เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 14 องค์ชายเจ็ด

ผู้ที่มาเยือนเป็นชายหนุ่มอายุเยาว์ ดูไปแล้วน่าจะมีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี อยู่ในชุดอาภรณ์สีเหลืองเข้มตัวยาว สวมหมวกสีทองใบหนึ่ง รูปร่างของชายหนุ่มผู้นั้นช่างดูสง่างามและสูงส่งยิ่งนัก

“น้อมพบองค์ชายเจ็ด”

การมาเยือนของชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เหล่าผู้คนทั้งหลายต่างพากันคุกเข่าลงเพื่อถวายความเคารพอย่างพร้อมเพรียง แม้แต่ซือเฟิงเองก็เช่นกันแม้จะไม่ค่อยเต็มใจเสียเท่าใดนัก

เด็กหนุ่มผู้นั้นมีนามว่าฉู่ฟง เป็นบุตรชายคนที่เจ็ดอันเป็นบุตรคนสุดท้องของจักรพรรดิแห่งเฟิงหมิงนามว่าฉู่เทียน

กล่าวกันว่าในช่วงเวลาที่ท่านฉู่ฟงเพิ่งถือกำเนิด ท่านฉู่เทียนผู้ซึ่งเป็นบิดาได้แต่เอาเก็บตัวตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบัน จึงค่อยออกปรากฏตัวมากขึ้น ฉู่ฟงจึงไม่เคยได้พบหน้าบิดาบังเกิดเกล้าของตนเองว่ามีรูปลักษณ์เป็นเช่นใดเลย

หากกล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับฉู่ฟง หลงเฉินก็ได้สดับรับฟังมาไม่น้อย เขาทราบว่าฮองเฮาในตำหนักตะวันตกเป็นมารดาผู้ที่ให้กำเนิด ให้การเลี้ยงดูอย่างเอาใจใส่ตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ฉู่ฟงเป็นผู้ที่นิยมชมชอบการใช้อำนาจบาตรใหญ่แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงระดับองค์ชายเช่นเดียวกันแล้วก็ตาม ราวกับว่าไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด คิดไม่ถึงว่าในวันนี้เขาจะมายังสถานที่แห่งนี้ด้วย

เมื่อสายตาได้มองไปเห็นโจวเย้าหยางที่เดินตามติดชิดกายอยู่ข้างๆ ทำให้ภายในใจของหลงเฉินเกิดความกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที ราวกับว่าตัวมันนั้นจงใจที่จะมุ่งเป้ามาที่ตนเอง

ตามขนบธรรมเนียมของเหล่าขุนนาง เมื่อบุตรขุนนางทั้งหมดได้พบกับคนของราชวงศ์ต่างก็ต้องก้มลงกราบเพื่อถวายความเคารพโดยทั้งสิ้น เจ้าอ้วนและพวกพ้อง รวมไปถึงซือเฟิงเองต่างก็อยู่ในลักษณะคุกเข่าหมอบลงกับพื้น นอกเสียจากว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับขอบเขตพลังก่อโลหิตได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจมีข้อยกเว้นใดใด

หลงเฉินแสยะยิ้มเล็กน้อย พวกมันคือพรรคพวกเดียวกัน คิดที่จะให้คนอย่างข้าหมอบลงกราบเจ้าอย่างนั้นหรือ? หลงเฉินคิดว่านอกเสียจากบิดามารดาแล้ว ผู้คนที่ควรค่าแก่การก้มลงหมอบกราบยังไม่ถือกำเนิดขึ้นมาเสียด้วยซ้ำไป

องค์ชายเจ็ดฉู่ฟงสอดส่องสายตาที่แสนเย็นชาไปรอบบริเวณ ทันทีที่เห็นหลงเฉินผู้ที่เป็นดั่งห่านฟ้าอยู่ในดงของลูกไก่กำลังอยู่ในท่านั่งที่สบายซึ่งแตกต่างจากผู้คนอื่นที่กำลังหมอบลง เขาจึงไม่อาจที่จะข่มความขุ่นเคืองเอาไว้ได้

“หลงเฉิน เจ้าบังอาจยิ่งนัก องค์ชายเจ็ดอยู่ในที่แห่งนี้ เจ้ายังไม่คุกเข่าหมอบกราบลงอีก เจ้าคิดที่จะก่อกบฏหรืออย่างไร?”

โจวเย้าหยางและพรรคพวกที่อยู่ข้างกายขององค์ชายเจ็ดคิดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะแสดงท่าทางเช่นนั้น การกระทำที่ไม่ควรที่จะแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าองค์ชายเจ็ดเช่นนี้

ในครั้งก่อนที่หวังหมางถูกหลงเฉินตบเข้าไปยังใบหน้าจนฟันหลุดออกจากปากนั้น ทำให้บัดนี้เขาไม่อาจข่มกลั้นความตื่นตระหนกไว้ได้ เกรงว่าหลงเฉินจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้นโต้กลับมาอีก จึงได้ตะโกนร้องออกมาเสียงดังเพื่อข่มขวัญหลงเฉินเอาไว้ก่อน

ส่วนคนอื่นๆ นั้นต่างพากันตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า รวมไปทั้งเจ้าอ้วนและพวกพ้องที่เพียงได้ยินเสียงก็พลันตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา ในระหว่างการต่อสู้ของลูกขุนนางย่อมไม่อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างแน่นอน

แต่ว่าถ้าหากเกิดข้อพิพาทขึ้นกับองค์ชายเจ็ดแล้วนั้นมีแต่จะต้องถูกตัดศีรษะอย่างแน่นอน โดยเฉพาะการกระทำของหลงเฉินที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเสียมารยาทเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นเช่นนั้นใบหน้าของโจวเย้าหยางก็เต็มไปด้วยความสะใจปรากฏขึ้นมา เขาถือได้ว่าเป็นคนสนิทขององค์ชายเจ็ด มักจะติดตามเป็นบริวารขององค์ชายผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในวัยเที่ยวเล่นหาเศษหาหญ้ากันอยู่เลยก็ว่าได้

เมื่อคิดได้ว่าในวันนี้จะต้องมายังสถานที่แห่งนี้ เขาจึงพาองค์ชายเจ็ดมาเพื่อที่ข่มขวัญหลงเฉินเสียหน่อย นั่นก็เพราะว่าเมื่อครั้งก่อนที่หลงเฉินได้จัดการหลี่เฮ่าลงได้ ก็ได้ทำให้หลงเฉินมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วจักรวรรดิเพียงข้ามคืน

โจวเย้าหยางและพรรคพวกที่คล้ายกับถูกตบเข้าไปที่ใบหูอย่างรุนแรงจนสติหลุดลอย นั่นก็เพราะว่าพวกเขาทั้งหลายต่างก็ใช้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดเดิมพันข้างของหลี่เฮ่าในการประลอง ดั่งความสุขทั้งหลายได้มลายหายไปในพริบตา วันเวลาที่ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ ช่วงชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความสุขมาโดยตลอด เอาแต่เที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ดื่มสุราไปวันๆ บัดนี้ได้เปลี่ยนไปตลอดกาล

และสิ่งที่ทำให้เขาสะใจยิ่งกว่าสิ่งใด คือเหตุการณ์ในตอนนี้ง่ายดายกว่าที่ตนเองคาดคิดเอาไว้ เข้าทางเขาอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นที่จะต้องเอ่ยปากท้าทายอันใด เป็นหลงเฉินเองที่ทำให้องค์ชายเจ็ดผู้นี้เริ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไปเสียเอง

เมื่อได้เห็นหวังหมางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปมาด้วยความโกรธแค้น หลงเฉินก็ได้เผยรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก แล้วก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “หวังหมาง ไข่ลูกนั้นของหลี่เฮ่า รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง? คิดว่าเจ้าน่าอิ่มเอมจนถึงวันนี้ อีกทั้งใบหน้ายังดูอิ่มเอิบขึ้นไม่เบาคล้ายกับไข่ลูกนั้นเสียยิ่งกระไร คงจะช่วยบำรุงได้ดีอยู่ไม่น้อยเลยสินะ”

เมื่อได้ยินวาจานั้นจากหลงเฉิน หวังหมางยิ่งแสดงสีหน้าออกมาอย่างรุนแรง กระเพาะลำไส้ปั่นป่วนราวกับมีมหาสมุทรทลายเขื่อนกั้นน้ำอย่างไรอย่างนั้น เพราะมันทำให้เขานึกถึงเรื่องอันน่าสยดสยองเมื่อก่อนขึ้นมาได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

แม้เขาจะทานอะไรเข้าปแล้วพลันคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งวันวานนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองบางอย่างจะบังเกิดขึ้นในทันที แทบจะก้มลงสำรอกออกมาอย่างไม่อาจจะหยุดได้

ใบหน้าของหวังหมางเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ลิ้นจุกอยู่ในปาก ไม่กล้าแม้จะกล่าวอันใดออกมาแม้แต่วลีเดียว ฝืนกลั้นความทรมานจากปฏิกิริยาที่อยู่ในกระเพาะ เขาเกรงว่าหากอ้าปากขึ้นมาเพียงน้อยนิดอาจจะสำรอกออกมาเป็นแน่

“หลงเฉิน เจ้าเป็นเพียงแค่บุตรขุนนางผู้ต่ำต้อย เหตุใดจังไม่รู้จักเบื้องต่ำเบื้องสูง คิดที่จะก่อกบฏหรืออย่างไร เมื่อพบองค์ชายเช่นข้าอยู่เบื้องหน้าเจ้า เหตุใดยังไม่รีบคุกเข่าอีก?” องค์ชายเจ็ดตะโกนขึ้นมาด้วยโทสะแรงกล้าแล้วชี้หน้าหลงเฉิน

องค์ชายเจ็ดจะเอาแต่ใจอยู่แล้วเป็นปกติ แม้แต่องค์ชายองค์หญิงท่านอื่นทั้งหลายต่างก็ไม่มีใครนึกอยากจะมีปัญหาด้วย เมื่อในวันนี้ได้พบกับบุตรขุนนางเพียงคนเดียวที่หาญกล้า ปฏิบัติตนเหมือนเขานั้นไร้ตัวตน อันไม่เคยมีผู้ใดกล้าทำมาก่อน เขาจึงไม่อาจที่จะยับยั้งความเดือดดาลที่กำลังปะทุขึ้นมาได้

เมื่อมองไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็อดที่จะหน้าถอนสีหน้าถอยหลังไปมิได้ หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยเสียงราบเรียบ “เจ้าก็เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ข้าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าก็แล้วกัน มาจากทางไหน ก็กลับไปทางนั้นเถิด”

“อะไรกัน?”

ในช่วงเวลานั้นเองสีหน้าของผู้คนทั้งหมดก็ได้แปรเปลี่ยนไป หลงเฉินคิดจะหาที่ตายหรืออย่างไรกัน เหตุใดจึงหาญกล้าพูดเช่นนั้นขึ้นมา หากไม่รวมกับที่ไม่หมอบกราบลงก่อนหน้านี้ อย่างมากก็อาจจะถูกกุมขังหลายวัน ควรจะทำให้เรื่องราวจบลงเพียงแค่นี้ก็พอ

เห็นได้ชัดว่าการกระทำของหลงเฉินในตอนนี้คือต้องการจะก่อกบฏอย่างแน่นอน นี่ถือได้ว่าล่วงเกินมากไป หลงเฉินเป็นบ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

“เจ้า…รนหาที่ตาย จับเขามาให้กับข้า!” องค์ชายเจ็ดตะโกนด้วยน้ำเสียงดุดันต่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง

เมื่อสิ้นคำสั่งขององค์ชายเจ็ดก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาพร้อมกับโจวเย้าหยางที่บัดนี้ปรากฏความปิติยินดีไปทั่วทั้งใบหน้า พวกเขาไม่เอ่ยขานวาจาอันใดตอบ แต่กลับเข้าไปคุมตัวหลงเฉินทันที

ตามปกติแล้วพวกเขาย่อมต้องเกิดความกังวลใจอย่างแน่นอนหากต้องเข้าใกล้หลงเฉินถึงเพียงนี้ แต่เมื่อบัดนี้เป็นคำสั่งจากองค์ชายเจ็ด มันทำให้พวกเขาก็เกิดความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ราวกับกับมีที่พึ่งคุ้มกะลาหัว ต่อให้ทำการทุบตีหลงเฉินจนตายก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบอันใดทั้งสิ้น

“ปึก”

ในขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าเข้าไปจับกุม หลงเฉินเหลือบมองโต๊ะตัวหนึ่งที่สร้างมาจากไม้พันปีที่อยู่ใกล้เท้า ความแข็งแรงของมันดั่งเหล็กกล้า มีน้ำหนักมากจนน่าตกใจ แต่เพียงอึดใจเดียวต่อมากลับถูกหลงเฉินใช้เท้าข้างเดียวเตะจนลอยออกไป พุ่งเข้าหากลุ่มคนที่กำลังเดินกรูเข้ามา

โจวเย้าหยางที่พุ่งตัวออกมาและเห็นโต๊ะกำลังลอยกระเด็นไปในอากาศ ทำให้เขาต้องส่งเสียงดังเฮ้อ ก่อนที่จะส่งพลังทั่วทั้งร่างกายที่ไหลเวียนอยู่ไปที่หมัด แล้วพุ่งเข้ากระแทกกับโต๊ะตัวนั้น

เสียงปะทะนั้นดังสนั่นขึ้นมา ส่วนที่แข็งที่สุดของโต๊ะตัวนี้ได้กระแทกเข้ากับหมัดของโจวเย้าหยาง ผู้ที่เป็นถึงยอดฝีมือในระดับพลังขั้นก่อรวมระดับเจ็ด พลังความน่าหวาดกลัวนั้นเต็มสิบส่วน

ทว่าหลังจากที่ถูกโต๊ะตัวนั้นกระแทกเข้ามา ด้วยสภาวะของร่างกายของเขาที่อืดอาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนนั้นก็คือตำแหน่งที่เขายืนอยู่ตอนนี้เป็นด้านข้างของหวังหมาง และมันดันกลับกลายเป็นเป้าหมายที่ถูก “เพ่งเล่ง” จากหลงเฉินตั้งแต่แรกแล้ว

หลงเฉินส่งสายตามองไปยังโจวเย่าหยางอย่างคนโง่เขลาอย่างไรอย่างนั้น เหลือบมองไปยังหวังหมางที่กำลังกัดฟันตัวเองแล้วเดินปรี่เข้าไปถึงตัวเขา ทันใดนั้นมุมปากก็ได้ปรากฏรอยยิ้มอันแปลกประหลาดขึ้นมาเป็นสาย

“เพียะ”

ความเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ทันหายใจ ผู้คนมากมายมองไปยังการเคลื่อนไหวของหลงเฉินเป็นสายตาเดียว เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขณะที่ฝ่ามือของหลงเฉินได้วาดลงไปบนใบหน้าของหวังหมาง

ส่งผลให้หวังหมางลอยกระเด็นออกไปไกลในทันที ท่ามกลางอากาศก็ได้เกิดเส้นโค้งอันสวยสดงดงามขึ้นมาสายหนึ่ง พวยพุ่งเป็นสายไปพร้อมกับตัวหวังหมางที่ลอยออกไป เส้นโค้งที่สวยงามนั้นคือประกายแสงสะท้อนจากฟันนับสิบเม็ดที่หลุดร่วงจากปากของหวังหมางนั่นเอง

ตึง!

ร่างกายของหวังหมางหยุดลอยและเข้ากระแทกกับกำแพงอย่างจัง นัยน์ตาทั้งสองข้างปิดลงสนิท เขาสลบไปในทันที แต่ปากยังอ้ากว้างค้างเอาไว้เหมือนกับต้องการที่จะบอกต่อคนทั่วทั้งจักรวรรดิว่าบัดนี้เขาได้กลายเป็นคนที่ทั้ง “หลังหัก” และ “ฟันหลอ” ไปเสียแล้ว

ทางด้านของโจวเย้าหยางที่กำลังจะพุ่งตัวเข้ามาด้วยเช่นกัน เมื่อได้เห็นหวังหมางที่ลอยกระเด็นไกลออกไป ทำให้เขาตกใจขึ้นมาอย่างหาที่สุดไม่ได้ แม้ว่าพลังการฝึกยุทธ์ของหวังหมางจะไม่ได้แย่มากนัก แต่กลับถูกเขี่ยกระเด็นออกไปเหมือนเป็นเพียงการปัดฝุ่นเช่นนี้ ก็ไม่น่าจะปลอดภัยต่อชีวิตของเขาเช่นกัน

แต่จะมาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ไม่มีเวลาที่จะหลบหลีกได้อีกแล้ว โจวเย้าหยางร้องตะโกนออกมาด้วยเสียงอันทรงพลัง พลังฝีมือขั้นก่อรวมระดับที่เจ็ดปะทุขึ้นมาทั่วทั้งร่าง พลังปราณปกคลุมอยู่รอบกายของเขา

“หมัดหกตะวัน (六阳拳)”

เสียงที่เปล่งออกมาด้วยความฮึกเหิมของโจวเย้าหยาง เขาก็ได้วาดหมัดออกมาหมัดหนึ่ง พลังบนหมัดได้ปกคลุมเอาไว้ด้วยแสงสีอ่อนที่หนาแน่นขึ้นจนก่อให้เกิดเงาของพลังทำลายจากวิทยายุทธ์ขึ้นมา

หมัดหกตะวันคือหนึ่งในกระบวนท่าของโจวเย้าหยาง ฝึกเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เพียงหมัดเดียวก็เทียบได้กับพลังนับพันชั่งอันยากที่จะต้านทานไว้ได้

“เพียะ”

หลงเฉินไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกตกใจอันใดออกมา เพียงแค่ปัดหมัดของโจวเย้าหยาที่กำลังพุ่งเข้ามาตรงหน้าของเขาออกไป พลังหมัดทั้งสองประสานเข้าหากันจนก่อเกิดพายุหมุนวนกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ เกิดเสียงปะทะของลมดังสนั่นกึกก้อง

ผู้คนทั้งหมดโดยรอบที่เห็นต่างพากันอ้าปากตาค้าง พลังหมัดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความบ้าคลั่งของโจวเย้าหยางกลับถูกหลงเฉินผลักออกไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

โจวเย้าหยางตกใจขึ้นมายกใหญ่ เขาสัมผัสได้ว่าบนหมัดของตนเองนั้นหากทุบลงที่ภูเขาลูกใหญ่  อาจจะระเบิดแตกเป็นธุลีดินก็เป็นได้

และฝั่งตรงข้ามเยี่ยงหลงเฉินที่แม้แต่หนังตาก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย เริ่มปรากฏรอยยิ้มแสนชั่วร้ายขึ้นมาที่มุมปาก

“โจวเย้าหยาง คราวนี้ถึงคราวของข้าบ้างแล้ว!”

โจวเย้าหยางขุนหัวลุกขึ้นมาทันที เขารู้สึกราวกับถูกสัตว์ประหลาดยักษ์ใหญ่ตนหนึ่งจับจ้องอยู่อย่างไรอย่างนั้น สติของเขาไม่อยู่กับร่องกับรอย รีบร้อนถอยร่นไปทางด้านหลังอย่างไม่คิดชีวิต

แต่ทว่าสิ่งที่ตามมากลับไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดหวังเอาไว้ มือของหลงเฉินคว้าจับไปยังหมัดของเขาไว้แน่น ไม่ว่าเขาจะดิ้นจนสุดชีวิตเช่นไรก็เหมือนแมลงปอติดตาข่าย ไม่อาจที่จะขยับหนีไปที่ใดได้

โจวเย้าหยางสติแตกด้วยความกลัวถึงที่สุด นี่เป็นพลังอับมหาศาลจากที่ใดกัน หลงเฉินจึงกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดแสนน่ากลัวไปได้ถึงเพียงนี้ เพียงการฝึกยุทธ์จะทำให้กลายเป็นคนละคนไปจากเดิมแทบทั้งสิ้นได้เชียวหรือ ควบคุมจนข้าผู้นี้ดิ้นก็ไม่ได้คลายไม่หลุด

“ซูม”

ทว่าโจวเย้าหยางก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง อีกทั้งยังมักจะออกติดตามบิดาไปล่าสัตว์ปีศาจ และเคยพบเจอเหตุการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาก่อน แม้ไม่อาจที่จะสงบจิตใจที่หวาดกลัวเมื่อไม่สามารถสลัดหลุดจากเงื้อมมือของหลงเฉิน จึงได้ยกเท้าขวาเตะเข้าไปยังน่องของหลงเฉินทันที

กระบวนท่านี้เป็นการโจมตีศัตรูอย่างเฉียบพลันเพื่อเอาตัวรอดอย่างหนึ่ง แม้จะธรรมดาสามัญแต่ก็ได้ผลดีอยู่ไม่น้อย แต่ว่าหลงเฉินมองออกและไม่ได้หลบเท้าข้างนั้นของโจวเย้าหยางที่กำลังเตะเข้ามา เขาทำเพียงขยับมืออีกข้างเบาๆ

“รับมือ”

หลงเฉินตะโกนออกมาเสียงดังประดุจเสียงฟ้าผ่าท่ามกลางท้องฟ้าที่มีแดดส่อง จนทำให้แก้วหูสะท้านจนยากที่จะทนทานไหว เมื่อโจวเย้าหยางเห็นเช่นนั้นก็ได้พยายามที่จะต้านรับเอาไว้

สายตาทุกคู่ของผู้คนในบริเวณนั้นเกิดประกายความตื่นตกใจขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง หลงเฉินยกโจวเย้าหยางขึ้น แล้วโยนกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง

“ตึง”

เสียงแตกร้าวของพื้นดังขึ้นเป็นแนว พื้นดินเกิดการสั่นไหวคล้ายภูเขาไฟระเบิด ประดุจเสียงกระดูกแตกหักรวดร้าวมากมายนับไม่ถ้วน จนทำให้ผู้คนทั้งหมดเกิดความเจ็บปวดทั้วร่างขึ้นมาตามๆ กัน

“ครืน……ครืน……ครืน”

โจวเย้าหยางที่ถูกกระแทกลงกับพื้นก็ได้กระอักโลหิตออกมาติดต่อกันสามคำ โลหิตที่พุ่งออกมาผสมเอาไว้ด้วยสิ่งปฏิกูลภายในร่างกายนับชิ้นไม่ถ้วน เมื่อกลุ่มคนในบริเวณนั้นเห็นชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บมากเกินกว่าปกติ ไม่อาจจะทนทานรับไว้ได้อย่างมากมาย ภายในร่างกายจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่หยุด และสิ่งที่ออกมาอยู่ภายนอกก็ถือว่าไม่น้อยเช่นกัน

เริ่มมีเสียงตื่นตระหนกจากผู้คนเมื่อเห็นว่าโจวเย้าหยางกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ท่อนล่างของเขาอยู่ในอาการแข็งทื่อ อีกทั้งบนพื้นก็ได้เกิดรอยร้าวเพิ่มขึ้นมาเป็นแนวยาว

หลงเฉินที่สังเกตเห็นว่าโจวเย้าหยางเริ่มมีลมหายใจที่โรยริน ภายในจิตใจก็คิดว่าตนเองได้ใช้พลังออกไปไม่น้อย ลมหายใจในตอนนี้ของเขาถือได้ว่าอยู่ได้นานกว่าครั้งไหนๆ

หลายปีที่ผ่านมานี้สิ่งที่เขาเกลียดชังมากที่สุดก็คือโจวเย้าหยาง เขาเป็นเหมือนฝันร้ายที่ซ่อนอยู่ทุกที่ทุกเวลา คอยรบกวนจิตใจของหลงเฉินมาโดยตลอด

ในเวลานี้ทั่วทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัดจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มร่วง องค์ชายเจ็ดและผู้คนทั้งหมดในบริเวณนั้นต่างก็อยู่ในอาการตกตะลึง แม้แต่เหล่าบุตรขุนนางคนอื่นที่ได้เตรียมพร้อมจะพุ่งเข้ามาก็ต้องหยุดเคลื่อนไหว เมื่อมองเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไปตรงหน้า แทบทุกคนก็ได้กลืนน้ำลายลงคอไปคำหนึ่ง ตลอดทั่วทั้งร่างกายสั่นเทาจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

นับตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้หลงเฉินมีใบหน้าที่สงบเยือกเย็นมาโดยตลอด จนเรียกได้ว่าเป็นภาพจำที่น่าหวาดกลัวที่สุดของผู้คนที่พบเจอ เขาดูคล้ายกับเทพสังหารที่ไร้หัวใจผู้หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

หลงเฉินเหลือบมองไปที่โจวเย้าหยางคราหนึ่งและอดที่จะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็มองไปยังองค์ชายเจ็ดที่อยู่ไกลออกไป ก่อนที่จะค่อยๆ มุ่งหน้าเดินตรงไปยังเขา

องค์ชายเจ็ดที่ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาแต่ใจมาโดยตลอด ตามปกติที่มักจะเป็นฝ่ายรังแกผู้อื่น ทว่ากลับถูกรังแกเสียเองในบัดนี้ ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ยังไม่เคยประสบพบพานมาก่อน เมื่อพบหลงเฉินที่กำลังเดินตรงเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่แสนชั่วร้าย เขาก็อดที่จะเผยใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษขาวออกมาไม่ได้

“เจ้าคิดจะทำอะไรกัน? อย่าได้เข้ามานะ!”

เสียงขององค์ชายเจ็ดสั่นเครือด้วยความกลัวถึงที่สุด เขาสัมผัสได้ถึงแววตาที่แผ่รังสีสังหารออกมาอย่างแรงกล้าของหลงเฉิน ราวกับว่ามีมีดคมอันแหลมมาจ่ออยู่ที่คอหอยของเขาในตอนนี้ ขอเพียงหลงเฉินไม่มีสติยับยั้งมันเพียงคราเดียวก็อาจสามารถบั่นศีรษะของเขาเป็นเสี่ยงในทันที

หลงเฉินไม่ได้กล่าวอันใด ริมฝีปากยังคงปรากฏรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนหวาดหวั่นเป็นยิ่งนัก และยังคงมุ่งหน้าเดินไปหาองค์ชายเจ็ด

ตอนนี้ทุกคนต่างก็ยังคงอยู่ในภวังค์ความเงียบงัน หลงเฉินคิดจะทำอะไรกัน?  เขาคิดจะสังหารองค์ชายเจ็ดอย่างนั้นหรือ?

“ไม่……อย่าได้เข้ามา”

องค์ชายเจ็ดร่นถอยไปทางด้านหลังไม่หยุด ถอยไปเรื่อยๆ จนหลังชิดกับกำแพง ไม่เหลือหนทางที่จะถอยไปได้อีก

สายตาที่มองเห็นหลงเฉินกำลังใกล้เข้ามาทุกที องค์ชายเจ็ดก็ได้เกิดอาการหวาดผวาจนแสดงออกปากแห้งผาด เหมือนกับกำลังสัมผัสได้ถึงรสชาติของความตายอย่างไรอย่างนั้น

“เป็นเจ้าที่บีบคั้นข้าเอง อย่าได้โทษข้า” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาด้วยความเวทนา หลังสิ้นสุดคำพูดเขาก็ได้ยื่นมือเข้าไปอย่างช้าๆ ในระหว่างนั้นมือขนาดใหญ่ของเขาก็ได้วาดขึ้นไปยังเบื้องหน้าขององค์ชายเจ็ด

“ไม่……” องค์ชายเจ็ดกรีดร้องขึ้นมาจนดังลั่นไปทั่วตำหนักศึกษา  . . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset