เด็กสาวคนไหนกัน? หลงเฉินเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“ก็เด็กสาวที่เจ้าเพิ่งประมือไปก่อนหน้านี้ไง” ปรมาจารย์หวินฉีเฉลยออกมาด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“ทำไมหรือ? นางมีปัญหาอะไรกัน?” หลงเฉินยังคงไม่คลายความสงสัย
ปรมาจารย์หวินฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป “ตามข้ามา”
หลงเฉินเดินตามปรมาจารย์หวินฉีจนมาถึงทางเข้าห้องของเขา หลงเฉินปรากฏความอึดอัดใจอย่างใคร่รู้อย่างยิ่ง เด็กสาวผู้นั้นไม่เพียงแต่จะมีพลังอยู่ในขั้นก่อรวมระดับที่เก้า แต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์หวินฉีอีกด้วย
หลังจากที่ได้เข้ามายังภายในห้องแล้วประตูก็ได้ปิดลง หวินฉีใช้มือข้างหนึ่งลูบไปที่แหวนมิติที่นิ้ว พลันก็ปรากฏภาพวาดม้วนหนึ่งขึ้นมากลางฝ่ามือ
“คว้าง”
ภาพวาดม้วนนั้นได้คลี่ออก หลงเฉินจ้องมองดูรูปภาพจนเห็นได้ชัดว่าภาพวาดนั้นเป็นภาพของหญิงสาวผู้หนึ่งที่มีใบหน้าแสนงดงาม ขนคิ้วเรียงสวย ด้านหน้าของนางมีเตาหลอมโอสถใบเก่าแก่อยู่ตั้งอยู่ และนางกำลังแสดงท่วงท่าว่ากำลังหลอมโอสถอยู่
ที่น่าตกใจเสียยิ่งกว่าคือก็ใบหน้าของหญิงสาวในภาพวาดช่างมีความคล้ายคลึงกับหญิงบ้าคลั่งที่ตนเพิ่งได้พบเจอเมื่อก่อนหน้า
เพียงแต่หญิงสาวในภาพวาดนั้นกลับดูมีความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยมากกว่า สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นภายในดวงหน้าคู่สวยคู่นั้น ช่างแตกต่างกันอย่างสุดขั้วกับหญิงบ้าคลั่งผู้คนนั้นเสียจริง
“นี่คือ……” หลงเฉินเอ่ยออกมาช้าๆ อย่างหยั่งเชิง ม้วนภาพวาดนั้นดูเก่าคร่ำครึ เป็นวัตถุที่น่าจะมีอายุมานานหลายปีแล้ว หลงเฉินไม่เข้าใจว่าปรมาจารย์หวินฉีได้นำภาพวาดนี้ออกมาเพื่ออะไรกันแน่
“หญิงสาวในภาพวาดก็คือภรรยาของข้าเอง” เขาเหม่อมองไปยังภาพวาดด้วยแววตาที่แสนอบอุ่น
หลงเฉินอ้าปากค้างอย่างไม่อาจเชื่อใบหูของตัวเอง เขาไม่เคยนึกคิดมาก่อนว่าจะได้ฟังเรื่องราวเช่นนี้ จึงทำตัวไม่ถูกและไม่อาจจะกล่าวอันใดออกไปดี
ภาพวาดนั้นถูกจับจ้องเอาไว้อยู่นาน ก่อนที่ปรมาจารย์หวินฉีจะค่อยๆ บรรจงม้วนมันเก็บกลับไปอย่างดีเหมือนเดิม เขาสูดลมหายใจเข้าไปฟอดหนึ่ง “ภรรยาที่รักของข้าได้ล่วงลับจากข้าไปเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
ครั้งแรกที่ข้าได้พบกับเด็กสาวผู้นั้นแทบจะล้มทั้งยืน ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะพินิจพิจารณาจนแน่แท้แก่ใจได้
ทว่าหญิงสาวนางนั้นกลับเอาแต่กราบกรานให้ข้าเป็นอาจารย์ มันทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง”
“อย่างไรหรือ? นางมีเป้าหมายอย่างอื่นจึงไม่สามารถกล่าวต่อผู้คนได้อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินขมวดคิ้วเมื่อความสงสัยเข้ามาถาโถม
ปรมาจารย์หวินฉียิ้มออกมาเล็กน้อย สักพักใหญ่จึงได้กล่าวต่อ “นางก็ถือว่าเป็นผู้หลอมโอสถผู้หนึ่ง มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง อาจจะดีกว่าเจ้าก็เป็นได้ ดังนั้นเจ้าต้องระวังเอาไว้”
หลงเฉินที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นจากปรมาจารย์หวินฉีก็ได้แน่นิ่งไป ไม่มีวาจาใดหลุดลอดออกมาจากไรฟันแม้แต่น้อย เมื่อปรมาจารย์หวินฉีเห็นการณ์เช่นนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขายื่นป้ายหยกมาให้หลงเฉินซึ่งเป็นป้ายที่ประทับชื่อของเขาโดยเฉพาะ
รอยสลักของตราประทับนั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณของเขาอยู่เล็กน้อย หากมีตราประทับนี้จะทำให้หลงเฉินสามารถไปห้องโอสถภายในสภาแล้วหยิบยืมหรือซื้อขายสมุนไพรอันล้ำค่าได้เลย
เมื่อถึงแก่เวลาอันสมควรแล้ว หลงเฉินถูกไล่ออกมาจากห้องด้วยหัวสมองที่ผุดคำถามขึ้นมามากมายมหาศาลจนนับไม่ถ้วนที่ไม่ได้ถามออกไป
ดูเหมือนว่าการมาของหญิงสาวผู้บ้าคลั่งผู้นั้นคงจะไม่ใช่ความบังเอิญ แต่หากเป็นการปรากฏตัวอย่างจงใจ นางคิดที่จะทำอะไรกันแน่?
บุตรสาวของปรมาจารย์หวินฉี? แต่ว่าปรมาจารย์หวินฉีอายุขัยก็มากพอตัวแล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นได้น้อยมาก
แต่ต่อให้เรื่องราวต่างๆ จะเป็นจริงขึ้นมา นางก็สมควรที่จะมีความเยือกเย็นสักหน่อย สตรีที่มีความจองหองหยิ่งผยองเช่นนั้นจะมีผู้ใดทนทานไหว
หรือจะเป็นไปได้ว่าปรมาจารย์หวินฉีเก็บงำความลับอย่างอื่นเอาไว้อีก? คงจะไม่ได้เป็นบุตรสาวลับลับของเขาหรอกนะ?
แต่จะคิดเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้อง บุตรสาวลับของหวินฉีแต่กลับไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับภรรยาอันเป็นที่รักของเขาเลยแม้แต่น้อย เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถคล้ายคลึงกันได้ถึงเพียงนั้น
ความเหนื่อยล้าที่จะจัดการกับความสงสัยเหล่านั้นได้คืบคลานเข้ามา หลงเฉินคร้านที่จะคิดต่อไปแล้ว ถึงแม้ว่าปรมาจารย์หวินฉีอาจไม่ได้คิดที่จะปองร้ายเขา แต่ถึงอย่างไรก็ระวังเอาไว้หน่อยเป็นดี
จากนั้นหลงเฉินก็ได้เดินออกมาตามทางเดินไปยังห้องโอสถทันที เขาแสดงแผ่นป้ายของตัวเองออกมาเบื้องหน้าจนทำให้เด็กจัดโอสถผู้หนึ่งโค้งคำนับและมีท่าทีที่มีมารยาทมากขึ้น
หลงเฉินถามถึงการหยิบยืมสมุนไพรนี้กับเด็กจัดโอสถอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยเข้าใจขึ้นมาได้ว่าในระดับที่หนึ่งนั้นก็คือความสามารถที่จะหยิบยืมสมุนไพรที่มีราคาถึงห้าล้านทองคำในสมุนไพรระดับแรก และยังเป็นราคาต้นทุนของสมุนไพรนั้นๆ ด้วย
และการหยิบยืมของหลงเฉินที่เพิ่งเลื่อนขึ้นมาอยู่ในระดับที่สอง นั่นก็หมายถึงความสามารถที่จะหยิบยืมสมุนไพรได้ถึงราคาสามสิบล้านทองคำในสมุนไพรระดับแรก และสมุนไพรระดับที่สองไม่เกินห้าชุด
ความกระจ่างแจ้งของการหยิบยืมสมุนไพรทำให้เขามีดวงตาเบิกกว้าง ความสามารถเช่นนี้ทำให้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องหวั่นใจว่าจะไม่มีเงินทองมาซื้อสมุนไพรได้อีกต่อไป
การหลอมโอสถตามวิธีปกติของผู้หลอมโอสถนั้นจะประกอบไปด้วยสมุนไพรทั้งหมดห้าชุด สำเร็จการหลอมในครั้งเดียวจะถือว่าเท่าทุน หากสำเร็จถึงสองครั้งก็จะเรียกว่ากำไรเสียยิ่งกว่ากำไร
การใช้ความทรงจำของจักรพรรดิโอสถที่ผนวกกับความทรงจำของหลงเฉินทำให้การหลอมโอสถในระดับแรกมีโอกาสสูญเสียเท่ากับศูนย์เลยก็ว่าได้ ถ้าหากเพลิงปราณในช่วงเวลานั้นไม่ได้อ่อนแอลงจนเกินไป ความสำเร็จในการหลอมโอสถของเขาก็จะยิ่งทวีคูณมากขึ้น
แต่เมื่อไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว หลงเฉินได้ปฏิเสธการหยิบยืมโอสถระดับที่ สอง เนื่องด้วยพลังปราณเพลิงของเขาในตอนนี้อาจจะทำให้เขาสลบเหมือดไปได้หากคิดที่จะหลอมยาโอสถในระดับที่สองขึ้นมา
อีกทั้งยังต้องรวมพลังของดารากักวายุต่อไปอีก ความสำเร็จของดารากักวายุยังอยู่ในระดับต่ำเกินกว่าที่จะหลอมได้อย่างสบายใจได้ เขาจึงจำเป็นที่จะต้องสำเร็จการรวมพลังของดารากักวายุจนถึงขึ้นสุดเสียก่อนจึงจะมั่นใจ
หลงเฉินใคร่ที่จะหยิบยืมสมุนไพรทั้งหมดเพื่อหลอมโอสถกักวายุภายในครั้งเดียว แต่กลับพบว่าภายในสภากลับไม่ได้มีจำนวนเพียงพอกับที่ต้องการถึงเพียงนั้น
หลังจากการหมกมุ่นกับความคิดอยู่นาน หลงเฉินก็ตัดสินใจนำสมุนไพรออกมาเพียงแค่ห้าสิบชุด นอกจากนั้นก็ได้นำสมุนไพรในระดับแรกอื่นๆ มาด้วยอีกส่วนหนึ่งเพื่อที่จะนำมาหลอมโอสถมาขายกับทางสภาแลกเป็นเงินทองกลับมาได้เช่นเดียวกัน
จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิงมีชื่อเสียงด้านวิทยายุทธ์มากกมายหลายแขนง มีจำนวนประชากรที่ล้นหลาม มีนักผจญภัยอยู่นับไม่ถ้วน จึงมีความต้องการโอสถอยู่จำนวนไม่น้อยทีเดียว
ชุมนุมผู้หลอมโอสถถือได้ว่าเป็นหน่วยงานที่ทรงคุณธรรมอยู่เต็มเปี่ยม ไม่เคยคดโกงด้วยการเพิ่มราคาขึ้นมาแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นการรีดไถผู้คนของชุมนุมผู้หลอมโอสถที่ทั้งรวดเร็วและโหดร้ายอย่างถึงที่สุด
ระหว่างที่หลงเฉินกำลังเกินกลับออกมาจากสภาผู้หลอมโอสถ เบื้องหน้าก็ได้บังเกิดเสียงโหวกแหวกโวยวายขึ้นมาเสียงดัง เสียงด่าทอกันไปมาจากที่ที่ห่างไกลออกไปไม่มาก หลงเฉินจ้วงเท้ารุดเข้าไปยังกลุ่มผู้คนที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเข้าไปใกล้ขึ้นจนเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังถูกคนนับสิบร่วมมือกันทุบตีเตะต่อยอยู่บนพื้น มีชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วมกำลังใช้สิ่งที่เหมือนกับหัวไชเท้าชี้ไปยังใบหน้าของผู้ที่นอนกองอยู่บนพื้นนั้นพร้อมกับด่าทอออกมาเสียยกใหญ่
“พี่ท่าน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันหรือ?” หลงเฉินเอ่ยถามคนที่ส่งเสียงเฮอย่างคึกคัก
“เหอะเหอะ อย่าได้ขำขันไปเชียว เห็นปล่องที่ยาวกว่าแปดสิบจั่งนั้นหรือไม่? มันถูกเด็กน้อยผู้นั้นปิดตายเอาไว้
วันนี้ตระกูลตงได้เข้ามาตรวจรับของ เมื่อเถ้าแก่เห็นปล่องไฟเป็นเช่นนั้นก็เกิดโทสะจนโลหิตไหลเวียนขึ้นหน้า เจ้าซื่อบื้อผู้นั้นกลับมองแบบกลับหัวไปได้ ความจริงแล้วชาวบ้านจะเอาบ่อน้ำต่างหาก ฮาฮาฮา……”
ทันทีที่หลงเฉินฟังจบก็อดที่หัวเพราะพรวดออกมาไม่ได้ บนโลกใบนี้มีเรื่องที่น่าแปลกถึงเพียงนี้เชียวหรือ? แต่เมื่อมองไปยังคนที่ถูกทุบตีอยู่บนพื้นช่างทำให้จิตใจของเขารู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอยู่ไม่น้อยเลย
คนผู้นั้นดูแล้วน่าจะมีอายุยังไม่มากนักและไม่น่ามากกว่าหลงเฉินเสียด้วยซ้ำไป แต่ว่าความสูงใหญ่ของร่างกายกลับดูผิดปกติ ชายหนุ่มผู้นั้นก้มหมอบอยู่กับพื้น ไม่ว่าจะถูกทุบตีเตะต่อยอย่างรุนแรงเพียงใดก็ไม่มีทีท่าว่าจะสวนกลับเลยแม้แต่น้อย
ทั้งหมัดทั้งเท้าที่กำลังทุบตีอย่างเมามันของกลุ่มคนนับสินนั้น เมื่อกระทบลงบนร่างกายของชายหนุ่มผู้นั้นกลับเกิดพลังสถิตอันมหาศาลจำนวนหนึ่งทำให้มือเท้าหลายคู่ถูกดีดออกไป
ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลงเฉินมีพลังแห่งจิตวิญญาณเหลือล้นจนน่าประหลาดใจก็แทบจะมองการสั่นไหวเหล่านั้นไม่ออก แต่ว่าชายหนุ่มผู้นั้นกลับไม่มีความเคลื่อนไหวของพลังปราณภายในร่างกายเลยแม้แต่น้อย ไม่อาจเรียกว่าผู้ฝึกยุทธ์ได้
ชายหนุ่มที่ถูกทุบตีอยู่อย่างนั้นกว่าครึ่งวัน ไม่มีปฏิกิริยาโต้กลับใดใด กลับทำให้เหล่าคนที่ทุบตีเขาหอบหายใจอย่ารุนแรง ร่างกายอ่อนล้าอิดโรย มือเท้าเจ็บปวดรวดร้าวจนบวมเต่งขึ้นมา
“มารดาเถิด อยากจะบ้าคลั่งจนตายเสียจริง เจ้าตัวโง่งมนี้ต้องการที่จะทำให้ข้าขาดทุนอีกมากเพียงใดกัน? ทุบตีมันให้ตายต่อหน้าข้าเดี๋ยวนี้เลย”
เมื่อเถ้าแก่ร่างท้วมผู้นั้นหันไปมองยังปล่องขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าก็เกิดบันดาลโทสะมากขึ้นเสียยิ่งกว่าครู่ ด่าทอได้เราะร้ายติดต่อกันออกมา แล้วสมทบรอยบาทาเข้าไปหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
“หยุดมือ” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ใดสักแห่ง
“หยุดมืออย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นผู้ใดกัน?”
บัดนี้เถ้าแก่ร่างท้วมมีเส้นโลหิตปูดอยู่เต็มใบหน้า เขาลั่นวาจาออกไปก่อนที่ค่อยๆ มองไปยังผู้ที่เป็นเจ้าของต้นเสียงเมื่อครู่นี้
แต่เมื่อใบหน้าของเจ้าของเสียงได้ปรากฏชัดเจนขึ้นต่อสายตาของเถ้าแก่ร่างท้วม บนใบหน้าของเขาก็ได้ซีดลง ริมฝีปากแห้งผาดขึ้นมา ปากอ้าค้างแล้วพยายามกล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกัก “โหว……โหวเยว่น้อย……”
“หยุดมือเถิด นี่เป็นเงินทั้งหมดร้อยตำลึงทอง คงเพียงพอที่จะซื้อปล่องของเจ้า แล้วไปทำบ่อน้ำมาใหม่เถิด” หลงเฉินคร้านที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขาจึงโยนถุงเงินให้ เงินทองสามารถจัดการเรื่องราวทุกอย่างได้ในพริบตา เขาเองก็คร้านที่จะลงมือเช่นกัน
ทุกผู้คนต่างก็รีบหยุดมือ เถ้าแก่ร่างท้วมรีบถามออกมาอย่างร้อนรน “โหวเยว่นี่……”
“เอาไปแล้วไสหัวไปได้แล้ว”
หลงเฉินขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลงเฉินมองออกว่าเจ้าโง่ตัวท้วมนี้คิดที่จะสานความสัมพันธ์กับตนเอง แต่ถูกขัดจังหวะเสียก่อนจึงได้แต่ร้องชิขึ้นมาในทันที คนเฉกเช่นนี้ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเห็นแก้หน้า
“ได้ ได้ ข้าน้อยจะไสหัวไป”
เถ้าแก่ร่างท้วมนั้นเดินนำกลุ่มคนของเขาไปตามทางเดินจนหายลับออกไปจากกบริเวณนั้นในทันที
“สหายน้อย ลุกขึ้นเถิด” หลงเฉินเหลือบตาลงมองไปยังชายหนุ่มที่หมอบอยู่กับพื้นแล้วกล่าวออกมา
ชายหนุ่มผู้นั้นคล้ายกับกำลังนอนอยู่อย่างไรอย่างนั้น เมื่อได้ยินเสียงเรียกของหลงเฉินก็สะดุ้งตื่นแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจากพื้น และพบว่าคนที่ทุบตีเขาได้หายไปแล้ว
“เป็นเจ้าที่ช่วยข้าไว้อย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าสงสัย
“ลุกขึ้นก่อนเถิดแล้วค่อยว่ากัน” หลงเฉินยิ้ม ชายหนุ่มผู้นั้นดูใสซื่อเป็นยิ่งนัก แค่ได้กล่าววาจาด้วยก็รู้สึกดีถึงเพียงนี้
“อ๋อ”
เมื่อชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนก็ทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นแตกตื่นตกใจเสียยิ่งกว่าเดิม ตอนที่หมอบอยู่กับพื้นก็รู้สึกว่าเขามีรูปร่างที่ใหญ่กว่าธรรมดาอยู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้กลับสูงใหญ่จนไม่อาจกาสิ่งใดมาเปรียบเปรยได้
“สูงยิ่งนัก”
เมื่อมองดูชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าทำให้หลงเฉินเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน คนที่อยู่โดยรอบกลายเป็นเพียงเด็กตัวน้อยไปเลยทีเดียว
“พวกเขาทุบตีเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่โต้ตอบ?” หลงเฉินเห็นว่าเขาน่าจะมีพละกำลังมากพอที่จะล้มคนเหล่านั้นได้ไม่ยาก แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ก็ตาม
“พวกเขาบอกว่าข้านั้นทำผิด พวกเขาจึงทุบตีข้า ข้าย่อมไม่อาจที่จะเอาคืนได้” ชายหนุ่มผู้นั้นตอบกลับมาด้วยความซื่อสัตย์
หลงเฉินส่ายหน้าไปมา ถึงแม้ว่าเจ้ายักษ์ผู้นี้จะดูแข็งแกร่งแต่ว่าในด้านเชาว์ปัญญากลับเทียบเท่าเด็กน้อย ยากนักที่จะหาคนที่มีความซื่อสัตย์เช่นนี้ได้ แต่ว่าการทำบ่อน้ำจนกลายเป็นปล่องไฟได้นั้นช่างน่าเป็นห่วงอยู่มากนัก
“บ้านของเจ้าอยู่ที่ใดกัน?”
“ข้าไม่มีบ้านหรอกพี่ใหญ่ บ้านของท่านต้องการคนใช้เพิ่มอีกหรือไม่? ข้าไม่ต้องการเงินทอง ขอเพียงมีข้าวให้ข้ากินก็พอแล้ว ข้าหิวมาก” ชายหนุ่มผู้นั้นอ้อนวอน
ขณะที่หลงเฉินกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา ก็ได้มีเสียงเตือนเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา “โหวเยว่น้อย เจ้าอย่าได้หลงกลเชียว เด็กหนุ่มผู้นี้กินมากอย่างกับวัวกับควายหากเจ้าคิดจะจ้างเขาไว้ก็คิดให้ดีเสียก่อน”
“ไม่ ข้าไม่กินเนื้อก็ได้ ขอแค่มีข้าวก็เพียงพอแล้ว” ชายหนุ่มผู้นั้นตอบกลับขึ้นมาในทันที
“ได้ งั้นก็ไปกับข้าเถิด เจ้ามีนามว่าอะไร?” หลงเฉินถาม
“ข้าชื่อหมานหนิว ขอบคุณพี่ใหญ่” หมานหนิวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
“อือ จากนี้ไปข้าจะเรียกเจ้าว่าอาหมานก็แล้วกัน ส่วนเจ้าก็เรียกข้าว่าพี่หลงเถิด” หลงเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“ได้! พี่หลง” อาหมานแสดงใบหน้าใสซื่อออกมา
เมื่อหลงเฉินและอาหมานเดินไกลออกไป ผู้คนที่อยู่โดยรอบเมื่อครู่ต่างก็ส่งเสียงกระซิบกระซาบด้วยความอิจฉาตาร้อนขึ้นมาตามๆ กัน เจ้าตัวโง่งมเมื่อครู่กลับถูกบุตรขุนนางชื่นชม เป็นโชคดีของคนโง่เขลาอย่างแท้จริง
ตลอดทางกลับจวน หลงเฉินก็ได้ถามไถ่เรื่องราวที่ผ่านมาของอาหมาน อาหมานเล่าว่าเขาได้ถูกคนใจดีชุบเลี้ยงเอาไว้จนถึงห้าขวบ หลังจากนั้นทั่วทุกแห่งหนก็ได้เกิดโรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนในหมู่บ้านไปจนหมดสิ้น มีเพียงแต่เขาเท่านั้นที่มีชีวิตรอด
เขาได้ร่อนเร่มาเรื่อยจนมาถึงจักรวรรดินี้ ใช้แรงงานทำงานช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ แต่เป็นเพราะว่าเขานั้นกินข้าวมากมายอย่างไม่คิดชีวิต อยู่ได้ไม่นานก็ได้ถูกไล่ออก แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างยากลำบาก
“อาหมาน หลังจากนี้เจ้าก็มาติดตามข้าก็แล้วกัน ข้าจะไม่ทำให้เจ้าอดตายอย่างแน่นอน” หลงเฉินรู้สึกเห็นใจอาหมานขึ้นมาอย่างที่สุด
คนที่เก่งกาจต่างก็มีความเก่งกาจในด้านของตนอยู่ คนที่ลำบากต่างก็มีความลำบากเป็นของตนเองอยู่เช่นกัน ถึงแม้ว่าฐานะของทั้งสองจะต่างกัน แต่ว่าในด้านของความยากลำบากลับไม่แตกต่างกันเลย หลงเฉินเพียงแค่รู้สึกถูกชะตาด้วยก็เท่านั้น
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังเดินออกมาจากตรอกที่มุ่งสู่ถนนใหญ่อยู่นั้น ก็ได้เกิดเสียงร้องโหวกเหวกอย่างตกใจดังขึ้นมา เงาของรถม้าคันหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาใกล้
รถม้าคันนั้นประดับตกแต่งอย่างสวยหรู มีจามรีโลหิตตัวหนึ่งลากรถอยู่ทางด้านหน้า จามรีเป็นสัตว์ประหลาดมนตราระดับหนึ่ง รถม้าคันนี้วิ่งมาตามท้องถนนโดยไม่ได้สนใจผู้คนที่อยู่ข้างทางเลยแม้แต่น้อย
เด็กสาวอายุห้าหกขวบกำลังวิ่งเล่นอยู่บนถนน ทันใดนั้นก็ได้หันไปเจอจามรีโลหิตขนาดใหญ่ตัวนั้นแล้วร้องเสียงดังด้วยความตกใจจนลืมที่จะหลบไปให้พ้นจากตรงนั้น เหมือนกับว่ารถม้าคันนั้นเป็นเพชฌฆาตจะมาคร่าชีวิตไปอย่างไรอย่างนั้น
หลงเฉินร้องชิออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ฝ่าเท้ารวมพลังเหยียบลงกับพื้นจนก้อนอิฐแตกระแหงไปส่วนหนึ่ง เขาพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วประดุจสายฟ้าฟาดแล้วเข้าโอบอุ้มเด็กสาวผู้นั้นขึ้นในอ้อมอก พร้อมกับเบี่ยงหลบไปด้านข้าง
หลงเฉินพยายามทรงตัวเอาไว้ รถม้าคันนั้นวิ่งออกไปยังอีกทาของทั้งสองคน ในช่วงเวลานั้นเองที่หลงเฉินคิดว่าทุกอย่างจะจบสิ้นแล้วก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากรถม้า
“สามัญชนนี่บังอาจยิ่งนัก หาญกล้ามาขว้างรถม้า รนหาที่ตาย”
น้ำเสียงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธถึงขีดสุด พลันก็มีแส้เส้นหนึ่งหวดผ่าสายลมออกมา พุ่งตรงเข้ามาที่หลงเฉิน . . . .