เพียงชั่วครู่เดียวที่หลงเฉินคว้าจับไปที่มืออันขาวผ่องนั้นไว้ ร่างกายอันแสนจะบอบบางของฉู่เหยาก็เริ่มสั่นไหวไปทั่ว ใบหน้าแดงระเรื่อไปจนถึงใบหูทั้งสองข้าง
ดวงตาคู่งามกลับกรอกไปมาอย่างฉงนสงสัย เห็นได้ชัดว่ามีความว้าวุ่นเกิดขึ้นมาภายในใจอยู่ไม่น้อย แม้จะรู้สึกเช่นนั้นแต่ก็ไม่ได้ชักมือกลับแต่อย่างใด เพียงส่งสายตามองไปยังหลงเฉินที่อยู่เบื้องหน้า
หลงเฉินเองก็จ้องมองไปยังใบหน้าที่กำลังเขินอายจนแดงก่ำของฉู่เหยา ความงดงามนั้นประดุจดอกไม้แรกแย้มที่กำลังเบ่งบาน ดั่งสายน้ำที่กระจ่างใสในฤดูใบไม้ร่วง เขาจึงไม่อาจที่จะหยุดยั้งดวงใจที่เต้นระรัวจนแทบจะหยุดหายใจขึ้นมาในทันที บัดนี้ก็ได้ลืมเลือนไปแล้วว่าตนเองกำลังจะทำอะไร
“อืม”
เมื่อได้สติกลับคืนมาและพบว่าหลงเฉินเอาแต่จ้องมองมาที่ตน ฉู่เหยาก็ยิ่งมีใบหน้าที่แดงซ่านยิ่งกว่าเดิม นางจึงส่งเสียงแทรกขึ้นมาเบาๆ พลันก็ลดใบหน้าให้มองต่ำลง ไม่อาจสบสายตาคู่คมของหลงเฉินได้อีกต่อไป ความอบอุ่นที่ฝ่ามือทำให้จิตใจของนางคล้ายเด็กทารกอย่างไรอย่างนั้น
หลงเฉินถอนหายใจออกมาอย่างแรงหลังจากที่ตั้งสติได้ ร่างกายของฉู่เหยาเป็นสิ่งที่คล้ายกับรูปปั้นทางศิลปะที่แข็งกระด่าง แต่ยังสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลและอบอุ่นอยู่ เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันแต่เข้ากันได้อย่างดีในตัวของหญิงสาวผู้นี้
ต่อมาหลงเฉินก็ได้ใช้พลังปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของฉู่เหยาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ความนุ่มนวลนั้นได้ไหลเวียนประดุจสายน้ำอยู่บนใบหน้าที่เขินอายอยู่ของนาง ให้ความรู้สึกหวั่นไหวได้อย่างง่ายดายแม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งก็ยังต้องสยบ
“เสียมารยาท”
เมื่อหลงเฉินสงบสติอารมณ์ที่นอกเรื่องไปจนนิ่งลง เขาได้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณสัมผัสเข้าไปจนถึงเส้นลมปราณที่อยู่ภายในฝ่ามือ จากนั้นก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปภายในจุดตันเถียนของฉู่เหยา
เดิมทีนั้นการใช้พลังแห่งจิตวิญญาณของเขาในระยะห่างที่ใกล้ถึงเพียงนี้ ก็จะสามารถทำการตรวจสอบทุกอย่างภายในร่างกายของอีกฝ่ายได้ในทันที
แต่ว่าหากทำเช่นนั้น ฉู่เหยาก็อาจจำเป็นที่จะต้องเปลื้องอาภรณ์ออกต่อหน้าหลงเฉิน ถึงแม้ว่าหลงเฉินต้องการที่จะทำเช่นนั้น แต่เกรงว่าหลังจากนี้เขาคงจะตกอยู่ในร่างแหใหญ่อีกครั้งอย่างแน่นอน
หลงเฉินค่อยๆ ไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณลึกเข้าไปยังจุดตันเถียนของฉู่เหยา ตรวจสอบสภาพภายในของจุดตันเถียน ถึงกับทำให้ผู้ที่มีจิตใจอย่างแน่วแน่อย่างหลงเฉินถึงกับทอสีหน้าปั้นยากออกมา
“เป็นอะไรไป?” ฉู่เหยาถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าที่กังวลของหลงเฉิน แววตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด นางจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงความเป็นห่วงขึ้นมา
ที่ทำให้หลงเฉินคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด นั่นก็เป็นเพราะว่าภายในจุดตันเถียนของฉู่เหยาได้มีพลังลมปราณอันแสนประหลาดทั้งหมดเก้าสายกำลังถูกผนึกตายเอาไว้อยู่
พลังลมปราณทั้งเก้าชนิดนั้นคล้ายกับผืนแผ่นดินที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่งอันอุดมไปด้วยเหล่าต้นกล้าทั้งหมดเก้าชนิด จนทำให้เกิดความละโมบที่จะดูดซับพลังลมปราณของฉู่เหยาเอาไว้
ไม่แปลกใจเลยที่พลังลมปราณของฉู่เหยานั้นทั้งวุ่นวาย ทั้งมีขนาดเล็กถึงเพียงนี้ แท้จริงแล้วนางก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับหลงเฉินที่ถูกผู้อื่นกระทำมาก่อน
ภายในจุดตันเถียนของฉู่เหยาได้มีพลังอันหนาแน่นอย่างถึงที่สุดถูกปิดกั้นเอาไว้ สิ่งนั้นก็คือรากปราณ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจในระดับของนาง แต่ก็พอจะทราบว่าฉู่เหยานั้นจะต้องเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพรสวรรค์ที่ยากจะพบเจอในรอบพันปีมานี้ แม้จะมีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ แต่กลับถูกทำให้เหมือนกับพิการ ช่างเลวร้ายเสียจริง
เพราะว่าหลงเฉินพบว่าด้วยพลังปราณทั้งเก้าสายนี้ แม้แต่เส้นหยูเกิน (เส้นพรหมจรรย์) ของฉู่เหยานั้นจำเป็นที่จะต้องให้นางแต่งกับผู้อื่นหรือไม่ก็ทำลายเส้นนี้ไป ซึ่งไม่ต่างไปจากเส้นลมปราณภายในร่างกายของเขาที่ถูกช่วงชิงไปเมื่อหลายปีก่อน
น่าสงสารยิ่งนัก ผู้ที่เป็นถึงองค์หญิงที่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ กลับถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งได้
หลงเฉินจ้องมองไปที่ฉู่เหยาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบเรื่องราวที่ผ่านมาของนางมากนัก แต่หลงเฉินก็อดสงสารนางขึ้นมาไม่ได้ที่จะต้องเกิดมาโดยที่แบกรับความรู้สึกเช่นเดียวกับเขาอยู่
“หลงเฉิน เจ้าเป็นอะไรไป?” ฉู่เหยาถามอีกครั้ง
“ฉู่เหยา ข้าเชื่อใจเจ้าได้หรือไม่?” หลงเฉินลังเลขึ้นมาเล็กน้อยก่อนที่จะถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
เมื่อพบว่าจู่จู่หลงเฉินก็มีน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉู่เหยาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่ทว่ากลับไม่ได้เกิดความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย ดวงตาคู่งามมองกลับด้วยแววตาลึกซึ้ง แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าเป็นคนที่ข้าเชื่อใจที่สุดแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฉู่เหยา หลงเฉินก็เกิดความรู้อิ่มเอมใจขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “จุดตันเถียนของเจ้าได้ถูกผู้อื่นกระทำการบางอย่างมาก่อน”
หลงเฉินประหลาดใจถึงที่สุดเมื่อพบว่าฉู่เหยาไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาแต่อย่างใด มีเพียงแววตาจากดวงตาคู่งามนั้นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดและความหดหู่ขึ้นมาเป็นสาย
บัดนี้สายตาของฉู่เหยาไปมองเหม่ออกไปยังทิศทางอื่น มืออันขาวผ่องยกขึ้นลูบไล้ไปตามสายลมที่พัดโชยเข้ามา ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ที่เจ้าเปิดเผยความลับเช่นนี้ออกมา อาจจะทำให้คนในจวนของเจ้าต้องลำบากได้ เจ้าไม่กลัวอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าทราบอยู่แล้วหรือ?”
“เจ้าจะสามารถตอบคำถามของข้าได้หรือไม่?” ฉู่เหยามองไปที่ดวงตาของหลงเฉินในเชิงถาม
หลงเฉินยิ้มอย่างขมขืน แล้วส่ายหัวไปมา “ในเมื่อพวกเราต่างก็เชื่อใจในกันและกัน ต่อให้ต้องทิ้งชีวิตไปก็ยังถือว่าคุ้มค่า”
“เชื่อใจ? เชื่อใจ?”
ฉู่เหยาส่งเสียงอู่อี้พลางครุ่นคิดถึงความหมายของวลีนี้ นางได้หวนกลับไปนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเอ่ยขึ้นมาของหลงเฉิน จนไม่อาจปกปิดน้ำเสียงร่ำไห้ที่กำลังดังออกอย่างเจ็บปวด หยาดน้ำตารินไหลอาบแก้ม ราวกับเรื่องราวเลวร้ายที่ผ่านมาได้ถูกพัดผ่านหายไปกับสายลมอย่างไรอย่างนั้น
แม้หลงเฉินจะยังคงรู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจจะเอ่ยถามสิ่งใดออกไปได้อีก เมื่อบัดนี้ใบหน้าของฉู่เหยาเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา พลันความโศกเศร้าก็ได้ปรากฏขึ้นมาภายในจิตใจของเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อเทียบกับฉู่เหยาแล้วนั้นหลงเฉินยังดูน่าอเนจอนาถเสียยิ่งกว่า สูญเสียทั้งเส้นลมปราณ ปราณกระดูก และปราณโลหิต ถ้าหากว่าเขาไม่ได้รวมเข้ากับจิตวิญญาณของจักรพรรดิโอสถก็คงจะต้องทนทุกข์ไปอีกมากมายจนไม่อาจคาดเดาได้
มือใหญ่ทั้งสองข้างไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป หลงเฉินโอบเข้าไปที่เอวของฉู่เหยาในทันที จมูกได้กลิ่นหอมจากร่างบางของหญิงสาวผู้นั้นจนทำให้ยิ่งกอดรัดแน่นขึ้นไปอีก ราวกับว่าทั่วทั้งหล้ามีแค่พวกเขาเพียงสองคนเท่านั้น
ความเศร้าโศกเสียใจเกิดขึ้นอยู่นานพอควร จนในที่สุดฉู่เหยาก็ได้หยุดร้องไห้ หลงเหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้นเท่านั้น เบื้องหน้าของหน้าคือหน้าอกของหลงเฉินที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาอยู่มากมาย
ทันใดนั้นเองใบหน้าของฉู่เหยาก็ได้เกิดสีแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง นางรีบผละออกจากอ้อมกอดของหลงเฉิน แล้วหันหน้าหนีไปยังทิศทางอื่นเพื่อปกปิดใบหน้าที่กำลังดีใจจนออกนอกหน้าอย่างเกินงาม
“แค่กแค่ก”
หลงเฉินกระแอมออกมาอย่างกระอักกระอ่วน แล้วถามออกไปเพื่อกลบเกลื่อนสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ “ฉู่เหยา เจ้าทราบตั้งแต่เมื่อใดว่าจุดตันเถียนของเจ้าถูกอื่นกระทำการบางอย่างมาก่อน?”
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้มาจากหลงเฉิน ใบหน้าของฉู่เหยาก็ได้กลับคืนสู่อาการปกติอย่างช้าๆ มองไปที่หลงเฉินแล้วกล่าว “ในช่วงที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ที่พระบิดายังไม่ได้เก็บตัว พระบิดาได้บอกว่าข้านั้นเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในวิทยายุทธ์แห่งยุค อีกทั้งยังนับเป็นการปรากฏขึ้นมาครั้งแรกของจักรวรรดิ
ก่อนหน้าที่พระบิดาจะเก็บตัว เขามักจะให้กำลังใจข้าอยู่เสมอว่าให้ข้าตั้งใจฝึกฝน เพราะในช่วงที่เริ่มต้นนั้นข้ามักจะพบกับความยากลำบากอยู่เสมอ
แต่เมื่อข้าอายุได้สิบปี พระมารดาได้ล้มป่วยด้วยโรคประหลาดอย่างกะทันหัน ยังไม่ทันที่จะเชิญปรมาจารย์หวินฉีมารักษา นางก็ได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว”
เมื่อกล่าวมาจนถึงท่อนหลัง ฉู่เหยาก็หยุดไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่งามมีน้ำตาคลออยู่ การนึกถึงความทรงจำที่แสนโหดร้ายมักทำร้ายจิตใจของผู้ที่เล่าเสมอ
“เมื่อข้าและน้องชายของข้าเริ่มเติมโตขึ้นมา ก็เริ่มรับรู้เรื่องราวมากมายภายในตำหนักขึ้นมาอย่างกระจ่างแจ้ง ได้ยินเรื่องเหล่านั้นมานับครั้งไม่ถ้วนจนชินหู พบเจอสิ่งที่เลวร้ายอย่างชินตา ในตอนนั้นเองข้าจึงได้ค้นหาสาเหตุการตายของพระมารดา แล้วก็พบได้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แต่ว่าหลักฐานทั้งหมดที่สามารถนำมาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่างก็ถูกทำลายและสูญหายไปตั้งแต่ต้น ข้าค้นหาเรื่องเมื่อห้าปีก่อนด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ตั้งแต่นั้นมาพลังยุทธ์ของข้านั้นก็ได้หยุดนิ่ง ไร้ซึ่งความก้าวหน้า ไม่ว่าข้าจะมานะมากเพียงใดก็ไม่อาจที่จะก้าวข้ามต่อไปได้ อีกทั้งลมปราณก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ
ในช่วงเวลานั้นข้าก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาว่าจะต้องมีมืออันชั่วร้ายทำให้มารดาของข้าสิ้นชีพ และหันเป้าหมายมาที่ข้าและน้องชายของข้า
นั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาข้าจึงให้น้องชายของข้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มใช้อำนาจบาตรใหญ่ ให้มีนิสัยมุทะลุ จากวันนั้นชีวิตของพวกเราจึงกลับคืนสู่สภาพชีวิตดังเช่นผู้คนปกติได้”
เมื่อได้ฟังฉู่เหยาเล่ามาจนถึงตรงนี้ หลงเฉินก็ไม่อาจจะกล่าวสิ่งใดออกมา ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตอยู่ภายในราชวังหลวงนั้นแสนลำบากเสียยิ่งกว่าที่เขาได้คาดคิดเอาไว้
“เจ้าได้ใช้วิธีเช่นนี้เพื่อปกป้องน้องชายของเจ้าอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินถอนหายใจออกมาในที่สุด
ฉู่เหยาพยักหน้าไปมา “ขณะนี้ในครอบครัวของข้าเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ข้าไม่อาจให้เรื่องราวอันใดเกิดขึ้นกับเขาแม้เพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะมีแต่ผู้คนชิงชังที่เขาเป็นอยู่เช่นนี้ แต่อย่างน้อยก็คงไม่มีผู้ใดมากลั่นแกล้งเขาได้ ฉะนั้นเขาก็จะอยู่อย่างปลอดภัย
ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับจุดตันเถียนของข้า ทราบเพียงแต่ว่าพวกเขาอาจจะเกรงกลัวว่าข้าจะกลายเป็นผู้ที่คุกคามพวกเขาได้ จึงทำการปิดกั้นเส้นทางการฝึกยุทธ์ของข้าเอาไว้
ขอเพียงแค่ข้าไม่มีใจที่จะฝึกยุทธ์ เช่นนั้นก็คงจะไม่มีผู้ใดมาสนใจหญิงสาวที่อ่อนแอเช่นนี้ ชีวิตของพวกเราสองพี่น้องก็จะได้อยู่รอดปลอดภัย”
หลงเฉินถอนหายใจออกมาอีกเฮือกหนึ่ง “น่าเสียดาย เจ้านั้นดูถูกศัตรูผู้ที่ลงมืออย่างโหดเ**้ยมไปแล้ว พวกเขาย่อมต้องเป็นกลุ่มคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
หลังจากนั้นหลงเฉินจึงเริ่มเล่าถึงสภาพภายในร่างกายและจุดตันเถียนของนาง เมื่อฉู่เหยาฟังจบก็ทอแววตาโกรธแค้นชิงชังขึ้นมา สีหน้าซีดเผือดอย่างไร้วิญญาณ ไร้ซึ่งท่าทีที่มีเสน่ห์ของก่อนหน้านี้
หลงเฉินใช้มือใหญ่ข้างหนึ่งกดเข้าไปที่เส้นชีพจรของฉู่เหยาอย่างกระชับแล้วกล่าวว่า “แต่เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลจนเกินไป โปรดให้เวลาแก่ข้าเสียหน่อย ข้าจะปลดผนึกในร่างกายของเจ้าให้เอง”
“จริงหรือ?” ฉู่เหยาโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ
“จริงเสียยิ่งกว่าจริง” หลงเฉินให้คำสัตย์อย่างหนักแน่น
เมื่อฉู่เหยามองไปที่รอยยิ้มของหลงเฉิน ก็เกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม เป็นความรู้สึกที่ยากจะสัมผัสได้ตั้งแต่เกิดมา
หลงเฉินสามารถทำให้นางรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ ต่างจากความรู้สึกที่ได้อยู่ในพระราชวังที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดี สิ่งที่ได้รับจากหลงเฉินเป็นความรู้สึกที่จำเป็นอย่างมากกับนางในตอนนี้
ทางหลงเฉินเองเมื่อเห็นว่าฉู่เหยาไม่ได้สงสัยอะไรในวาจาของตนแล้ว ภายในจิตใจของเขาจึงได้นิ่งสงบลง คล้ายกับได้ยกความรู้สึกที่หนักอึ้งออกไปจนหมดสิ้น
“วีรสตรีฉู่เหยาพอที่จะสั่งสอนทักษะของเจ้าให้ข้าดูอีกสักหลายกระบวนท่าได้หรือไม่ เด็กน้อยผู้นี้จะตั้งอกตั้งใจเล่าเรียนอย่างถึงที่สุด” หลงเฉินกล่าวออกมาเมื่อรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มที่จะอึดอัดมากจนเกินไป
“น่าเกลียด นี่เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่ใช่หรือไม่” ฉู่เหยามีสีหน้าที่แดงก่ำลดลง พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแง่งอน
“ย่อมไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน ฉู่เหยา…เจ้านั้นเปี่ยมไปด้วยพื้นฐานของพลังที่ไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่าจุดตันเถียนนั้นไม่สามารถที่จะปะทุพลังออกมาได้ แต่ได้โปรดไว้วางใจข้า ให้ข้าช่วยเจ้าจัดการปลดผนึกของมันให้เอง” หลงเฉินปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
ความรู้สึกอบอุ่นในใจเกิดขึ้นมานับไม่ถ้วนตั้งแต่ที่ได้พบเจอกับหลงเฉิน น้ำเสียงที่จริงจังและจริงใจนั้นจึงขอตอบแทนด้วยการแสดงกระบวนท่าทักษะยุทธ์ระดับมนุษย์ชั้นสูงออกมาชนิดหนึ่ง——หมัดทลายวายุ
ในครั้งนี้หลงเฉินพยายามมองดูกระบวนท่าอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากที่ดูจบแล้วก็เกิดความประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าพลังลมปราณของฉู่เหยาจะถูกขุมพลังทั้งเก้าสายปิดกั้นลมปราณเอาไว้อย่างมิดชิด จนแทบจะไม่อาจแสดงพลังออกมาได้ถึงหนึ่งในสิบ
แต่ว่าเพียงแค่การหยิบยืมพลังลมปราณเพียงเล็กน้อย ในเวลานี้ระดับพลังการต่อสู้ของฉู่เหยากลับเหมือนไม่ได้ใช้พลังลมปราณเลยแม้แต่น้อย
หลงเฉินพบว่าการควบคุมสภาวะพลังลมปราณบนฝ่ามือของฉู่เหยานั้นจัดอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างมาก หากเทียบกับยอดฝีมือพลังยุทธ์ก่อโลหิตแล้วถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่าหลายเท่านัก
ภายในใจของฉู่เหยาเกิดความชื่นชมต่อหลงเฉินอยู่ไม่น้อยเลย ปรากฏสีแดงก่ำขึ้นมาบนใบหน้าตลอดมาดั่งบุปผาแรกแย้มในเดือนสาม ความงดงามที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้
หลงเฉินเกิดความเป็นห่วงขึ้นมาภายในใจเกี่ยวกับพลังลมปราณทั้งเก้าสายที่ดูดซึมพลังภายในจุดตันเถียนของฉู่เหยามานานหลายปีจนทำให้เกิดความแข็งแกร่งขึ้นมาถึงเพียงนี้
หากคิดที่จะทลายออกแล้วเบิกมันออกมาก็น่าเสียได้อย่างยิ่ง เพราะสิ่งนั้นสามารถทำให้ฉู่เหยาเข้าสู่ระดับพลังขั้นก่อโลหิตได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถใช้ฝึกยุทธ์เพิ่มขึ้นได้อีก
หลังจากที่หลงเฉินได้เรียนรู้หมัดทลายวายุแล้ว เขาก็ได้ล้วงเอาขวดโอสถเหลวออกมาขวดหนึ่ง “ของเหลวนี้ใช้ง่ายอย่างยิ่ง เพียงนำมันพอกบนใบหน้าก็สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตาได้จนถึงสิบสองชั่วยาม แสนสะดวกอย่างยิ่ง”
เมื่อหลงเฉินกล่าวจบ เขาก็ได้เทโอสถนั้นออกมาหลายหยดแล้วก็ลูบฝ่ามือไปมา จากนั้นก็ชโลมไปที่ใบหน้าของเขา เพียงครู่เดียวเท่านั้นเขาก็มีขนคิ้วที่หนาดกดำและผิวพรรณคล้ำขึ้น กลายเป็นคนอื่นไปอย่างสิ้นเชิง
ฉู่เหยายินดีขึ้นมายกใหญ่ “หลังจากนี้ข้าก็จะสามารถเจอกับเจ้าได้ง่ายขึ้นแล้ว”
ทันทีที่กล่าวจบฉู่เหยาก็ได้นำโอสถเหลวชโลมไปทั่วใบหน้าเช่นกัน เมื่อโอสถเหลวได้เข้าไปใกล้ผิวหน้าก็เริ่มก่อตัวเป็นชั้นผิวหนังอีกชั้นหนึ่งที่สามารถควบคุมรูปร่างของมันได้ เพียงแค่อึดใจเดียวการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็ได้หยุดลง ปรากฏเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่เหยามองเข้าไปยังกระจกเงาพบกับใบหน้าของหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง จนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
กระชับตัวเข้าไปที่แขนของหลงเฉิน แล้วกล่าวออกมาด้วยอาการดีอกดีใจ “หลงเฉิน พวกเราไปเดินเล่นกันเถิด ตั้งแต่ที่ข้าเติบใหญ่มาจนป่านนี้ยังไม่เคยได้เดินเล่นตามท้องถนนเลย”
ฉู่เหยาเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่แม้จะแสดงนิสัย“ป่าเถื่อน” ต่อหน้าผู้คน แต่กลับไม่เคยเปิดเผยนิสัยแท้จริงออกไป ไม่อาจที่จะที่ทำตัวเหมือนกับสามัญชนคนธรรมดาได้อย่างอิสรเสรี แต่วันนี้หลงเฉินได้หยิบยื่นโอกาสดีเช่นนี้แก่นาง นางย่อมไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน
ฉู่เหยาคล้องไปที่แขนของหลงเฉิน ดวงตาของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเหลือล้น ท่าทางเช่นนี้ทำให้หลงเฉินใจเต้นระรัวจนแทบจะกระโดดออกจากอกอย่างไรอย่างนั้น เขาได้ตอบรับออกไปอย่างเต็มใจ
หลังจากตบปากรับคำไป หลงเฉินก็เริ่มเกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เขาประเมินความหมายของการเดินเล่นของฉู่เหยาต่ำเสียจนเกินไป
นางพาเขาเดินไปทั่วทั้งจักรวรรดิอยู่รอบหนึ่ง ไม่ว่าจะมองไปที่ใดก็สะดุดสายตาคู่งามนั้นไปเสียหมด ฉุดกระชากลากดึงแขนของหลงเฉินเข้าที่นั่นทีออกที่นั่นที่
กลิ่นหอมที่ประทับไว้บนร่างกายของฉู่เหยานั้นเป็นกลิ่นที่เฉพาะตัว สามารถสัมผัสความรู้สึกบางอย่างที่ถูกส่งผ่านมาจากมืออันขาวผ่องที่กำลังไกวแกว่งไปมา ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็ได้หยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันแล้วชักมือฉู่เหยาไปยังแผงลอยเล็กๆ แผงหนึ่ง
หลงเฉินแสร้งทำเป็นซื้อของบนแผงลอย แต่สายตากลับมองลอดออกไปอีกทิศทางหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งอยู่ในที่ที่ห่างออกไปไม่มาก หลงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยเพื่อให้เห็นได้ชัดเจน
“เซี่ยฉางเฟิง?” . . . .