เมื่อหลงเฉินเปิดม้วนหนังปีศาจออก ภายในนั้นเผยให้เห็นจุดสีแดงทั้งเก้าจุด หลงเฉินเริ่มเข้าสู่ห้วงแห่งความคิดอีกครั้งเพื่อพิจารณาจุดทั้งเก้าที่ได้ถูกจัดวางอย่างไร้ระเบียบ
อีกทั้งยังไม่มีเครื่องหมายอื่นใดแสดงให้เห็น หลงเฉินกวาดสายตามองเข้าไปอย่างละเอียดในระหว่างจุดทั้งเก้านั้น เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าจะต้องมีการเชื่อมต่อบางอย่างที่ยังไม่อาจทราบได้
“นี่สมควรที่จะเป็นตำแหน่งที่ตั้งทั้งเก้าจุด”
หลงเฉินครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่จึงค่อยได้คำตอบออกมา เขาวาดภาพของจุดต่างๆ บนร่างกายมากมายขึ้นในสมองผนวกเข้ากับการจดจำที่ยอดเยี่ยมของจุดทั้งเก้า จนในที่สุดก็พอที่จะแน่ใจขึ้นมาบางอย่าง หากเป็นผู้อื่นต่อให้ต้องตายไปก็คงคิดไม่ออกอยู่ดี
“หรูหลี่เหยา (入离耀หลุดจากทางสว่าง) หรงฮุ่ยหมิง (融慧明ถลำเข้าสู่ความกระจ่าง)……ชงชวีฉือ (冲曲池สู่แอ่งอันคดเคี้ยว) เข้าสู่จุดเล่ากง (劳宫จุดใจกลางฝ่ามือ) อย่างนั้นหรือ?”
*(劳宫) จุดใจกลางฝ่ามือ โดยใช้หลักบนเส้นบนฝ่ามือ เส้นที่เวลางอนิ้วแล้วชนพอดี
หลงเฉินทบทวนถึงตำแหน่งของจุดทั้งเก้าขึ้นมาช้าๆ ซึ่งคาดเดาได้ว่าน่าจะมีเส้นเชื่อมต่อที่แน่นอน เขาฉงนสงสัยขึ้นมาไม่น้อย “นี่ไม่ใช่เพลิงหมัด เพียงแต่เป็นทักษะยุทธ์เชิงยุทโธปกรณ์”
“ถือเป็นพลังฝีมือชั้นสูงได้เลยทีเดียว”
หลงเฉินวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้ไหลเวียนลมปราณไปตามตำแหน่งของจุดทั้งเก้าดั่งแม่น้ำสายยาวที่ไหลเชี่ยว ผนวกเข้ากับตำแหน่งที่เพิ่มหนักแน่นทั้งเก้า จึงค่อยได้ล้วงลึกออกมาได้ จึงจะสามารถที่จะแสดงพลังอันน่าหวาดกลัวขึ้นมาได้
ฮาฮา มีสมบัติอันล้ำค่าอยู่ในมือแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ทราบว่าจัดเป็นทักษะยุทธ์ในระดับใด แต่ก็คงไม่ได้ด้อยไปเสียทีเดียว หลงเฉินเกิดอาการดีใจขึ้นมาอย่างลิงโลด
เมื่อคิดขึ้นมาได้เช่นนั้นเขาก็ได้พยายามสงบจิตสงบใจลง เขาได้เริ่มไหลเวียนลมปราณที่จุดตันเถียนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาเลือกจุดหรูหลี่เหยาเป็นตำแหน่งที่สองเมื่อลมปราณไหลเข้าสู่ตำแหน่งนี้กลับไม่ได้ปรากฏสิ่งใดขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
“หือ?”
หลงเฉินรู้สึกงงงันขึ้นมาในทันที เกรงว่าเคล็ดวิชาอันน่ากลัวเช่นนี้คงจะต้องมีความสามารถพื้นฐานที่สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง หากว่าพลังปราณไม่เพียงพอก็คงไม่อาจที่จะใช้มันได้
จากนั้นก็ได้ล้มเลิกที่จะใช้ลมปราณจากจุดตันเถียนแต่เปลี่ยนไปใช้ลมปราณที่อยู่ภายในจุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าแทนลมปราณภายในจุดดารากักวายุนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยระดับพลังที่มหาศาลและทรงอานุภาพเสียยิ่งกว่าจุดตันเถียนหลายเท่าตัว.
แต่ว่าในช่วงเวลาที่ได้ไหลเวียนพลังไปถึงตำแหน่งที่สี่นั้นกลับถูกสกัดกั้นเอาไว้ไม่ให้ไปต่อ ไม่ว่าหลงเฉินจะพยายามเช่นไรก็ไม่อาจที่จะทะลวงเข้าสู่ตำแหน่งถัดไปได้
“ข้าไม่เชื่อหรอก”
หลงเฉินกัดฟันแล้วรีดเค้นลมปราณภายในจุดดารากักวายุออกมาเป็นสาย หลอมรวมเข้ากับลมปราณภายในจุดตันเถียนทันใดนั้นลมปราณภายในจุดตันเถียนก็เกิดปะทุขึ้นมาด้วยพลังที่รุนแรงอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อสามารถควบคมพลังอันมหาศาลกลุ่มนี้ได้แล้ว เขาก็ได้ไหลเวียนลมปราณทะลวงสู่ตำแหน่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว
“ตำแหน่งที่หก”
“ตำแหน่งที่เจ็ด”
“ตำแหน่งที่แปด”
“แย่แล้ว……”
หลงเฉินเกิดอาการตกใจเล็กน้อยแล้วรีบคืนพลังลมปราณของตนเองกลับมาทันทีขณะที่กำลังไหลเวียนพลังเข้าใกล้จุดเส้นลมปราณชิงม่าย
ที่ต้องหยุดลงอย่างทันควันนั้นก็เพราะพบว่าด้านบนของจุดเส้นลมปราณชิงม่ายไม่อาจที่จะทนต่อกลุ่มพลังอันมหาศาลกลุ่มนี้ได้จึงเกิดเป็นรอยร้าวแขนงหนึ่ง หากหลงเฉินรั้งพลังกลับคืนมาช้ากว่านี้เพียงเสี้ยวหนึ่งคงจะต้องทำให้จุดเส้นลมปราณชิงม่ายนั้นระเบิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
หากจุดเส้นลมปราณชิงม่ายนั้นเกิดแตกขึ้นมา จำเป็นที่จะต้องใช้เวลาพักรักษาตัวเป็นเวลายาวนานอย่างยิ่งกว่าจะฟื้นฟูให้กลับคืนมาเหมือนเก่า หลงเฉินจึงได้แต่ปาดเหงื่อที่พรั่งพรูออกมาอย่างใจหายใจคว่ำ
“ไม่ไหว คงยังไม่ถึงช่วงเวลาอันเหมาะสมที่จะให้ข้าฝึกยุทธ์นี้”หลงเฉินจะใจที่จะต้องล้มเลิกการฝึกยุทธ์เบิกสวรรค์ได้ครั้งนี้
จากนั้นเขาได้นำโอสถรักษาเส้นลมปราณหนึ่งเม็ดออกมาแล้วกลืนลงคอไปอย่างรวดเร็ว การฟื้นฟูจุดเส้นลมปราณชิงม่ายที่เสียหายไปก็เริ่มเกิดขึ้นอย่างช้าๆเมื่อรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นแล้วหลงเฉินก็ประคองตัวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังประตูห้อง
เขาผลักประตูออกไป อากาศอันบริสุทธิ์จากภายนอกได้พัดผ่านมากระทบกับร่างของเขาหลงเฉินสูดอากาศนั้นเข้าไปเต็มปอดช่วยลดทอนอาการเหนื่อยล้าจากหลายวันอันหนักหน่วงที่ผ่านมาได้ไม่น้อย
แสงจากดวงอาทิตย์ก็ได้ส่องสว่างขึ้นมาจากทิศตะวันออก หลงเฉินเรียกหาเป่าเอ๋อเพื่อถามเรื่องรายมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ก็ได้ทราบว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติสุขอยู่ทางด้านของอาหมานนั้นก็กินอิ่มหนำสำราญและไม่ได้ก่อปัญหาใดใด
จากนั้นหลงเฉินก็ได้ครุ่นคิดบางอย่างอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ บัดนี้เขาได้ทำการตระเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะไปยังชุมนุมผู้หลอมโอสถ มุ่งหมายที่จะไปขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์หวินฉีเสียหน่อย
ทว่าภายในใจของหลงเฉินก็เกิดความกังวลขึ้นมาอยู่ไม่น้อยทีเดียว โดยส่วนมากแล้วผู้หลอมโอสถต่างก็มุ่งเน้นไปที่การฝึกพลังปราณมากกว่าการฝึกทักษะยุทธ์ แต่การที่จะกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้ทั้งหมดก็ยังคงเป็นความหวังที่จะเดินทางในสายโอสถได้ไกลมากยิ่งขึ้น
ผู้หลอมโอสถนั้นต่างก็เหย่อหยิ่งทระนงตนเป็นอย่างมากอยู่เกือบทุกคนจึงมักจะไม่เห็นถึงความสำคัญของการฝึกยุทธ์เสียเท่าใดนัก แม้ปรมาจารย์หวินฉีจะได้ตักเตือนถึงความข้อนี้ต่อหลงเฉินมาก่อนก็ตาม
แต่ว่าหลงเฉินก็ไม่อาจที่จะยึดความคิดเป็นของตนเองเป็นสำคัญ เขาเคยถูกกลั่นแกล้งจากผู้อื่นมาเนิ่นนานแล้ว ไม่มีความแข็งแกร่งในของวิทยายุทธ์จึงทำให้เขารู้สึกอ่อนแอและไม่ปลอดภัย
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด อยู่ในตำแหน่งที่สูงศักดิ์เพียงใด สำหรับหลงเฉินแล้วต่างก็เป็นเพียงความว่างเปล่าที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น ก่อนที่เขาจะมีพลังฝีมือถึงเพียงนี้ก็เปรียบเสมือนกับกระดาษบางที่พร้อมจะถูกฉีกได้ทุกเวลา
ทว่าหลงเฉินนั้นก็ไม่อาจทราบได้ว่าปรมาจารย์หวินฉีจะสามารถช่วยเขาได้หรือไม่
“หลงเฉิน”
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เท้าก็ก้าวเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางบนถนนมุ่งสู่ชุมนุมผุ้หลอมโอสถ ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงคุ้นหูเรียกขานชื่อของเขาจนต้องหยุดเดินต่อ ในขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นก็พบกับรถลากคันหนึ่งหยุดนิ่งอยู่ในที่ที่ห่างไกลออกไป
ด้านบนรถลากมีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่ มืออันขาวผ่องได้เลิกม่านขึ้น เผยให้เห็นใบหน้างดงามที่กำลังยิ้มแย้มอยู่กำลังจ้องมองมาที่หลงเฉิน นี่เป็นการบังเอิญเจอกันอีกครั้งของชายหญิงคู่นี้
“ฉู่เหยา”
หลงเฉินตกใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อภาพเบื้องหน้านั้นคือฉู่เหยา แต่ทว่าพอได้สบสายตากับนางแล้ว มันทำให้จิตใจของเขาสงบนิ่งลงจากเดิมที่กำลังครุ่นคิดอย่างว้าวุ่น
ฉู่เหยามองเลิกลักไปรอบด้านก็พบว่าในยามเช้าตรู่เช่นนี้ไร้ซึ่งผู้คนสัญจรทั้งซ้ายขวา จึงได้กวักมือเรียกหลงเฉินอย่างรีบร้อน “รีบขึ้นมาเร็ว”
หลงเฉินคิดไม่ถึงว่าจะถูกเชื้อเชิญให้ขึ้นรถของฉู่เหยา เขาพบว่าบนใบหน้าของฉู่เหยานั้นยังคงงดงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใจ จึงไม่อาจยับยั้งความหวั่นไหวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นมาได้ เขาจึงตอบรับแล้วขึ้นไปบนรถลากของฉู่เหยา
ภายในรถลากนั้นดูกว้างขวางกว่าที่ดูจากภายนอกอยู่มากทีเดียว ด้านในประดับตกแต่งอย่างหรูหรา มีทั้งเตียงนอน มีโต๊ะน้ำชา และบนพื้นทั้งหมดปูด้วยพรมหนัง
“ช่างบังเอิญเสียจริง ที่ได้พบเจ้าที่นี่ ติดตามข้าไปยังหุบเขาเมฆาคล้อยด้วยกันเถิด ได้หรือไม่”
ฉู่เหยาจ้องมองหลงเฉินด้วยดวงตาคู่งามที่ทอประกายแห่งความดีใจขึ้นมาไม่หยุด จากนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นแง่งอนขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง
“เมื่อถูกหญิงงามเชื้อเชิญเช่นนี้ หากปฏิเสธลง เกรงว่าคงจะต้องถูกสวรรค์ลงโทษเสียแล้วล่ะ” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวอย่างไม่อาจปฏิเสธใบหน้าเช่นนั้นได้
ฉู่เหยามีใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมาด้วยความปลื้มปิติ ภายในวังหลวงที่นางเติบใหญ่ขึ้นมานั้นได้มีกฎข้อห้ามมากเสียจนพรรณนาได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น จึงไม่เคยมีผู้ใดแสดงท่าทีที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจได้มากถึงเพียงนี้มาก่อน นางจึงชมชอบนิสัยขี้เล่นและไม่ถือตัวของหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง
ล้อของรถลากเริ่มหมุนอย่างช้าๆ ออกไปจากเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปสู่เส้นทางแห่งหุบเขาเมฆาคล้อยทางด้านนอก
“ฉู่เหยา เจ้าจะไปทำอะไรที่หุบเขาเมฆาคล้อยกัน?” หลงเฉินถามอย่างใคร่รู้
“ข้า……ข้าอยากจะเล่นเสียหน่อย” น้ำเสียงตะกุกตะกักกล่าวขึ้น บัดนี้ฉู่เหยามีใบหน้าที่แดงระเรื่อมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมจนทำให้หลงเฉินออกอาการทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา
“หลงเฉิน ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าเสียเวลาที่จะไปทำเรื่องอย่างอื่นอยู่ใช่หรือไม่” ฉู่เหยาถามออกไปในเชิงทดสอบ
“ไม่มี? ข้าเพียงแค่ออกมาเดินเล่นอยู่ก็เท่านั้น ไม่เช่นนั้นคงจะไม่บังเอิญพบรถลากของเจ้าได้หรอก” หลงเฉินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวกลับไป
“ใช่แล้ว ตอนนี้น้องชายของเจ้าคงจะดีขึ้นแล้วใช่หรือไหม เรื่องเมื่อครั้งก่อนข้าต้องขออภัยจากใจจริง” เรื่องขององค์ชายเจ็ดในสายตาของหลงเฉินนั้น อย่างไรเสียก็ถือเป็นเรื่องที่เสียมารยาทจนเกินไปอยู่ดี
“ไม่เป็นไร ให้คนเฉกเช่นเขาตกใจกลัวเสียบ้างก็ดี เขาสมควรได้รับบทเรียนเสียบ้าง” ฉู่เหยายิ้มขณะเหม่อมองไปยังนอกหน้าตารถลาก
ตลอดเส้นทางนั้นทั้งสองคนได้สนทนากันมาโดยตลอด ไม่นานนักก็ได้มาถึงทางเข้าของหุบเขาเมฆาคล้อย ฉู่เหยาลงจากรถไปก่อน จากนั้นก็มีองค์รักษ์มารับรถลากแล้วขับกลับไป
“ขึ้นไปด้านบนเป็นเพื่อนข้าหน่อย ข้าอยากชื่นชอบทัศนียภาพในสถานที่แห่งนี้เป็นที่สุด” ฉู่เหยาผายมือที่เรียวยาวไปทางทางเดินสายน้อยแห่งหนึ่งแล้วกล่าว “ในช่วงที่ยังเด็กอยู่ ข้านั้นชื่นชอบการปีนป่ายเขาเป็นประจำ แต่ทว่าหลังจากที่พระบิดาเอาแต่เก็บตัวก็ไม่มีโอกาสได้มายังที่แห่งนี้อีกเลย”
เมื่อฉู่เหยากล่าวมาจนถึงท้ายประโยคก็บังเกิดความเศร้าขึ้นมาในจิตใจจนแสดงออกมาทางสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหดหู่อย่างเห็นได้ชัดเจน หลงเฉินเองได้แต่ถอนหายใจออกมาราวกับไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดเป็นเช่นไร ต่างก็มีสถานที่หนึ่งที่มีความหมายต่อจิตใจเช่นเดียวกัน
“หลงเฉิน เป็นอะไรไป เจ้ามีความในใจอย่างนั้นหรือ?” ฉู่เหยาถามขึ้นเมื่อพบว่าหลงเฉินไม่ได้สนใจสิ่งใดเหมือนเช่นเคย
เมื่อพบเห็นฉู่เหยามองมาด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใยก็ทำให้หลงเฉินเกิดความอบอุ่นขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถึงแม้ว่าจะเคยพบฉู่เหยาเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตาม อีกทั้งยังไม่อาจทราบได้ชัดเจนว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
แต่การได้รับสัมพันธ์อันดีเช่นนี้กลับให้ความรู้สึกที่ถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง เป็นความรู้สึกที่ยากจะกล่าวออกมาได้
หลงเฉินเกิดความหวั่นไหวขึ้นเมื่อมองไปที่ใบหน้าที่แสนงดงามนั้น “ข้านั้นเจอกับความยุ่งยากขึ้นมาแล้วอย่างหนึ่ง ตอนนี้ข้าต้องการที่จะฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นกว่านี้”
“หากเจ้าต้องการที่จะฝึกยุทธ์ เจ้าก็มาหาข้าสิ ข้าไม่เก็บค่าเล่าเรียนหรอก” ฉู่เหยาทอแววตาเป็นประกายแล้วยิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา
“ข้านั้นมีความชำนาญทักษะยุทธ์ทั้งหมดสิบสามชนิดเลยนะ ผู้คนต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวว่าข้านั้นมีพรสวรรค์ระดับแนวหน้าเลยทีเดียว”
“ชำนาญ” ทักษะยุทธ์ทั้งหมดสิบสามชนิดอย่างนั้นหรือ? หรือว่าจะมีไว้ใช้เพื่อที่จะถกวาจาในการทุบตีกับชาวบ้านเพียงเท่านั้น? หลงเฉินเกิดความสงสัยขึ้นมา
“เอ๊ะ เหตุใดจึงมองด้วยสายตาเช่นนั้นกัน เจ้าเกิดความสงสัยในวาจาของข้าเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ?” ฉู่เหยาชักสีหน้าด้วยความโกรธเคืองขึ้นมาในทันที
“เจ้าผิดแล้ว วาจาของเจ้าไม่ได้น่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ควรจะเรียกว่าไม่น่าเชื่อเลยด้วยซ้ำไป” หลงเฉินหัวเราะฮาฮาแล้วกล่าวออกมา
“เจ้าน่าโง่! รับฝ่ามือไปซะ” ฉู่เหยาส่งเสียงร้องดังแล้วก็ได้ยกฝ่ามือข้างหนึ่งฟาดไปที่หลงเฉิน
ผัวะ!
ฝ่ามือของฉู่เหยาได้ฟาดลงกลางอกของหลงเฉินอย่างเต็มแรงจนเกิดเสียงปะทะที่ดังสนั่นขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีการไหลเวียนพลังลมปราณ แต่ก็ถือว่ามีอานุภาพอย่างรุนแรงนัก
“เจ้า……เหตุใดจึงไม่หลบเล่า?” ฉู่เหยาคิดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะรับการโจมตีนั้นอย่างยิ่งเฉย
“หากข้าหลบ เจ้าก็จะตีพลาด เช่นนั้นก็ไม่มีความหมายอันใด” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อย บัดนี้มีมือที่ขาวผ่องได้วางอยู่ที่หน้าอกของเขา แม้ว่าจะมีอาภรณ์ปิดกั้นเอาไว้อยู่ชั้นหนึ่ง แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหลาดบางอย่างส่งผ่านเข้ามา
“หลงเฉิน……”
ฉู่เหยามองไปที่หลงเฉินอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่ภายในใจกลับเกิดความอบอุ่นขึ้นมาเป็นสาย พลันก็ค่อยๆ โน้มตัวลงแล้วใบหน้าก็เข้าซบเข้าไปที่แผงอกของหลงเฉิน
ทันใดที่ใบหน้าของฉู่เหยาวางแนบบนอกของหลงเฉิน ร่างกายของเขาก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างไม่หยุดยั้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน? หลงเฉินไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ตัวแข็งทื่อเสียยิ่งกว่าท่อนไม้อย่างไรอย่างนั้น
“ฉ่า”
ใบหน้าที่ร้อนผ่าวของฉู่เหยาได้เงยขึ้นมองไปยังสีหน้าที่กำลังแตกตื่นของหลงเฉิน นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มร่าขึ้นมา แล้วกล่าวออกมาอย่างเสียดสีว่า “เจ้าคนเลว เมื่อวันก่อนยังไล่ทุบตีชาวบ้านอย่างเคร่งขรึมราวกับพยัคฆ์ร้ายแยกเขี้ยว แต่บัดนี้กลับกลายเป็นลูกแมวไปได้กัน”
หลงเฉินทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะกล่าววาจาใดออกมาเช่นกัน จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างทันควัน “ฉู่เหยา ข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นคนนอก ตอนนี้ข้าจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ทักษะยุทธ์ระดับสูงอย่างจริงจัง”
ฉู่เหยาคลายใบหน้าที่ร้อนผ่าวลงพร้อมกับมองค้อนไปยังหลงเฉินครั้งหนึ่ง ไม่ใช่คนนอกในที่นี้ก็คือ “คนใน” นั่นเอง แต่นางเข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมายในวาจาของหลงเฉินไปเอง
แต่เมื่อพบว่าใบหน้าของหลงเฉินเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงจังถึงเพียงนั้น ฉู่เหยาก็กลับคืนสู่อารมณ์ที่เป็นปกติขึ้น “ข้าก็ไม่ได้คิดจะกล่าววาจาล้อเล่นกับเจ้าเช่นเดียวกัน ข้านั้นชำนาญทักษะยุทธ์มากมาย ไม่เชื่อเจ้าก็ดูสิ”
ฉู่เหยายื่นมืออันขาวผ่องออกมา เกิดพลังความร้อนขึ้นวูบหนึ่งจากนั้นก็ปรากฏประกายแสงสีแดงขึ้นมาบนฝ่ามือนั้น
“เปรี้ยง”
ในพริบตาเดียวที่ฝ่ามือนั้นแนบไปที่ลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ก็เกิดความสั่นไหวไปมา ใบไม้ร่วงหล่น ลำตันห่อเ**่ยวร่วงโรย ในขณะที่นางถอนมือออกมาก็ได้ปรากฏรอยประทับของฝ่ามืออยู่ที่ต้นไม้ใหญ่นั้น
“เห็นหรือยัง? นี่ถือเป็นทักษะยุทธ์ขั้นสูงระดับมนุษย์เชียว ฝ่ามือเมฆาเพลิง เป็นอย่างไรบ้าง ตกใจขึ้นมาแล้วสิ” ฉู่เหยามองมาที่หลงเฉินที่กำลังปากอ้าตาค้างอยู่ ก็รู้สึกได้ใจขึ้นมาอย่างยิ่งยวด
หลงเฉินเพียงแสร้งทำเป็นตื่นตกใจขึ้นมาก็เท่านั้น นี่คือพลังทำลายล้างของทักษะยุทธ์นี้อย่างนั้นหรือ? ต่อให้หลงเฉินไม่ต้องใช้พลังออกมาก็ยังพอที่จะโค่นล้มต้นไม้ลงได้ภายในหนึ่งฝ่ามือ
“อือ น่าดูอย่างยิ่ง” หลงเฉินพยายามวิจารณ์ออกมาอย่างเป็นกลาง การแสดงท่วงท่าของฉู่เหยานั้นลื่นไหลเป็นอย่างมาก
ฉู่เหยาแทบจะฟังไม่ออกถึงความหมายที่อยู่นอกเหนือจากคำพูดของหลงเฉินออกมาได้ ยังคิดว่าตนเองได้ทำให้หลงเฉินตกตะลึงขึ้นมา จากนั้นก็ได้ตั้งอกตั้งใจที่จะกล่าวอธิบายให้แก่หลงเฉินฟัง ว่ากระบวนท่านี้มีความเคลื่อนไหวและการชักนำพลังอย่างไร
แต่ทว่าเมื่อได้ฟังฉู่เหยาเล่าถึงวิธีในการไหลเวียนพลังของฝ่ามือเมฆาเพลิงนี้จนจบ หลงเฉินก็ได้เกิดอาการตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย ฝ่ามือเมฆาเพลิงนี้ถือเป็นวิชาฝ่ามือที่มีพลังทำลายล้างที่ทรงอานุภาพวิชาหนึ่งเลยก็ว่าได้
“ข้าขอลองดูหน่อย”
“เร็วขนาดนั้นเชียว?” ฉู่เหยากล่าวออกมาอย่างไม่อยากปักใจเชื่อได้
หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมา ทักษะยุทธ์นั้นก็เป็นเพียงวิชาแขนงหนึ่งที่ใช้หลักการการไหลเวียนของพลังลมปราณ เมื่อผนวกเข้ากับการไหลเวียนผ่านจุดเส้นลมปราณชิงม่ายก็จะสามารถใช้พลังทำลายออกมาอย่างมหาศาลมากยิ่งขึ้น
หลงเฉินนั้นย่อมคุ้นเคยกับการไหลเวียนภายในจุดเส้นลมปราณชิงม่ายของเขาเองเป็นอย่างดีเยี่ยม เมื่อได้ฟังฉู่เหยาเล่าออกมาเพียงหนึ่งรอบก็สามารถจดจำได้จนขึ้นใจในทันที
จากนั้นเขาก็เริ่มไหลเวียนลมปราณภายในจุดตันเถียนจนก่อเกิดพลังอันร้อนรุ่มที่หนาแน่นขึ้นมากลุ่มหนึ่ง หลงเฉินตะโกนออกมาเสียงดังก่อนที่จะฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือ
“ตูม”
เบื้องหน้าของหลงเฉินที่มีต้นไม้ใหญ่ขนาดหนึ่งคนโอบล้อมได้กระเด็นลอยออกไป หลังจากที่เกิดเสียงดังสนั่นต่อเนื่องขึ้นมาหลายรอบ
“ตุบ”
ต้นไม้ใหญ่ลอยกระเด็นออกไปเสมือนเป็นเพียงศิลาก้อนหนึ่งแล้วตกลงบนพื้นดินจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ ฉู่เหยาได้แต่ยืนอึ้งไปอยู่ครู่ใหญ่ นี่ใช่ฝ่ามือเมฆาเพลิงที่นางคุ้นเคยอย่างนั้นหรือ?
เมื่อมองไปยังที่ที่ต้นไม้ใหญ่นั้นตกอยู่ในที่ไกลออกไป กลับพบว่ามันแหลกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย นี่คือความพิเศษของฝ่ามือเมฆาเพลิง หลงเฉินพยักหน้าอย่างเป็นสัญญาณที่ดี ไม่เพียงแต่เป็นทักษะยุทธ์ขั้นสูงระดับมนุษย์ แต่ยังเป็นพลังในการต่อสู้ก็ยังแข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวอีกด้วย
หลงเฉินมองไปยังใบหน้าที่ออกอาการแตกตื่นอย่างเห็นได้ชัดของฉู่เหยา ก็ทำให้เขาเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาวูบหนึ่ง พลันก็ชักนำมืออันขาวผ่องของฉู่เหยาแล้วดึงเข้ามา
“ฉู่เหยา ข้าขอลองตรวจสอบร่างกายของเจ้าดูสักหน่อยได้หรือไม่” . . . .