ้าช่างเหนือความคาดหมายของข้าไปมากทีเดียว แต่อย่างไรเสียเจ้าก็คงไม่อาจรอดพ้นจากความตายไปได้ เจ้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นถึงพลังฝีมือที่แท้จริงตั้งแต่นี้ไป”

“ฮูม”

หว่างซานส่งเสียงคำรามคล้ายกับสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่ง อาภรณ์ที่สวมอยู่ก็ได้แน่นขึ้นจนขาดหลุดลุ่ยไปเป็นชิ้นๆ เหมือนกับดักแด้ที่กลายเป็นผีเสื้อพร้อมที่จะออกโบยบินไปทุกที่

“อา”

เสียงร้องของผู้ชมประสานกันขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมาย เสียงอุทานดังออกมาจากปากของคนทั้งหมดเมื่อพบว่าร่างกายของหว่างซานนั้นขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว อีกทั้งบนผิวหนังยังมีเส้นขนสีเหลืองครามงอกเงยขึ้นมาปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าก็ยังปกคลุมด้วยเส้นขนสีเหลืองคราม แต่ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือที่ปากของเขามีเขี้ยวราวสามคืบยื่นออกมาคู่หนึ่ง ฝ่ามือของมนุษย์กลายสภาพเป็นอุ้งเท้าสัตว์ เผยกรงเล็บอันแหลมคมงอกออกมาด้วยเช่นกัน

หว่างซานในเวลานี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป เขาคล้ายกับสัตว์ร้ายกาจในตำนานที่โผล่มาผิดยุคสมัย ตลอดทั่วทั้งร่างนั้นปะทุรังสีอำมหิตขึ้นมาอย่างหนาแน่น

สัตว์ร้ายที่ปรากฏตัวขึ้นนี้ได้ทำให้ปรมาจารย์หวินฉีที่กำลังนั่งอยู่ในปะรำพิธี ชักสีหน้าเป็นกังวลใจอย่างถึงที่สุด ด้วยประสบการณ์ของเขาแล้วสิ่งนั้นเป็นกระบวนท่าที่แสนอำมหิตที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ฉู่เหยาที่นั่งอยู่ข้างปรมาจารย์หวินฉีก็ตกใจไม่น้อยเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของปรมาจารย์หวินฉี นางจึงถามกลับออกไปอย่างรีบเร่งว่า “ท่านปรมาจารย์ นั่นมันอะไรกัน หว่างซานผู้นั้นเป็นมนุษย์หรือสัตว์ประหลาดกัน?”

ปรมาจารย์หวินฉีหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดมาทางฉู่เหยา แล้วตอบกลับไปว่า “เกรงว่าหว่างซานผู้นั้นจะมีที่มาที่ไม่ธรรมดา เรียกว่าเป็นอมนุษย์ผู้หนึ่ง มือที่มีขนเพิ่มขึ้นมาและกลายร่างเป็นสัตว์เช่นนี้ได้จะทำให้พลังการต่อสู้ของเขานั้นเพิ่มสูงขึ้นจนน่าหวาดหวั่นเลยทีเดียว”

เดิมทีแล้วสิ่งที่เรียกว่าอมนุษย์นั้นถูกเล่าขานสืบต่อกันมาว่าเป็นพลังของความแข็งแกร่งชนิดหนึ่ง พวกเขานั้นได้ผ่านการหลอมรวมเข้ากับโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาจนทำให้ตนเองได้รับพลังความสามารถของสัตว์มายาตัวนั้นมาด้วยส่วนหนึ่ง

วิธีการเช่นนี้จะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ผู้นั้นสามารถใช้พลังกล้ามเนื้ออันมหาศาลส่วนหนึ่งของสัตว์มายาได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อย แต่กล้ามเนื้อของสัตว์มายาถือว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากเข้ามาอยู่ในร่างของมมนุษย์แล้วก็ถือว่ามากกว่าคนธรรมดาทั่วไปหลายสิบเท่าตัว

หว่างซานดูแลสภาวะร่างกายของเขาเองเป็นอย่างดีมาโดยตลอด หลังจากที่เขาได้หลอมรวมเข้ากับโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาแล้ว พลังของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นจนไม่มีผู้ใดสามารถทนทานพลังอันมหาศาลของเขาได้ถึงสิบกระบวนท่า

สองปีที่ผ่านมานี้เขาได้ติดตามเซี่ยฉางเฟิงมาโดยตลอด คอยทำงานตามคำสั่งอยู่ในมุมมืด จึงไม่มีผู้ใดเห็นพลังฝีมือที่แท้จริงของเขามาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว

หว่างซานเองก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะต้องมาเบิกพลังขั้นสูงสุดของเขาต่อหน้าเด็กหนุ่มที่ไม่ว่าจะใช้วิธีอันใดก็ยังไม่อาจจะเอาชนะได้ จนทำให้จิตใจของเขาเกิดความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

เมื่อเซี่ยฉางเฟิงส่งสัญญาณด้วยการพยักหน้ากลับมา เขาก็โล่งใจขึ้นมาในทันทีว่าในที่สุดก็จะไม่ต้องหวาดหวั่นในการยับยั้งพลังของตัวเองอีกต่อไป ตอนนี้เขาสามารถใช้กระบวนท่าไม้ตายออกมาได้แล้ว——กลายร่างเป็นสัตว์

“ดูจากสีขนบนร่างกายของเขาแล้ว คงจะถูกหลอมรวมเข้ากับสัตว์มายาในระดับสูงสุดของขั้นที่สองอย่างโลหิตบริสุทธิ์ของหมาป่ามายาฮวางเหยียนอย่างแน่นอน แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก หากหลงเฉินตกอยู่ในภาวะคับขันอันตราย ข้าจะต้องลงมือเองเป็นแน่ เหอะ ข้าก็อยากจะดูด้วยดวงตานี้เสียหน่อยว่าโอสถที่พวกเขาขายในน้ำเต้าคืออันใดกันแน่”

เมื่อปรมาจารย์หวินฉีเห็นใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของฉู่เหยา เขาจึงกล่าวปลอบโยนออกไป พลันก็ปรายสายตามองไปยังใบหน้าที่ได้ใจของเว่ยชาง

ผู้คนมากมายต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันทีที่มองไปยังร่างของหว่างซาน ฝีเท้าของพวกเขาต่างร่นถอยไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกแค่เพียงว่าต้องไกลให้มากพอที่จะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเอง

หลงเฉินเบิกตากว้างเมื่อเห็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความตายที่ยิ่งจะเพิ่มความหนาแน่นขึ้นไปเรื่อยๆ

ร่างหายของหลงเฉินที่ถูกผนึกรวมเข้ากับจิตวิญญาณของจักรพรรดิโอสถย่อมมีประสาทสัมผัสการรับรู้อันตรายที่รวดเร็วยิ่งกว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไปกว่าร้อยเท่าพันทวี ความรู้สึกเช่นนี้หรือที่เขาเรียกว่าอย่าแหย่เสือหลับ

หว่างซานก้มลงมองไปที่ฝ่ามือของตัวเอง กรงเล็บแหลมคมทั้งห้านั้นเปรียบเสมือนเหล็กกล้าห้าแท่ง เขาขยับนิ้วนั้นไปมาอย่างช้าๆ แล้วจ้องมองไปยังดวงตาของหลงเฉิน น้ำเสียงนั้นเสียดทานเข้าไปทิ่มแทงหัวใจของผู้ที่ฟังอยู่อย่างเจ็บปวด “เจ้าหนู มีคำสั่งเสียหรือไม่?”

ในขณะนี้หลงเฉินพยายามปิดซ่อนความหวาดกลัวที่อยู่ภายในจิตใจเอาไว้ให้ลึกที่สุด ความรู้สึกเช่นนี้ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดหากตัวเขานั้นได้ถลำลึกเข้ามาถึงเพียงนี้แล้ว มีเพียงทางเดียวคือควบคุมมันเอาไว้

“ข้าขอถามเจ้าด้วยคำถามหนึ่ง” หลงเฉินกล่าว

“ว่ามา ถือว่าเป็นของขวัญก่อนตายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน” หว่างซานยืนเหวี่ยงเล็บบนนิ้วไปมา พร้อมกับหัวเราะขึ้นมาดังลั่น

“ที่ข้าอยากจะถามนั้นก็คือแท้ที่จริงแล้วบิดามารดาของเจ้าเป็นมนุษย์หรือว่าสัตว์กัน? เหตุใดถึงได้ให้กำเนิดเจ้าตัวประหลาดที่จำแนกไม่ออกว่าเป็นตัวอะไรออกมาได้กัน? หรือว่าเจ้าจะเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินแสร้งทำสีหน้าสงสัยแล้วกล่าวถามออกไป

“ซูม”

คำตอบที่หลงเฉินได้รับกลับเป็นกรงเล็บทั้งห้าสายกวัดแกว่งเข้ามา ฉีกกระชากสายลมที่ขวางมันจนอากาศเกิดความว่างเปล่าขึ้นมา กว่าหลงเฉินจะทันได้รู้สึกตัวก็ถูกกรงเล็บนั้นจ่อที่หน้าอกของเขาแล้ว

หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่กับความรวดเร็วที่ยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด เขาคิดว่าจะหลบเลี่ยงอยู่แล้วแต่กลับไม่ทันการณ์ จึงรีบเคลื่อนไหวเพลงเท้าถอยหลังออกไปอย่างร้อนรน

“ชิ”

ถึงแม้ว่าจะรอดพ้นจากการโจมตีไปได้ แต่ว่าอาภรณ์ตรงกลางอกกลับถูกกระชากจนฉีกขาดไปส่วนหนึ่งทิ้งเป็นร่องรอยโหว่ทั้งห้าสายเอาไว้ เผยให้เห็นผิวหนังที่ปรากฏรอยแผลที่มีสายโลหิตซึมไหลออกมาอยู่ห้าสายด้วยเช่นกัน

หลงเฉินสะดุ้งตัวโยนกับความรวดเร็วเช่นนั้น เปิดการโจมตีเข้ามาได้อย่างคมกริบอย่างยิ่ง หากว่าเมื่อครู่นี้ถอยช้าไปเพียงก้าวเดียว เกรงว่าร่างของเขาคงจะนอนแน่นิ่งกลายเป็นศพไปแล้ว

“ปากคอเราะร้ายเสียจริง บทลงโทษนั้นก็คือข้าจะฉีกกระชากเจ้าให้เป็นชิ้นๆ โดยที่ยังมีลมหายใจอยู่” หว่างซานใช้ลิ้นเลียไปที่กรงเล็บที่มีคราบโลหิตของหลงเฉินอยู่เป็นสาย

หลงเฉินตั้งสติอีกครั้ง เขารวบรวมสมาธิทั้งหมดแล้วจดจ่อไปที่การไหลเวียนพลัง พลางก็ย้อนคิดไปว่าเมื่อครู่นี้ทำได้ใจจนเกินไปจนเกือบจะถูกถลกหนังทั้งร่างแล้ว

ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าเพียงพอแล้ว หากให้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งอาจจะกลายเป็นศพไปได้ทันที เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินรู้สึกหวาดกลัวในการต่อสู้กับผู้อื่น ในเวลาเดียวกันก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกจนโลหิตภายในร่างได้สูบฉีดไปทั่ว

ในช่วงเวลาที่หลงเฉินถูกกดดันจนเกือบตาย ที่จุดดารากักวายุบริเวณใต้ฝ่าเท้าที่ตัวเขาเองไม่ได้กระตุ้นขึ้นมาแต่อย่างใด กลับค่อยๆ ไหลเวียนพลังขึ้นมาเองโดยไม่ทราบสภาวะของความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นได้เลย

แม้แต่หลงเฉินก็ตรวจสอบไม่พบ ในตอนนี้เขาจึงจดจ่อไปที่สภาวะของพลังตลอดทั้งร่างกาย หมุนเวียนออกสู่ภายนอกแล้วไปจดจ่ออยู่บนร่างกายของหว่างซาน

“จะฉีกกระชากข้าให้เป็นชิ้นๆ โดยที่ยังมีลมหายใจอยู่อย่างนั้นหรือ? คนที่ไม่เหมือนคนอย่างเจ้า มีความโง่งมเช่นสุนัขก็ไม่คล้ายสุนัขอย่างนั้นหรือ? ข้ายังเชื่อไม่ลงหรอก” หลงเฉินจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของหว่างซาน แสดงใบหน้าที่ไม่แยแส แต่ภายในกลับทำการไหลเวียนพลังและตั้งสมาธิ โดยใช้สายตาเข้าจับความเคลื่อนไหวของหว่างซานเอาไว้

“หาที่ตาย”

หว่างซานที่กลายร่างเป็นสัตว์ก็ยิ่งถูกยั่วยุได้ง่ายขึ้น ร่างกำยำนั้นจึงพุ่งเข้าไปหาหลงเฉินอย่างบ้าคลั่ง

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset