เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 31 ทะลวงไปอีกขั้น

“เจ้าสามัญชนพวกนี้ช่างบังอาจนัก คิดที่จะกินเนื้อห่านฟ้าอย่างนั้นหรือ องค์หญิงสามนั้นหาใช่บุคคลที่พวกเจ้าจะนำมาสนทนากันได้อย่างสนุกปากอย่างนั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น เหล่าชายหนุ่มที่นั่งล้อมวงกันอยู่ก็บังเกิดความสงสัยกันถ้วนหน้า เจ้าอ้วนจึงด่าทอออกมายกใหญ่ “หญิงสาวผู้โง่เขลาที่ใดกัน แสดงตัวให้ข้าเห็นหน่อย”

ทันทีที่เจ้าอ้วนกล่าวจบ ก็ได้มีบางอย่างพุ่งผ่านสายลมขึ้นมายังชั้นบน เฉียดผ่านผู้คนมากมายจนเกิดความแตกตื่นกันระนาว

“เปรี้ยง”

โต๊ะตัวหนึ่งได้หยุดอยู่ท่ามกลางอากาศอย่างกะทันหัน หลงเฉินที่กำลังใช้มือข้างหนึ่งจับไปที่ขาโต๊ะ จากนั้นก็ตวัดแขนแล้วเหวี่ยงโต๊ะตัวนั้นให้ลอยไปยังอีกด้านหนึ่งซึ่งมีบันไดอยู่

เบื้องหน้านั้นปรากฏเป็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเดินมาด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าโต๊ะตัวนั้นได้ถูกโยนไปยังทิศที่หญิงสาวผู้นั้นอยู่

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดกำลังจะเกิดขึ้นเมื่อโต๊ะที่กำลังลอยเข้ามานั้นมีน้ำหนักมากเสียกว่าตัวที่นางโยนออกไปนับสิบเท่าประดุจจะหยิบยกหุบเขาลูกใหญ่อย่างไรอย่างนั้น ตัวโต๊ะนั้นยังไม่ทันมาถึงแต่กลับมีสายลมพวยพุ่งเข้ามากระทบที่ใบหน้าของนาง

การเคลื่อนไหวต่างๆ ได้เกิดขึ้นอย่างรวมเร็ว คิดที่จะหลบหลีกก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว หญิงสาวผู้นั้นจึงถูกโต๊ะตัวนั้นกระแทกเข้าไปอย่างรุนแรง อาจบาดเจ็บจนกระดูกแตกหักอย่างไม่ต้องสงสัย

“ปึก”

แต่ทันใดนั้นโต๊ะตัวนั้นกลับระเบิดออก เศษไม้กระเด็นกระจุยกระจายไปทั่วบรรยากาศแล้วตกลงสู้พื้น เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่มีรอยบากอยู่เบื้องหน้า จ้องมองสายตาลอดมาจากผ้าม่าน ขณะที่ยืนอยู่ด้านหน้าของหญิงสาวผู้นั้น

เหล่าชายหนุ่มทั้งหลายที่ได้เห็นชายหนุ่มที่มีรอยบากผู้นั้นก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที พวกเขาจดจำได้ขึ้นใจเลยว่าชายหนุ่มผู้นั้นคือองค์รักษ์ประจำตัวขององค์ชายต้าเซี่ยนั่นเอง

ชายหนุ่มที่มีรอยบากเกิดอาการตกใจเล็กน้อยเมื่อพบหลงเฉินในที่แห่งนี้ เขาจ้องมองหลงเฉินด้วยสายตาที่หรี่เล็กลง “คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เจ้ายังก้าวหน้าขึ้นมาได้อีก”

เมื่อครู่นี้ชายหนุ่มผู้นั้นสามารถทลายโต๊ะตัวนั้นด้วยหมัดเดียว แต่กลับไม่อาจที่จะสลายพลังอันมหาศาลถูกส่งผ่านไปด้วย จึงเกิดรอยของเท้าข้างหนึ่งประทับอยู่บนพื้น เป็นเพราะเขาประเมินพลังของอีกฝ่ายพลาดไป

“ช่วยไม่ได้ คงอาจเป็นเพราะว่าข้านั้นยังเยาว์อยู่ จำเป็นที่จะต้องเพิ่มพูนพลังให้มากยิ่งขึ้นไป เพื่อที่จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ กับชนชั้นทาสที่ติดสอยห้อยตามพวกองค์ชายอย่างเจ้าอย่างนั้นหรือ ย่อมไม่อาจที่จะเทียบเปรียบกันได้อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมีเส้นทางที่จะสามารถก้าวเดินต่อไปได้อีกไกล” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา

ชายหนุ่มที่มีรอยบากทอสีหน้าลังเลขึ้นมา คำพูดที่ต้องการจะกล่าว ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เหอะเหอะ ไม่พบกันเสียหลายวัน เหตุใดเจ้ายังมีท่าทีเฉกเช่นเดิมกัน ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก”

องค์ชายเซี่ยฉางเฟิงส่งเสียงขัดจังหวะขึ้นมา บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางที่ให้ความรู้สึกเป็นมิตรอย่างยิ่ง

“ข้าขอแนะนำ นี่ก็คือเซี่ยปายฉือ…น้องสาวของข้า” เซี่ยฉางเฟิงกล่าว

เมื่อได้ยินประโยคนั้น หลงเฉินก็ทำได้เพียงแค่อ้าปากค้าง ไม่อาจกล่าววาจาใดออกมาได้ เขามองนางจนเห็นได้ชัดเจนถึงใบหน้าที่เคยเจอเมื่อไม่นานมานี้ ที่แท้นางก็เป็นถึงองค์หญิงอย่างนั้นหรือ

ปรมาจารย์หวินฉีเคยบอกให้หลงเฉินระวังตัวจากนางเอาไว้ เขาทราบถึงสถานะของนางอยู่แล้วจึงได้กล่าวเตือนออกมาเช่นนั้น

“ชิ ตอนนี้ได้ทราบแล้ว ก็จงระลึกถึงความต่างชั้นระหว่างพวกเราเสีย” เซี่ยปายฉือหัวเราะอย่างสะใจเมื่อพบใบหน้าที่ตกใจของหลงเฉิน

หลงเฉินพยักหน้าไปมาแล้วตอบกลับไปว่า “ใช่แล้ว ต่างชั้นกันมากเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ข้าฝึกยุทธ์อีกหมื่นปีก็ไม่อาจโง่งมได้เช่นเจ้าเป็นแน่ เซี่ยปายฉือ ตัวโง่งม (เซร่ยปายจือ下白痴) หึหึ ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะเสนาะหูเสียจริง”

“เจ้า……” เซี่ยปายฉือเปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึง แววตาดั่งมีเพลิงลุกโชนขึ้นมา

เมื่อเพียงแค่เซี่ยปายฉือ แววตาของเซี่ยฉางเฟิงเองก็ยังสาดความเย็นยะเยือกขึ้นมาขุมหนึ่ง แต่ทว่าแค่กระพริบตาก็กลับกลายเป็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด ตอนนี้ก็ได้รู้จักกันแล้ว ไม่ทราบว่าหัวข้อสนทนาของพวกเจ้าเมื่อครู่นี้ เหตุใดถึงได้ดูสนุกสนานถึงเพียงนั้นกัน?”

ตั้งแต่ที่เจ้าอ้วนและพวกพ้องได้พบกับองค์ชายต้าเซี่ย ก็ออกอาการเก้กัง ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น การจะกระทำตัวให้ปกติต่อหน้าองค์ชายผู้สูงส่งย่อมต่างจากการใช้ชีวิตธรรมดาอยู่แล้ว

พวกเขาคิดพ้องต้องกันว่าไม่ได้สูงส่งเทียบเท่ากับหลงเฉินด้วยเช่นกัน จึงไม่หาญกล้าพอที่จะกล่าววาจาอันใดออกมาอย่างที่หลงเฉินกระทำ ได้กล่าวอ้ำอึ้งอยู่ในลำคอ

เซี่ยปายฉือกล่าววาจาเหน็บแนม “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงแว่วว่ามีคางคกสกปรกหมายจะกินเนื้อห่านฟ้าหรืออย่างไรกัน คิดที่จะมีเป้าหมายเป็นถึงองค์หญิงสามเสียด้วย ช่างน่าขบขำเสียจริงที่คนเหล่านั้นไม่ทราบว่าเสด็จพี่ของข้านั้นได้ตระเตรียมพิธีการเพื่อสู่ขอองค์หญิงสามเป็นราชินีแล้ว พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรที่มาหมายตาภรรยาในอนาคตของเสด็จพี่ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลย”

เมื่อได้ยินข่าวสารด้วยตัวเองก็ทำให้หลงเฉินมีสีหน้าสลดลงอย่างชัดเจน เขามองไปทางเซี่ยฉางเฟิง แล้วถามกลับอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?”

“หลงเฉิน ระวังท่าทีของเจ้าเอาไว้หน่อย” ชายหนุ่มที่มีรอยบากตะเบ็งเสียงใส่หลงเฉิน

“บังอาจ”

เซี่ยฉางเฟิงยกมือขึ้นเพื่อเป็นการห้ามปฏิกิริยาของชายที่มีรอยบากเอาไว้ พลันแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างผู้มีชัยแล้วกล่าวออกไปว่า “ที่ข้ามาเยือนจักรวรรดิเฟิงหมิงในครั้งนี้ เพราะได้รับคำสั่งมาจากเสด็จพ่อให้มาสู่ขอองค์หญิงสาม ท่านราชินีเองก็ได้เห็นสมควรด้วย และในอีกไม่ช้าคงจะป่าวประกาศออกไปให้ทราบกันถ้วนหน้า ถ้าหากวันนั้นมาถึงแล้วเจ้ามีเวลาว่างก็สามารถมายังต้าเซี่ยของเราได้ มาดื่มสุรามงคลร่วมกัน”

วาจาเช่นนั้นของเซี่ยฉางเฟิงไม่อาจทราบได้ว่าจงใจหรือไม่ได้จงใจ สายตามองต่ำลงไปที่หลงเฉิน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง ให้ความรู้สึกว่าเหมือนผู้ที่แข็งแกร่งจ้องมองผู้ที่อ่อนแอกว่า

หรือว่าเขาจะทราบเรื่องอะไรบางอย่างแล้ว? หลงเฉินใจเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น ถึงแม้ว่าจะรับรู้อยู่เต็มอกว่าเซี่ยฉางเฟิงกำลังยั่วยุอยู่ก็ตามที

บัดนี้ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามานับไม่ถ้วน แต่หลงเฉินก็ไม่อาจที่จะระเบิดออกมาได้ตามใจนึก คิดเสียว่าเซี่ยฉางเฟิงไม่ได้จงใจ ก็ช่างมันเสียเถิด

แต่ว่าหลงเฉินก็ทราบได้ทันทีว่าแผนการอันชั่วร้ายนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่ฉู่เหยาด้วย อาจเนื่องจากสภาวะประหลาดชนิดนี้ที่อยู่ในร่างกายของฉู่เหยา เพียงแค่หว่านเมล็ดลงไปเท่านั้น เมื่อผลเริ่มสุกงอมแล้ว

กระนั้นคนที่วางแผนเอาไว้อาจไม่ใช่เซี่ยฉางเฟิง เพียงแต่เขาก็เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ไปด้วย สมควรที่จะต้องเป็นหนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างแน่นอน องค์ชายผู้นี้จึงอาจจะต้องล่วงรู้ความลับนี้เอาไว้

ความคิดโลดเล่นขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง เหลงเฉินเองก็ไม่ทราบว่าสถานการณ์ของตนเองนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเซี่ยฉางเฟิงด้วยหรือไม่ แต่ทว่าจากที่ผ่านมาก็มีความเป็นไปได้อย่างมากเลยทีเดียว

เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวและความสัมพันธ์อันดีของเขาและฉู่เหยา ในก้นบึ้งของหัวใจก็ได้ปะทุความแค้นเคืองอย่างรุนแรงขึ้นมา แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่สมควรจะลงมือ เขาจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า

ความรู้สึกที่เสมือนสายธารไหลออกจากหุบเขาเป็นสายอย่างหยุดไม่ได้ เขาในตอนนี้ก็ไม่อาจที่จะควบคุมเพลิงโทสะที่ลุกโชนได้ ทำได้เพียงอดกลั้นไม่ให้มันระเบิดออกมา พยายามปั้นใบหน้าให้ดูนิ่งสงบขึ้นมา

เซี่ยฉางเฟิงเกิดความหวั่นไหวขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อพบว่าหลงเฉินสามารถควบคุมอารมณ์จนสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้ เขาจึงเพิ่มความระมัดระวังที่มีต่อหลงเฉินให้มากขึ้น ศัตรูที่สามารถควบคุมตนเองได้ถือเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

“องค์ชาย ข้าน้อยคิดว่าท่านยังไม่สมควรที่จะไปขอหมั้นหมายกับองค์หญิงสามนะ” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว

“ออ? ด้วยเหตุผลอันใดเล่า?”

“จากวิชาทำนายโชคชะตา (หลงโม่วกู่龙某苦) ของข้า จะลองช่วยท่านคำนวณดูสักครั้งหนึ่ง นามของท่านมีคำว่าเฟิง (วายุ风) อยู่ นามขององค์หญิงสามมีคำว่าหลิน (พฤกษา林) อยู่ แปลได้ว่าลมพัดต้นไม้ล้ม นี่ไม่ถือเป็นสิ่งอัปมงคลต่อองค์หญิงสามหรอกหรือ” หลงเฉินมองไปยังเซี่ยฉางเฟิงแล้วกล่าวออกมา

“ฮาฮา เจ้าพูดเล่นเกินไปแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่อาจเชื่อได้หรอกนะ” เซี่ยฉางเฟิงยิ้ม

แววตาของหลงเฉินทอประกายของพลังหยินมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่เขาได้ไหลเวียนพลังจิตขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุด วาจาที่หลงเฉินได้กล่าวออกไปนั้นแม้ไม่ได้ทำให้เซี่ยฉางเฟิงมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ว่าภายในใจนั้นกลับเกิดอาการตื่นตูมขึ้นมาอย่างปกปิดไม่ได้

ยอดมาก เจ้าลูกเต่าผู้นี้รู้เรื่องอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“วิชาทำนายโชคชะตาของหลงโม่วกู่เป็นการใช้หลักการคู่ขนานที่มีความแม่นยำขั้นสูง ท่านที่มีชีวิตอันรุ่งโรจน์ จึงถูกตั้งนามเอาไว้ด้วยเฟิง เพลิงพิโรธหยิบยืมพลังจากสายลม เผาผลาญไปได้นับหมื่นลี้ ยากนักที่จะต้านทานเอาไว้ได้ เป็นนามที่มีความเหมาะสมกับท่านเป็นอย่างยิ่ง” หลงเฉินกล่าวด้วยความเลื่อมใส

เซี่ยฉางเฟิงยังคงมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ทว่าภายในจิตใจกลับแตกตื่นจนแทบจะคลั่งตายเสียแล้ว หรือว่าหลงเฉินผู้นี้มีความสามารถในการต่อกรด้วยวาจา เป็นจริงอย่างที่ล่ำลือมาอย่างนั้นหรือ?

นามของเขานั้นได้ตั้งขึ้นมาจากนักปราชญ์ที่เลื่องชื่อทั่วทั้งจักรวรรดิ ทั้งหมดเป็นไปตามที่หลงเฉินกล่าวออกมาทั้งสิ้น ดวงชะตาของเขานั้นมีเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ จึงจำเป็นที่จะต้องตั้งนามที่มีคำว่าเฟิง (ลม风) ขึ้นมาด้วย

ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เริ่มหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมไม่ขาดสาย ระดับลมหายใจเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะความหวั่นไหวในวาจาที่แม่นยำของหลงเฉินเมื่อครู่นี้

หลงเฉินยิ้มเยาะขึ้นมาในใจที่สามารถหลอกล่อองค์ชายได้จนถึงเพียงนี้ แต่ก็ไม่อาจบีบคั้นเจ้าหนูตัวนี้ให้ตายได้ จึงได้กล่าวต่อออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “และองค์หญิงสามนั้นมีนามอันไพเราะว่า ‘เหยา’ ซึ่งเดิมทีมีที่มามาจากต้นชีวิตแห่งวารี (水ซุ่ย命) ก่อนหน้านามแห่งวารีนี้มีคำว่า ‘หวัง (ราชัน王)’ อยู่ ย่อมต้องเป็นวารีที่ไม่ธรรมดา เป็นถึงวารีแห่งราชันเลยก็ว่าได้

วายุพฤกษา (ฟงหลิน风林) ก็ขัดแย้งกัน วารีเพลิงเองก็เช่นกัน เมื่อเพลิงธรรมดาอย่างท่านต้องมาพบกับวารีแห่งราชันคงจะไม่มีความสุขอย่างแน่นอน วารีที่ซัดโหมกระหน่ำจากทั้งสี่ทิศย่อมเป็นสิ่งที่เลวร้ายต่อท่านอย่างไม่ต้องสงสัย

หากว่าท่านหาญกล้าพอที่จะสู่ขอองค์หญิงสาม เกรงว่าคงไม่อาจไปจากจักรวรรดิเฟิงหมิงอย่างมีชีวิตรอดได้ ด้วยเหตุนี้ขอให้ท่านลองเก็บไปคิดดูให้ดีก่อน

หญิงสาวเปรียบเสมือนอาภรณ์ชุดหนึ่ง เพียงเพื่อให้ได้อาภรณ์ชิ้นเดียวนั้นมาถึงกับนำชีวิตของผู้คนทั้งจักรวรรดิไปแลก มันคุ้มค่าอย่างนั้นหรือ”

ในเวลานั้นเองซือเฟิง เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างก็พากันเปลี่ยนสีหน้าไปพร้อมกัน นี่ไม่ใช่เป็นการข่มขู่ชนชั้นองค์ชายอยู่หรอกหรือ?

หลักการของหลงเฉินนั้นทำให้พวกเขาเกิดอาการลังเลใจอยู่ไม่น้อย จะเชื่อหรือไม่เชื่อดี แต่ความเป็นเหตุและผลนั้นช่างลิ่นไหลและสอดคล้องกันมาเสียจนทำให้ผู้คนไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ลง

เซี่ยฉางเฟิงไม่สามารถที่จะยับยั้งอาการได้อีกต่อไป คำพูดของหลงเฉินทำให้เขาเกิดความขุ่นเคืองใจอย่างยิ่ง ยากที่จะทนรับการดูแคลนเช่นนั้นได้อีกต่อไป

“หลงเฉิน เจ้าบังอาจนัก กล้ากล่าววาจาเช่นนั้นต่อหน้าผู้คนมากมาย อีกทั้งยังใช้หลักการไร้สาระมากล่าวหาองค์ชายอีก เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่หรือไม่” ชายหนุ่มที่มีรอยบากตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

“สุนัขที่เลี้ยงไม่เชื่อง เจ้านายยังไม่ทันจะกล่าวอันใด เจ้าว่าอะไรนะ?” หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

หลงเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่อยู่บนร่างกายของชายที่มีรอยบาก อีกทั้งรังสีสังหารที่แผ่ออกมาอย่างมากมายมหาศาล ขนาดหลงเฉินเองยังรู้สึกได้ว่าความน่าหวาดหวั่นนั้นกำลังแทรกซึมไปจนถึงกระดูกดำ

จากความรู้สึกที่แผ่ไปรอบกายของหลงเฉินนั้นเป็นลางสังหรณ์ชั้นดีที่บอกว่าชายผู้นั้นต้องการจะบีบเค้นให้หลงเฉินลงมือ หลงเฉินย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน ทำได้แค่เพียงสอดสายตาจ้องมองกลับไปด้วยความไม่สบอารมณ์

“บังอาจ”

ชายหนุ่มที่มีรอยบากสบถออกมาด้วยความโมโห พลันยกหมัดมุ่งตรงไปทางหลงเฉินทันที

“หยุดมือ”

เซี่ยฉางเฟิงส่งเสียงขัดขึ้นมาเพื่อห้ามปรามปฏิกิริยาของชายหนุ่มที่มีรอยบาก ในเวลานี้ใบหน้าของเขาก็ได้กลับคืนสู่ความปกติแล้วเช่นกัน เขาหันมาหาหลงเฉินแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีอารมณ์ขันได้ถึงเพียงนี้ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จักกัน เรื่องที่เกิดขึ้นมาในวันนี้ค่อยพูดคุยกันใหม่ในวันข้างหน้านะ”

เมื่อกล่าวจบ เซี่ยฉางเฟิงเดินนำชายหนุ่มที่มีรอยบากออกไป เซี่ยปายฉือเองก็เช่นกัน แต่ทว่าเมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็ได้หันกลับมาจ้องหลงเฉินด้วยแววตาดุร้ายราวกับจะกัดกินเลือดเนื้อของเขาในคำเดียวอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากพวกเขาลงมาจนถึงชั้นล่าง ชายหนุ่มที่มีรอยบากก็ได้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน “ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะองค์ชายใหญ่รั้งเอาไว้ เจ้าคนผู้นั้นคงจะกลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้ว”

“หลงเฉินผู้นี้จะต้องตายอย่างแน่นอน เมื่อครู่นี้ข้าเกือบเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ เจ้าลูกเต่าผู้นั้นน่าเกลียดชังเสียจริง แต่ทว่าตอนนี้หลงเฉินนั้นยังมีประโยชน์อยู่ หากการตายของมันส่งผลกระทบต่อแผนการของพวกเราก็คงจะไม่ดี ปล่อยให้มันมีชีวิตต่อไปอีกสักหน่อยเถิด” เซี่ยฉางเฟิงพ่นลมหายใจออกมา

ช่างหนักหนาเสียเหลือเกินที่จะอดกลั้นความรู้สึกที่จะเข้าไปบีบคอหลงเฉินให้ตายคามือเอาไว้ ทั้งที่ตัวเองก็มีโทสะพุ่งพล่านจนไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้

“ท่านอาจารย์ได้ส่งข่าวมาว่าให้พวกเราแสร้งทำดีต่อเจ้าเฒ่าปีศาจหวินฉีก่อน ยอมพ่ายแพ้ให้หลงเฉินที่เป็นศิษย์ จากนั้นค่อยสังหารเขาทิ้ง เป็นทางที่ดีที่สุดที่ทำให้เฒ่าปีศาจนั้นแค้นใจจนตาย” เซี่ยปายฉือกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ชิ เจ้าเฒ่าโง่งมนั่น ไม่ว่าข้าจะอ้อนวอนขอเป็นศิษย์อย่างไรก็ยังคงทำเหมือนข้านั้นไร้ตัวตน กระนั้นปีศาจเฒ่าไม่กล้าที่จะรับข้าเอาไว้ ทำให้เสียเวลาได้ถึงเพียงนี้ น่าชังยิ่งนัก”

เซี่ยฉางเฟิงส่ายหน้าไปมาเมื่อมองไปที่ใบหน้าของน้องสาว พลันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “เมื่อตอนที่เจ้าอาวาสไต๋ซือให้เจ้าไปหาปรมาจารย์หวินฉี ข้ารู้สึกได้ว่าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”

เซี่ยปายฉือกล่าว “เพราะเหตุใด?”

เซี่ยฉางเฟิงส่ายหน้าไปมา และไม่ได้กล่าวอันใดออกมา ชายหนุ่มที่มีรอยบากก็ได้ถอนหายใจออกมาเช่นกัน “เพราะว่าองค์หญิงไม่ควรที่จะมีอารมณ์รุนแรงถึงเพียงนี้ได้”

“เปรี้ยง”

เซี่ยปายฉือตบเข้าไปที่ใบหน้าขององครักษ์ แต่ทว่าชายที่มีรอยบากกลับหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับท่วงท่าเช่นนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว

หลังจากที่เซี่ยฉางเฟิงและพรรคพวกได้จากไปแล้ว หลงเฉินและพวกพ้องต่างก็หมดอารมณ์ที่จะร่ำสุรากันต่อ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนกับถูกบีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อพบหนทางที่ยิ่งเข้าใกล้กับความจริง ตัวเขานั้นก็ยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นไปด้วย หากถึงช่วงเวลาที่ความจริงได้ถูกเปิดเผย แล้วเขายังมีพลังที่ไม่เพียงพอที่จะต่อกร ก็คงจะต้องตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย

ในตอนนี้เขายังมีพลังไม่เพียงพอที่จะสู้รบปรบมือกับกลุ่มคนเหล่านั้น จึงจำเป็นที่จะต้องยืดเวลาเวลาในการฝึกยุทธ์เอาไว้ให้ยาวนานที่สุด พลังฝีมือในทุกระดับขั้นคือโอกาสรอด

แต่หลงเฉินกลับว้าวุ่นใจเกี่ยวกับเรื่องของฉู่เหยาเสียมากกว่า ความแข็งแกร่งของเขาจะช่วยให้ฉู่เหยาสามารถคลี่คลายเรื่องราวเหล่านี้ไปได้

“ขอเรียนถามว่าท่านใช่หลงเฉินหรือไม่?”

ทันใดนั้นเองก็ได้มีชายหนุ่มวัยกลางคน ผู้ที่มีใบหน้ากระจ่างใสปรากฏกายขึ้นมายังเบื้องหน้าของ เขาประสานมือและโค้งคารวะอย่างสุภาพ  . . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset