เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 37 ประลองหลอมโอสถ

“อาจารย์ของเจ้าบอกว่าให้เล่นเจ้าเสียหน่อย จะเล่นอะไรกันดีล่ะ?”

ผู้คนที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นของหลงเฉินต่างก็ทอแววตาเปล่งประกาย ความโง่งมผุดขึ้นมาบนใบหน้าปากของเจ้าอ้วนเจ้าลิงและพวกพ้องต่างก็อ้ากว้างจนสุดขอบ

“ให้ตายเถิด พี่หลงก็คือพี่หลง วาจาเพียงคำเดียวก็สามารถสะกดผู้คนได้ทั่วเลย”

เซี่ยปายฉือดึงหน้าตึง ใบหน้าชาด้านแผ่ซ่านขึ้นมา ดวงตาทั้งสองนั้นคล้ายกับมีอาวุธแหลมคมซ่อนอยู่ภายในอย่างไรอย่างนั้น บาดคมจนสามารถเชือดเฉือนร่างกายให้เป็นชิ้นเนื้อในพริบตาเดียว

ปรมาจารย์หวินฉีส่ายหน้าไปมาด้วยความประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ทว่าภายในใจกลับรู้สึกถึงความสบายใจที่หลงเฉินออกหน้าเพื่อช่วยเหลือตนเอาไว้ถึงเพียงนี้ นี่ช่างสมกับคำเล่าลือที่ว่าพระคุณเพียงครั้งเดียวช่วยกำจัดคนพาลได้ทั้งปวงอย่างนั้นจริงหรือ?

“เจ้าคนสารเลว”

ฉู่เหยามีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา หลงเฉินผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียเหลือเกิน เมื่อพบว่าเซี่ยปายฉือถูกยั่วยุอารมณ์ถึงเพียงนั้นก็ไม่ทราบว่าอีกสักครู่จะมีพลังในการหลอมโอสถได้ดีขนาดไหน

“เจ้าหนู สงบเสงี่ยมเจียมตัวเสียหน่อยเถิด ข้าเพียงแค่ต้องการให้เจ้าขึ้นไปประลองด้วยสักครั้งหนึ่งก็เท่านั้นเอง” เว่ยชางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน เขาแค้นจนแทบอยากจะฟาดผู้เยาว์เช่นหลงเฉินให้ตายคามือไปเสียตรงนี้เลย

“ไม่มีปัญหา ขอแค่ชนะก็เพียงพอแล้วใช่หรือไม่?”หลงเฉินชี้ไปยังขวดที่อยู่ในมือของเว่ยชางเหมือนกับต้องการคำยืนยันอีกครั้ง

“เหอะ ผู้ชราภาพอย่างข้าพูดคำไหนคำนั้นย่อมไม่กลับคำพูดอย่างแน่นอน” เว่ยชางตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เซี่ยปายฉือผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้เย็นลงทันใดนั้นก็ชี้ไปที่หลงเฉินพร้อมกับกัดฟันแล้วกล่าวออกมาว่า “คิดที่จะเอาชนะข้านั้นช่างเป็นฝันหวานเกินไปแล้ว

หากว่าเจ้าพ่ายแพ้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอ้อนวอนร้องขอชีวิตด้วยการโขกศีรษะลงกับพื้นสามครั้ง จากนั้นก็คลานเข่าเข้ามาหาข้า แล้วจงใช้ลิ้นของเจ้าทำความสะอาดนิ้วเท้าทั้งสิบของข้าให้เอี่ยมเสียด้วย”

เสียงพูดกัดฟันของเซี่ยปายฉือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณนั้น วาจาเชือดเฉือนเต็มไปด้วยโทสะที่พลุ่งพล่านอย่างมหาศาลผู้คนที่ได้ยินเริ่มเกรงกลัวว่าความแค้นระหว่างนางและหลงเฉินนั้นจะไม่ใช่เพียงแค่เล็กน้อยแล้ว

พลันก็เข้าใจได้ทันทีว่าการมาเยือนของเว่ยชางนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน คงไม่ใช่แค่เพียงเพราะเทศกาลโคมไฟเฟิงหมิงแต่เห็นได้ชัดว่าได้วางแผนพุ่งเป้ามาที่หลงเฉินและปรมาจารย์หวินฉีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ทว่าเงื่อนไขที่เสนอมาของเซี่ยปายฉือก็แสนจะอำมหิตยิ่งนักหากยังเป็นมนุษย์อยู่คงไม่อาจที่จะยินยอมลดเกียรติลงไปถึงเพียงนั้นได้ นี่ต้องการจะเหยียบย่ำหลงเฉินให้จมดินไปเลยหรืออย่างไรกัน

ซือเฟิงเจ้าอ้วนและพวกพ้องไม่อาจยอมรับข้อเสนอที่น่ารังเกียจที่นางมอบให้หลงเฉินได้ ต่างพากันสบถถ่อยคำหยาบคายขึ้นมาในใจไม่หยุดหย่อนเว่ยชางเอ่ยปากออกมาเองว่าเซี่ยปายฉือนั้นเป็นศิษย์เอกของเขา อีกทั้งยังจะใช้วิชาหลอมโอสถขั้นสูงออกมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของจักรวรรดิต้าเซี่ย

แต่ว่าวิชาหลอมโอสถของหลงเฉินนั้นก็เรียกได้ว่ายังไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อนเลยก็ว่าได้ ความลึกลับซับซ้อนของขั้นตอนอาจทำให้สับสนได้ว่าแท้ที่จริงแล้วหลงเฉินนั้นหลอมโอสถได้จริงหรือไม่ จึงยากที่จะเอ่ยปากออกมาได้อย่างชัดเจนเหมือนเว่ยชาง

ต่อให้หลงเฉินจะหลอมโอสถได้จริงแต่เขานั้นได้รู้จักกับปรมาจารย์หวินฉีมานานสักเท่าใดแล้ว? ภายในช่วงเวลาเพียงสองเดือนสามารถที่จะเรียนรู้อะไรได้มากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? หรืออาจจะกล่าวได้ว่าแม้แต่ปลายเส้นขนก็ยังไม่อาจจะเทียบเคียงได้ด้วยซ้ำ!

เมื่อเห็นทุกเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไปก็ทำให้ใบหน้าของฉู่เหยานั้นเริ่มซีดลงไปอย่างเห็นได้ชัดแววตาคู่งามเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล แม้ว่านางจะเพิ่งรู้จักกับหลงเฉินได้ไม่นาน แต่ว่านางก็พอจะทราบถึงลักษณะนิสัยของหลงเฉินอยู่บ้าง ต่อให้เขาต้องตายอยู่ตรงนั้นก็ไม่อาจให้ผู้ใดมาลบหลู่ได้โดยเด็ดขาด

“หลงเฉิน เจ้านั้นไม่ใช่ศิษย์โดยตรงของข้า ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียสละตนเข้าไปสู่กับดักที่ถูกเตรียมการเอาไว้อย่างดีเช่นนี้หรอก” ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวเตือนสติขึ้นมาด้วยทราบอยู่เต็มอกว่าหลงเฉินนั้นไม่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอันใดจากเขาเลยแม้แต่น้อย

“ที่ว่าเป็นกับดักนั้น ข้าเองก็ทราบดีอยู่แล้ว……แต่ว่าเรื่องนี้……ช่างเป็นเรื่องที่หยาบคายจนเกินจะทานรับได้” หลงเฉินรู้สึกเหมือนกับถูกดูแคลนใบหน้าของเขาตอนนี้มีแต่ความโกรธเกลียดปะทุออกมา

เจ้าอ้วนและพวกพ้องรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างไม่อาจเอ่ยเอื้อนวาจาใดออกไปได้ พี่หลง…ไม่สิปู่เหย่(ปู่หลง) ท่านทราบอยู่แล้วว่านั่นเป็นกับดัก แล้วเหตุใดจึงต้องกระโดดเข้าไปหามันด้วย?

ผู้คนมากมายต่างก็มีแววตาที่สะท้อนให้เห็นถึงความสงสัยอยู่ไม่น้อยนี่หลงเฉินแสร้งทำตัวโง่งม หรือว่าไง่เขลาอย่างแท้จริงกันแน่?

หลงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็กัดฟันตอบกลับไปว่า “ข้าขอรับคำท้าแต่ว่าข้านั้นก็มีเงื่อนไขเช่นเดียวกัน”

เมื่อได้ยินหลงเฉินตบปากรับคำท้าทาย ที่มุมปากของเซี่ยปายฉือก็ฉีกออกจนปรากฏเป็นรอยยิ้มที่แสนชั่วร้ายขึ้นใบหน้าของเว่ยชางก็ได้เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเย้ยหยันเช่นกัน

“เงื่อนไขอันใด?บอกมาสิ”

“หากเป็นข้าที่กุมชนะอย่าได้ทำอันใดให้ข้าก็แล้วกัน ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับนางนั้นไม่ค่อยจะดีนักเกรงว่าเท้าที่สะอาดแล้วของข้าจะต้องปะทุอารมณ์บางอย่างขึ้นแน่นอน” หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันคล้ายกับกำลังราดน้ำมันเข้าสู่กองเพลิงอย่างไรอย่างนั้น

“หลงเฉิน……ข้าจะฆ่าเจ้า”

เซี่ยปายฉือปะทุเพลิงแค้นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เดิมทีใบหน้านั้นช่างดูมีเสน่ห์ แต่บัดนี้กลับบิดเบี้ยวไปจนไม่น่าดูอย่างถึงที่สุด จนทำให้ผู้คนที่กำลังมองไปที่นางต่างก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจนขนลุกพอง

“หลงเฉิน……”

เว่ยชางไม่อาจอดกลั้นอารมณ์อาฆาตแค้นนี้ได้อีกแล้ว มือทั้งสองข้างกำหมัดเอาไว้แน่น ผมหงอกสีขาวถูกลมพัดโชยจนเห็นได้ชัดจนสังเกตได้ถึงความแก่ของเขาร่างกายซูบผอมนั้นสั่นเทาด้วยความโกรธอย่างมหาศาล

“ตาเฒ่า เจ้าคงจะไม่ได้มีเลือดคั่งในสมองจนเป็นบ้าไปแล้วหรอกนะ” หลงเฉินแสร้งทำทีท่าว่าเป็นห่วงเป็นใย

เว่ยชางพยายามไม่แสดงท่าทีอันใดออกไปเพื่อให้ตัวเองยังดูเป็นเฒ่าที่น่าเชื่อถือทำได้เพียงยับยั้งเพลิงโทสะที่แผดเผาอยู่ให้มอดดับไป

“การประลองในครั้งนี้จะให้หลอมโอสถทะลวงโลหิตขึ้นมา ส่วนสมุนไพรนั้นให้หาด้วยตัวเอง ใช้ได้อย่างมากที่สุดคือสามชุด อีกหนึ่งชั่วยามจะเริ่มทำการประลอง”

เว่ยชางท่องกฎออกมาทั้งหมดแล้วหันกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของเขา เจ้าลูกเต่าผู้นี้ช่างยั่วยุโทสะของผู้คนได้เก่งเสียจริง แต่ต่อให้หลงเฉินจะสูงส่งระดับเย้ยฟ้าดินได้ เขาก็เกรงว่าตนเองจะอดกลั้นอารมณ์จนถึงขั้นลงมือเอาไว้ไม่อยู่เช่นเดียวกัน

ในครั้งนี้เขาได้ยืมฝีมือของเซี่ยปายฉือมาใช้กดดันหลงเฉิน อีกทั้งยังต้องการกระตุ้นบางอย่างกับ หวินฉีหากเขาคิดที่จะลงมือด้วยตัวเองก็แน่นอนว่าหวินฉีเองก็ไม่หวาดหวั่นที่จะสอดมือเข้ายุ่งอย่างแน่นอน

สมุนไพรของเซี่ยปายฉือนั้นได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่ของหลงเฉินนั้นก็คงจะต้องพึ่งพาบารมีจากปรมาจารย์หวินฉีเสียแล้ว

“ปรมาจารย์ ท่านจะสามารถให้ข้าหยิบยืมสมุนไพรสักเล็กน้อยได้หรือไม่” หลงเฉินถามออกไป

“เจ้ามีความมั่นใจจริงหรือ” ปรมาจารย์หวินฉีถามกลับ

“ปรมาจารย์ ที่ข้าทำไปนั้นก็เพื่อตัวเองทั้งสิ้น วางใจเถิด ข้านั้นมีวิธีจัดการอยู่แล้ว” หลงเฉินกล่าว

“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว”

แม้ว่ารู้สึกเป็นห่วงชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้อยู่บ้าง แต่พอได้ยินน้ำเสียงที่แน่วแน่เช่นนั้น ก็ทำได้แค่เพียงพยักหน้าตอบรับไปเขาขานเรียกศิษย์หลอมโอสถผู้หนึ่งให้กลับไปยังชุมนุมผู้หลอมโอสถเพื่อไปนำสมุนไพรกลับมายังลานประลอง

โอสถทะลวงโลหิตเป็นโอสถขั้นที่สองชนิดหนึ่งที่มีค่าสำหรับยอดฝีมือระดับพลังขั้นก่อโลหิต เพราะเป็นโอสถที่ใช้สำหรับทะลวงขอบเขต

ถึงแม้โอสถทะลวงโลหิตนี้จะใช้สมุนไพรจำนวนไม่มากแต่สมุนไพรหลักอย่างผลก่อโลหิตนั้นกลับมีมูลค่าที่สูงลิบ

ผลลัพธ์ของโอสถนี้เพียงดูที่ผลก่อโลหิตก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าดีหรือไม่อีกทั้งการหลอมโอสถชนิดนี้นั้นเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง จำเป็นที่จะต้องควบคุมพลังเพลิงให้เหมาะสมจึงจะสามารถปรับความสมดุลได้สำเร็จ

ขณะใช้เพลิงจำเป็นจะต้องควบคุมระดับของมันเอาไว้ไม่ให้มอดดับ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของโอสถมากจนเกินไป โอสถทะลวงโลหิตนี้เป็นหนึ่งในโอสถระดับสองเพียงไม่กี่ชนิดที่ยากจะหล่อหลอมขึ้นมาได้สำเร็จ

แม้ว่าจะเตรียมสมุนไพรไว้ถึงสามชุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการหลอมให้สำเร็จถึงสามครั้ง แต่การหลอมโอสถทะลวงโลหิตนี้ก็ยังมีโอกาสสำเร็จอยู่ในระดับที่อันตรายอย่างมากที่สุด

ขณะนี้ที่ด้านบนของเทวีประลองกำลังเกิดการเคลื่อนไหวอย่างชุลมุน ทั้งสองฝ่ายเริ่มตระเตรียมวัตถุดิบและสิ่งของสำหรับใช้หลอมโอสถกันอย่างขะมักเขม้น อีกทั้งยังต้องจัดวางให้ผู้ชมสามารถมองดูจากทางด้านล่างได้อย่างชัดเจน

“เริ่มการประลองได้ มีเวลาให้หนึ่งชั่วยาม หลังจากผ่านพ้นหนึ่งชั่วยามไปแล้ว ผู้ใดสามารถหลอมโอสถทะลวงโลหิตได้ในระดับที่สูงกว่า ผู้นั้นจึงจะเป็นฝ่ายชนะ”

เมื่อการประลองได้เริ่มต้นขึ้น หลงเฉินและเซี่ยปายฉือต่างก็แยกย้ายไปยังแท่นหลอมของฝั่งตัวเอง เซี่ยปายฉือนำสมุนไพรแต่ละชุดจัดวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบตามขั้นตอน

หลงเฉินหรี่ตามองไปที่เซี่ยปายฉือก็พบว่าที่แท่นหลอมของของนางมีผลกลมกลิ้งลูกหนึ่งวางอยู่กลางแท่นจนเป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง

“ผลก่อโลหิตที่มีอายุร้อยปีขึ้นไปอย่างนั้นหรือ?”

หลงเฉินตื่นตกใจกับสิ่งที่กำลังจ้องมองอยู่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นจะวางแผนมาเป็นอย่างดีเลยทีเดียว พลันก้มลงมองผลก่อโลหิตในมือของเขาทีมีอายุเพียงแค่หลักสิบปี อย่างดีที่สุดอาจจะมีอายุเพียงห้าสิบกว่าปีเท่านั้น

“เหอะ ก็บอกไปแล้วว่าสมุนไพรนั้นให้จัดหามาเอง จะโทษก็คงต้องโทษที่ชุมนุมของเจ้านั้นตระหนี่จนเกินไป” เซี่ยปายฉือหัวเราะเยาะขึ้นมาเมื่อเห็นหลงเฉินกำลังจ้องมองมาที่ผลก่อโลหิต

สีหน้าของปรมาจารย์หวินฉีบังเกิดความเอือมระอาอยู่ไม่น้อย แล้วพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ผ่านมาก็หลายปีแล้ว ยังจะใช้ของที่ไม่เสมอภาคมาเข้าประลองอีกอย่างนั้นหรือ”

วาจาที่เปล่งออกมาของปรมาจารย์หวินฉีคล้ายกับกำลังพูดคุยอยู่กับตัวเอง แต่ว่าเว่ยชางกลับตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ผู้ชนะเท่านั้นที่จะเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์ ข้าหวังเพียงผลลัพธ์เท่านั้น เป็นพวกเจ้าเองที่ไม่ตระหนักถึงความข้อนี้ จะกล่าวโทษผู้ใดได้กัน?”

“ปรมาจารย์ พวกเขาได้กระทำช่อโกงเกี่ยวกับสมุนไพรอย่างนั้นหรือ?” ฉู่เหยาที่ดูผลก่อโลหิตไม่ออก รู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นช่างดูมีเลศนัยเลยตัดสินใจถามออกไป

ปรมาจารย์หวินฉีพยักหน้า “ผลก่อโลหิตที่พวกเขาได้ครอบครองอยู่นั้นมีอายุกว่าสามร้อยปีขึ้นไปแล้ว จึงสามารใช้สกัดออกมาได้อย่างหมดจดเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมต่อระดับการหลอมโอสถชนิดนี้ มีโอกาสที่จะกลายเป็นโอสถระดับสูงได้”

“ถ้าเช่นนั้นหลงเฉินก็กำลังเสียเปรียบเป็นอย่างมากใช่หรือไม่?” ฉู่เหยาเป็นห่วงจนออกนอกหน้า

นี่ยังไม่ทันจะเริ่มการประลองก็มีโอกาสพ่ายแพ้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ฉู่เหยารู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ ปรมาจารย์หวินฉีถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว “คงจะต้องโทษที่ตัวข้า ที่ไม่อาจมองเห็นความหน้าทนของเว่ยชางออก”

คำพูดของปรมาจารย์หวินฉีนั้นไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวออกไปให้ผู้อื่นได้ยินด้วย แต่กลับดังพอที่จะทำให้ผู้คนด้านล่างได้ยินทุกถ้อยคำ จนคนเหล่านั้นต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตื่นตระหนกถกเถียงกันเสียงดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งเขตลานประลอง

“พวกเจ้าจะบอกว่าพี่หลงจะสู้ไม่ไหวอย่างนั้นหรือ?” เจ้าลิงผอมกล่าวออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ

“พูดบ้าอะไรกัน พี่หลงเป็นคนเช่นไรพวกเจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” เจ้าอ้วนกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น

หลงเฉินมองไปที่ท่าทางที่กำลังเร่งรีบอยู่ของเซี่ยปายฉืออยู่ครู่หนึ่ง เขาทำได้เพียงแค่ยืนกอดอกอยู่อย่างนิ่งเฉย ไม่ได้มีท่าทีที่จะเริ่มหลอมโอสถแต่อย่างใด แม้แต่การอุ่นเตาหลอมก็ยังไม่ได้เริ่มเสียด้วยซ้ำ

“เหอะ ยอมแพ้แล้วอย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นก็จงรอเวลาที่จะมาเลียนิ้วเท้าของข้าก็แล้วกัน”

เซี่ยปายฉือคิดว่าหลงเฉินนั้นถูกทำให้จนตรอกและขวัญเสียไปแล้วจึงรู้สึกได้ใจ จากนั้นก็หันไปสนใจที่เตาหลอมของตนต่อ นางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจนเพลิงผลาญสีเหลืองกลุ่มหนึ่งได้ลุกโชนขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มปะทุไอร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ

ไม่เลวเลย แม้ว่าจะไม่เต็มใจที่จะยอมรับในความสามารถของเซี่ยปายฉือก็ตาม แต่ว่าปราณเพลิงที่เห็นอยู่นั้นถือได้ว่าก่อรวมขึ้นมาในระดับที่ดีจบเกือบจะดีเยี่ยมเลยก็ว่าได้

หากเทียบกับศิษย์ผู้หลอมโอสถทั้งหมดแล้วก็สามารถจัดอยู่ในระดับชั้นแนวหน้าเลยก็ว่าได้ ไม่แปลกใจเลยที่นางมั่นใจในตัวเองอย่างมากมายถึงเพียงนั้น หาญกล้าที่จะท้าทายและเหยียดหยามผู้อื่นได้อย่างรุนแรงนัก

แม้ว่าหลงเฉินจะถูกเหยียดหยามเพียงใดก็ยังคงมีเสือดาวเพลิงกาฬเป็นแรงจูงใจอยู่ สัตว์เพลิงตัวนั้นไม่ได้จัดว่าเป็นสัตว์เพลิงในลำดับต้นๆ แต่หากเทียบกับปราณเพลิงของเขาแล้วนั้นย่อมแข็งแกร่งกว่านับสิบเท่าเห็นจะได้

หากหลงเฉินหลอมโอสถด้วยเสือดาวเพลิงกาฬ เขาย่อมสามารถที่จะขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถหลอมโอสถสลายดาราระดับสูงได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับฉู่เหยาอย่างถึงที่สุด

ฉู่เหยานั้นถูกพลังประหลาดกักขังเอาไว้อยู่นาน มีแค่เพียงโอสถสลายดาราระดับสูงเท่านั้นที่จะช่วยปลดปล่อยพลังเหล่านั้นออกได้

หลงเฉินนั้นทราบเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าเป็นเพราะเหตุใด แม้ว่าการประลองนี้จะเป็นกับดักที่ไม่ว่าจะอย่างไรสักวันก็ต้องก้าวเข้าไปอยู่ดี ดังคำที่เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า: นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ แรงจูงใจนั้นช่างน่าดึงดูดจนเกินไป

ในขณะนี้ความเคลื่อนไหวของเซี่ยปายฉือเป็นไปอย่างเร่งรีบและต่อเนื่อง ในทุกย่างก้าวและท่วงท่าของวงแขนไม่มีผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย

ใบหน้าอันหยาบกร้านของเว่ยชางปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นมาตั้งแต่เริ่มการประลอง พลางก็ใช้มือลูบไล้ไปที่ชุดหนังแกะภูเขาอย่างนิ่มนวล ดวงตาทั้งสองจับจ้องไปที่เซี่ยปายฉือด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม:

“เด็กน้อยปายฉือผู้นี้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก ขอเพียงนางสามารถหลอมรวมโอสถก่อโลหิตขึ้นมาได้สำเร็จ ระดับของโอสถย่อมไม่มีต่ำต้อยอย่างแน่นอน ความสำเร็จในวันนี้จะทำให้นางไต่เต้าขึ้นสู่ระดับชั้นผู้หลอมโอสถได้เลย”

โอสถก่อโลหิตเป็นหนึ่งในโอสถที่ใช้ในการสอบเลื่อนขั้นจากศิษย์ผู้หลอมโอสถสู่ขั้นผู้หลอมโอสถ หากวันนี้เซี่ยปายฉือหลอมขึ้นมาได้สำเร็จต่อหน้าผู้คนมากมาย ก็จะถือว่านางผู้นี้ผ่านเข้าสู่อีกระดับในทันที

“ความสำเร็จทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านปรมาจารย์หยิบยื่นโอกาสให้ แม้ว่าปรมาจารย์เพิ่งจะมา แต่ก็เสมือนกับเรือลำใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร คอยช่วยพยุงพวกเราไว้ ฉางเฟิงผู้นี้รู้สึกตื้นตันจนไม่ทราบจะตอบแทนเช่นไรดี”

กล่าวจบก็ได้เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นทุ้มต่ำและแผ่วเบาให้เพียงแค่คนสองคนเท่านั้นที่จะได้ยิน “ฉางเฟิงได้เสาะหาหญิงสาวสองพี่น้องร่วมครรภ์เดียวกันให้แล้ว งดงามอย่างยิ่งเลยล่ะปรมาจารย์ อีกทั้งยังไม่เสียพรหมจรรย์อีกด้วย”

เว่ยชางทอประกายแววตาเจิดจ้าขึ้นมา แต่ก็ข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว แล้วกลับคืนสู่ท่าทีที่สงบเสงี่ยมเช่นเดิมแล้วกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ใช้พักผ่อนแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจให้มากความเช่นนั้นหรอก”

“ข้าทราบว่าท่านปรมาจารย์ไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่ทว่าเมื่อมีผู้ยิ่งใหญ่เช่นท่านมาเยือน จึงถือเป็นโอกาสอันดีของข้าที่จะตอบแทนท่านสักเล็กน้อย ให้พวกนางคอยปรนนิบัติรับใช้ท่านย่อมไม่ดีกว่าหรอกหรือ?” เซี่ยฉางเฟิงหัวเราะ

แต่ภายในใจของเขากลับด่าทอขึ้นมาอย่างเดือดดาล: เฒ่าตัณหากลับอย่างเจ้า ทั่วทั้งฟ้าดินไม่มีผู้ใดที่ไม่ทราบ ยังจะแสร้งทำตัวสูงส่งอยู่ได้

“เหอะเหอะ ถ้าเช่นนั้นคงต้องมอบให้พวกเจ้าช่วยจัดการก็แล้วกัน ข้าไม่มีความสนใจต่อเรื่องพวกนี้มากอยู่แล้ว” เว่ยชางปั้นสีหน้านิ่งเฉย

ไม่สนใจต่อเรื่องพวกนี้อย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าเจ้าไม่สนใจต่อเรื่องพวกนี้ แต่เจ้าสนใจที่จะร่วมหลับนอนกับหญิงสาวไงล่ะ เซี่ยฉางเฟิงได้แต่สบถอยู่ภายในใจอย่างอดกลั้น แต่ทันใดนั้นสีหน้าก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสงบขึ้นมาเมื่อพบว่าเซี่ยปายฉือเริ่มหลอมผลก่อโลหิตแล้ว

โอสถก่อโลหิตจะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นขึ้นอยู่กับผลก่อโลหิตทั้งสิ้น หากการหลอมไม่มีจุดผิดพลาดใด ความสำเร็จก็ย่อมมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

เซี่ยปายฉือบรรจงวางผลก่อโลหิตเข้าไปที่เตาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มระดับของอุณหภูมิของปราณเพลิงให้สูงขึ้นอย่างช้าๆ หากว่านางทำสำเร็จก็จะถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้หลอมผลก่อโลหิตที่มีอายุมากถึงเพียงนี้ จนไม่อาจที่จะหยุดยั้งอาการได้ใจที่ปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งได้

“อา……อา…… แค่ก……แค่ก”

ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบลานประลองตกอยู่ในความเงียบสงัดราวกับป่าช้า จู่จู่หลงเฉินก็ส่งเสียงโวยวายเสียงดังขึ้นมา

“ครืน”

มือของเซี่ยปายฉือกระตุกขึ้นครั้งหนึ่ง เพลิงผลาญลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง ผลก่อโลหิตเม็ดนั้นไม่อาจทนรับเปลวเพลิงที่มากขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนั้นได้จึงกลายเป็นสีแดงเข้มอยู่ในเตาหลอม

ผู้คนที่กำลังอยู่ในความเงียบสงบก็ค่อยๆ หันกลับไปมองที่หลงเฉินเป็นสายตาเดียว . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset