ภาพของสาวงามแห่งยุคปรากฎต่อหน้าหลงเฉิน ขนคิ้วเรียวดุจใบหลิว ดวงตาคล้ายกับหยาดน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ผิวขาวผ่องดุจหยก ริมฝีปากสีแดงระเรื่อ เส้นผมนุ่มลื่นดุจสายธารน้ำตก ดวงตาคู่นั้นหันมาประสานเข้ากับดวงตาของหลงเฉินที่กำลังเดินเข้ามา มันทำให้หัวใจของหลงเฉินยิ่งเต้นระรัวจนแทบจะระเบิด
หญิงสาวผู้นั้นราวกับเป็นนางเซียนที่ไม่ได้อยู่ในดินแดนมนุษย์ เพราะว่าการคงอยู่ของนางทำให้ทั่วทั้งจวนรู้สึกราวกับเป็นเขตแดนบนสรวงสวรรค์ หลงเฉินมองหญิงสาวผู้นั้นด้วยอาการตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ มองจนคล้ายกับกำลังจมดิ่งเข้าสู่ความโง่งมจนลึกถึงก้นบึ้ง
หญิงสาวผู้นั้นมีใบหน้าเรียบเนียน ผิวพรรณเปล่งปลั่งอมชมพูเล็กน้อย ทว่าบัดนี้กลับหลับสบตาจากหลงเฉินไปเสียแล้ว ฮูหยินหลงเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงได้กระแอ่มไอเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เฉินเอ๋อ ยังไม่มาทำความรู้จักกับม่งฉีอีกหรือ นางเป็นถึงคู่หมั้นคู่หมายของเจ้าเชียวหนา”
เมื่อเอ่ยคำว่าคู่หมั้น บนใบหน้าของฮูหยินหลงก็เต็มไปด้วยความเบิกบานใจ หลงเฉินเกิดอาการสะดุ้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด เขายังมีเรื่องเช่นนี้อยู่ในชีวิตอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบมาก่อน
“ยินดีที่ได้พบแม่นางม่งฉี” หลงเฉินเห็นมารดาส่งสายตาพยักพเยิดเข้ามาตลอดจึงได้เอ่ยโต้ตอบกลับคืนไป แสดงกิริยาอย่างมีมารยาทขึ้นมา
บนใบหน้าของม่งฉีแดงระเรื่อเพิ่มขึ้นมาดุจมะเขือเทศสุกงอม จะตอบกลับด้วยมารยาทที่ดีเช่นกัน แต่ทว่าริมฝีปากที่ขยับไปมากลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาสักประโยคเดียว
ฮูหยินหลงมองดูทั้งคู่สลับกันแล้วก็ฉีกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า “ม่งฉีจ๊ะ เจ้ากับหลงเฉินต่างก็อยู่ในวัยเดียวกัน พวกเจ้าคุยกันไปก่อน ข้าจะออกไปเตรียมอาหารให้สักครู่”
เมื่อกล่าวจบ ฮูหยินหลงก็ได้ส่งสายตาให้กำลังใจแก่หลงเฉินแล้วก็เดินออกไป จนเหลือแค่เพียงชายหนุ่มและหญิงสาวอยู่ภายในห้องกันสองคน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่เปรียบเสมือนนางเซียนเพียงสองต่อสอง เป็นครั้งแรกที่หลงเฉินไม่ทราบว่าควรจะทำตัวเช่นไรดี ผ่านไปเกือบครึ่งค่อนวันจึงค่อยโพล่งออกมาวลีหนึ่ง “เชิญนั่ง”
ม่งฉีสั่นหน้าเล็กน้อย หันมองไปทางด้านหลงเฉินคราหนึ่ง ทันใดนั้นขนคิ้วก็ได้ขมวดเข้าหากันจนเป็นแนว “หลงเฉิน ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับเจ้าเสียหน่อย พวกเราเปลี่ยนสถานที่สนทนากันดีหรือไม่?”
หลงเฉินงุนงงกับคำพูดของนางเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ ยังคงพยักหน้าไปมา ทั้งสองคนเดินออกมาจากบ้านตระกูลหลง เสาะหาสถานที่ที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง หลงเฉินยังคงสงสัยกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ไม่น้อย
ม่งฉียื่นมือเรียวยาวออกมา ตรงหน้าอกปรากฏตราประทับหนึ่งขึ้นมา เมื่อทราบว่าเป็นวิชาตราประทับก็ทำให้หลงเฉินร้องเสียงหลงออกมาดังลั่น เพราะเขาจดจำได้ถึงความสามารถของวิชาตราประทับนี้——สัญญาการอัญเชิญนี้ถือเป็นพลังความสามารถของผู้ฝึกสัตว์เท่านั้น
ฮูม
ทันใดนั้นท่ามกลางอากาศก็เกิดคลื่นลมหมุนวนรุนแรงดั่งพายุ เสียงหึ่งของลมก้องกังวานอยู่ในห้วงความนึกคิดของหลงเฉิน สัตว์มายาอินทรีย์เศียรราชสีห์ตัวหนึ่งที่สูงใหญ่กว่าสามจั่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของทั้งสอง เกิดเป็นบรรยากาศอันน่าเกรงขามโดยรอบบริเวณนั้น
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้หลงเฉินจะไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ แต่หากกล่าวถึงหนังสือภาพประกอบคำอธิบายของสัตว์มายาแล้ว เขาก็ยังพอรู้เบื้องต้นมาอยู่บ้าง สัตว์มายาตัวนี้มีนามว่าอินทรีเศียรราชสีห์ ถือได้ว่าเป็นสัตว์มายาระดับสองที่มีความร้ายกาจตัวหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าอินทรีเศียรราชสีห์ที่กระพือปีกอยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ยังไม่ได้อยู่ในช่วงโตเต็มวัย แต่ว่าด้านพลังการต่อสู้นั้นต่อให้เป็นถึงยอดฝีมือที่มีขอบเขตพลังขั้นก่อโลหิตโดยทั่วไปก็อาจไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้
ทว่าอินทรีเศียรราชสีห์ตัวนี้ที่ดูดุร้ายกว่าปกติ เมื่อได้อยู่ต่อหน้าม่งฉีกลับคล้ายปักษาเศียรวิฬาร์เสียมากกว่า ทั้งยังลงหมอบอยู่บนพื้นอย่างว่าง่าย
ม่งฉีเดินตรงไปยังสัตว์มายาตัวนั้น ค่อยๆ ขึ้นไปบนหลังของมัน แล้วกล่าวต่อหลงเฉินว่า “ขึ้นมาเถิด”
หลงเฉินมองลึกเข้าไปในดวงตาของม่งฉีก็ได้พบว่าภายในนั้นกำลังว้าวุ่นอยู่ไม่น้อย หลงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ตัดสินใจก้าวตามขึ้นไป
เมื่อเหยียบขึ้นไปยังหลังของสัตว์มายา นี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกของหลงเฉิง เขาไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นนี้ได้ การกระทำเช่นนี้บ้าบิ่นเกินไปแล้ว
ซูม
อินทรีเศียรราชสีห์กระพือปีกกว้างในทันที เกิดกระแสลมเวียนวนไปทั่วบริเวณ ร่างกายอันโอฬารนี้กำลังนำพาทั้งสองคนพุ่งขึ้นสู่เวหา วินาทีนั้นเองหลงเฉินรู้สึกคล้ายกับได้โบยบินอยู่กลางอากาศจนเกือบที่จะร่วงหล่นลงไป
ทันใดนั้นก็มีมืออันขาวผ่องคว้าเข้าที่ข้อมือของหลงเฉินเอาไว้จึงช่วยให้หลงเฉินกลับมานั่งทรงตัวได้อีกครั้ง เกือบไปเสียแล้ว เมื่อเขาหันไปพบว่าใบหน้าของม่งฉีกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มคล้ายกับว่าจะหัวเราะแต่ก็ไม่กล้าที่จะหัวเราะ มันยิ่งทำให้หลงเฉินรู้สึกวางตัวไม่ถูก
“ข้าผู้นี้คงจะมึนเมาจากการเหินเวหาเสียแล้ว” หลงเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย พยายามหาข้ออ้างที่พอจะใช้ได้กล่าวขึ้นมา
ม่งฉีข่มอารมณ์ขำขันเอาไว้ ด้วยเกรงว่าจะเสียมารยาทจึงเบือนใบหน้าไปทางอื่น
อินทรีเศียรราชสีห์เหินเวหาอย่างด้วยรวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดจะเทียบได้ พริบตาเดียวเท่านั้นก็พาพวกเขาออกจากจักรวรรดิไปแล้ว จนกระทั่งมาถึงยอดเขาที่อยู่นอกเมือง
ในเวลานี้พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าละเลงสีแดงชาดดุจโลหิตของดวงตะวัน ทอแสงสุดท้ายไปทั่วทั้งจักรวรรดิดั่งภาพวาดที่แสนงดงามเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองคนยืนอยู่บนยอดเขา ไม่มีผู้ใดกล่าววาจาอันใดออกมา หลงเฉินมองไปยังจักรวรรดิที่อยู่ไกลออกไป แววตาเหม่อลอยเฉกเช่นคนไร้สติ เขารู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
“หลงเฉิน ข้า……” ม่งฉีลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็สูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ก่อนขยับริมฝีปากเพื่อเอ่ยวาจาออกมา
“ที่มาก็เพราะต้องการจะถอนหมั้นใช่หรือไม่?” หลงเฉินถาม แต่สายตายังคงเหม่อมองไปทางจักรวรรดิ
ภายในอกของม่งฉีสั่นระรัวขึ้นเหมือนถูกเขย่าอย่างรุนแรง บนใบหน้าแสดงอาการตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด “เจ้า…ทราบอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าก็แค่เดาเท่านั้นเอง” หลงเฉินค่อยๆ ละสายตากลับมามองไปที่ใบหน้าอันขาวผ่องของม่งฉีแล้วกล่าว “ขอบใจเจ้ามากนะ”
“ขอบคุณข้าหรือ?” ม่งฉีสงสัย
“ขอบคุณที่เจ้าไม่ได้เอื้อนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้ามารดาของข้า ไม่ได้ทำให้นางต้องรู้สึกเจ็บปวดใจ อีกทั้งยังช่วยรักษาหน้าให้แก่ข้าด้วย ดังนั้นข้าจึงต้องขอบคุณเจ้า” หลงเฉินยิ้ม
ม่งฉีมองไปทางหลงเฉิน หลายวันมานี้นางได้ตามสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมานี้ของหลงเฉิน สืบจนเข้าใจอย่างถ่องแท้
นางคิดว่าหากหลงเฉินได้ฟังเรื่องเช่นนี้แล้วคงจะต้องเกิดความขุ่นเคืองในใจ ทั้งยังอาจจะคลุ้มคลั่งดั่งหมาบ้าขึ้นมา หรืออาจจะถึงขั้นระเบิดพลังออกมาเป็นแน่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมาพบกับสถานการณ์เฉกเช่นที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้
“ข้าทราบดีว่าเจ้านั้นเป็นถึงสาวงามผู้มีพรสวรรค์ยิ่ง ด้วยอายุที่ยังเยาว์แค่นี้แต่กลับสามารถฝึกสัตว์มายาระดับสองมาเป็นพาหนะได้
และในตอนนี้ข้าก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เราทั้งสองแทบจะอยู่กันคนละโลกเลยก็ว่าได้ ที่เจ้าคิดเช่นนั้นก็ไม่นับว่าผิดแต่อย่างใด เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บไปวิตกจนลำบากใจเลย” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นช่างแสนอบอุ่นเหลือเกินจนทำให้ม่งฉีรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างที่สุด
แต่อีกด้านหนึ่งของจิตใจของนางกลับรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมา ชายหนุ่มที่นางกำลังจ้องมองอยู่ตอนนี้เพิ่งผ่านความยากลำบากมากมายในช่วงที่ผ่านมา ตนเองยังคิดที่จะเชือดเฉือนน้ำใจของเขาดั่งขยี้แผลที่ถูกโรยเกลือลงไป การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่ว่าแล้งน้ำใจเกินไปหรอกหรือ?
“ให้เวลาข้าสักช่วงหนึ่ง ข้าจะโน้มน้าวมารดาของข้าเอง เรื่องถอดถอนการหมั้นหมายนี้ ข้าให้สัญญาต่อเจ้าว่าจะไม่ให้เจ้าคอยนานจนเกินไปอย่างแน่นอน”
หลงเฉินกล่าวจบก็หันหลังแล้วเดินจากไปอย่างช้าๆ ในเวลานี้สุริยันกำลังจะลับขอบฟ้า แสงส่องไปยังร่างที่ผ่ายผอมเกิดเป็นเงาส่องพื้นไปตามเส้นทางตามหุบเขาทำให้เกิดความรู้สึกเดียวดายอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของหลงเฉินที่กำลังลับหายไป ดวงตาคู่งามของม่งฉีก็ปรากฏหยาดน้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย มืออันขาวผ่องกำแน่น สั่นเทาไปทั้งตัว
“ที่ข้าทำลงไปเช่นนี้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ถูกหรือว่าผิดกัน?”
ทางด้านหลังของม่งฉีปรากฏร่างบอบบองของสาวน้อยนางหนึ่งกำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ปลอบโยนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเช่นกัน “ในเมื่อกล่าวออกไปเช่นนั้นแล้ว ก็ถือได้ว่าทำเต็มที่แล้ว แต่ทว่าหลงเฉินผู้นี้ดูไปก็น่าสงสารอยู่ไม่น้อยเลย”
หญิงสาวทั้งสองนางมองไปยังหลงเฉินจนหายลับสายตาไป
ขณะที่หลงเฉินกำลังเดินลงจากเขา เขาก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างมหาศาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในเวลานี้เพิ่งจะได้พบกับม่งฉีเป็นครั้งแรก เขาก็ได้ก่อเกิดความรักใคร่ชื่นชมขึ้นมาจากภายในก้นบึ้งของดวงใจไปเสียแล้ว
ม่งฉีเป็นดั่งหญิงสาวที่ไม่อาจอยู่บนโลกดุจนางฟ้านางสวรรค์ชั้นที่เก้า หลงเฉินที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่งจะไม่ให้หวั่นไหวในใจก็อาจจะเป็นเรื่องที่ผิดแผกแปลกจากมนุษย์คนอื่นก็เป็นได้
แม้จะกล่าวว่าเขามีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ แต่นั่นก็เป็นเพียงความทรงจำด้านการหลอมโอสถเท่านั้น ความทรงจำด้านอื่นๆ เขาหาได้มีไม่ อารมณ์ของเขาในตอนนี้ยังคงเป็นของเด็กหนุมวัยสิบหกสิบเจ็ดเท่านั้น
แม้ว่าความรู้สึกจะก่อเกิดขึ้นมาเช่นนี้ ทว่าเขากลับไม่ทันที่จะได้สารภาพความรู้สึกออกไปก็เหมือนแพ้เสียตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มต้นแล้ว
ไม่มีคนใดที่สามารถแบกรับจิตใจที่อยู่ในสภาพยับเยินเช่นนี้ได้ ถึงแม้พลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินจะแข็งแกร่งกว่าใครคนใด แต่ก็ยังมีความรู้สึกอ่อนไหวได้อย่างง่ายดายเหมือนผู้คนอื่นเช่นกัน
ในตอนนี้ม่งฉีกำลังเรียกอินทรีเศียรราชสีห์ออกมา หลงเฉินเองก็เกิดความรู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงพ่นวาจาออกมาประโยคหนึ่ง
“ยังไม่ทันได้คบหาก็ต้องอกหักเสียแล้ว”
ภายในจิตใจของหลงเฉินรู้สึกขมขื่นและปวดร้าว เขาร้องตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ต้องมาประสบกับเหตุการณ์อันอยุติธรรมและทำร้ายจิตใจเช่นนี้ แม้จะยังไม่ได้ร่ำไห้ออกมา แต่ว่าครั้งนี้กลับรู้สึกหนักหนาเสียเหลือเกินจนอยากที่ร่ำร้องออกมาอย่างไม่อายใครเสียจริง
เขาสามารถสัมผัสได้ว่าม่งฉีเป็นสตรีที่จิตใจงามผู้หนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่วิตกกังวลต่อความรู้สึกของเขาเช่นนี้ เพียงแค่ใช้วิธีการขอถอนหมั้นโดยตรงออกมาก็เพียงพอแล้ว
หลงเฉินเองก็ไม่ต้องการที่จะถอนหมั้น แต่ว่าจะทำเช่นไรได้หรือ? ร้องไห้ฟูมฟาย หลั่งน้ำตาจนเป็นสายโลหิตไปขอร้องชาวบ้านอย่างนั้นหรือ?
เอาเถิด หากสามารถย้อนเวลากลับมาได้จริง หลงเฉินก็คงจะทำเช่นเดิมอยู่ดี ที่สำคัญก็คือต่อให้เขาทำเหมือนสิ่งที่กำลังคิดเสียดายเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรอยู่ดี
สู้ลาจากกันด้วยดียังจะดีเสียกว่า รีบยอมรับความเจ็บปวดใจ เรื่องเพียงแค่นี้ยังคงพอที่จะรับได้อยู่
หลงเฉินที่เพิ่งจะกลับมาถึงจวน มารดาของเขาก็ได้ซักถามเสียยกใหญ่ว่าทั้งสองคนได้สนทนาอะไรกันบ้าง มีอะไรคืบหน้าหรือเปล่า มีเหตุการณ์ที่ถึงขั้นถึงเนื้อถึงตัวแล้วหรือไม่
ภายในจิตใจเต็มไปความอัดอั้น หลงเฉินทำใจไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อตั้งสติได้แล้ว เขาก็ตอบกลับด้วยคำถาม “ท่านแม่ ข้ากับม่งฉี แท้จริงแล้วมีการหมั้นหมายกันได้อย่างไร เหตุใดจึงไม่เคยเห็นพวกท่านบอกกล่าวต่อข้ามาก่อนเลย?”
เมื่อได้ยินหลงเฉินถามขึ้นเช่นนั้น ภายในแววตาทั้งสองข้างของฮูหยินหลงก็ปรากฏความเศร้าสลดขึ้นมา เพียงชั่วครู่ก็ได้เก็บซ่อนกลับไป
นางบอกต่อหลงเฉินว่าในสมัยก่อนนั้นทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันยิ่งนัก บิดาของหลงเฉินและบิดาของม่งฉีได้ผ่านการสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกันนานจนได้ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า หากมีบุตรชายทั้งคู่จะให้เป็นสหายกัน มีบุตรสาวทั้งคู่ก็ให้เป็นพี่สาวน้องสาว หากเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็จะให้เป็นสามีภรรยากัน
หลงเฉินแสยะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย พวกท่านช่างคึกคะนองกันไปแล้ว คิดแทนผู้อื่นใปเสียหมดจนบัดนี้เป็นข้าที่กลับต้องมานั่งทนทุกข์กับความเจ็บปวดจนกล่าวอะไรไม่ได้เสียเอง
“ท่านแม่ ข้ารู้สึกว่าข้ากับม่งฉีไม่ค่อยเหมาะสมกันเสียเท่าไร” หลงเฉินครุ่นคิดอยู่นาน จนในที่สุดก็ได้กัดฟันกล่าวออกมา
“อะไรนะ?” สีหน้าของฮูหยินหลงคล้ายกับได้ยินไม่ชัด มองไปทางหลงเฉินอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“แค๊ก ท่านแม่ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ที่จะบอกก็คือข้ารู้สึกว่าเราทั้งคู่ไม่ค่อยเหมาะสมกันสักเท่าใดนัก ยังคง……” หลงเฉินกล่าวต่อด้วยความรู้สึกฝืนใจ
“เหลวไหล เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลอะไรของเจ้ากัน ม่งฉีเปรียบเสมือนนางฟ้านางสวรรค์มาจุติ เหตุใดจึงไม่เหมาะสมกัน?” ฮูหยินหลงเกิดโทสะผ่านน้ำเสียงและสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่ ท่านฟังที่ข้าจะพูดก่อน เรื่องราวของความรักคือการยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่ายจึงจะมีความหมาย นี่พวกท่านยินยอมพร้อมใจกันไปเอง เกิดสัญญาสาบานให้หมั้นหมายกันแล้ว นี่ไม่ใช่เรียกว่าการทึกทักไปเองหรอกหรือ?” หลงเฉินฝืนยิ้มแล้วกล่าว
“เจ้า…เจ้าต้องการที่จะทำให้มารดาต้องโกรธจนตายจากกันไปหรืออย่างไร?” ฮูหยินหลงยังไม่ทันจะฟังหลงเฉินกล่าวจบก็หลั่งน้ำตาออกมาด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุด
ในตอนนี้หลงเฉินอึดอัดใจเสียยิ่งกว่าตอนที่เจอเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาเสียอีก แต่ก็ไม่อาจที่จะเอ่ยความรู้สึกที่แท้จริงในใจออกมาได้ มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น ฮูหยินหลงร้องห่มร้องไห้อยู่พักหนึ่ง เมื่อหยุดร้องก็ได้ถามขึ้นมา “เฉินเอ๋อ เจ้าบอกมารดามาตามตรง เป็นม่งฉีที่เปลี่ยนใจใช่หรือไม่?”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ม่งฉีเป็นเด็กสาวที่จิตใจดีคนหนึ่ง เป็นข้าเองที่รู้สึกว่ามันกะทันหันจนเกินไป ยังคงรับไม่ได้อยู่บ้าง” หลงเฉินตอบกลับมาอย่างลนลาน
“ไม่ต้องพูดแล้วเด็กเอ๋ย เป็นบิดาและมารดาที่ผิดต่อเจ้าเอง”
ฮูหยินหลงก็ไม่ใช่คนโง่งม หลงเฉินมีนิสัยเช่นไร มีหรือที่นางจะไม่ทราบ เมื่อใช้เวลาจัดการกับความคิดอันวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่งก็ทราบได้ว่าลึกลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจไม่ได้ง่ายดายอย่างที่สายตาประจักษ์อยู่ นางโผเข้ากอดหลงเฉินที่ตอนนี้ร่ำไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
“ท่านแม่ ไม่ได้มีอันใดเลวร้ายอย่างที่ท่านคิดเอาไว้หรอก ข้าเพียงแต่จะบอกว่าในตอนนี้ยังไม่เหมาะสมกับนางก็เท่านั้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าในภายหน้าจะไม่เหมาะสมกับนาง” หลงเฉินฝืนยิ้มให้มารดาของเขา
“ข้าคิดว่าให้ทำการถอนหมั้นไปก่อน จากนี้ไปบุตรของท่านจะใช้มานะของตนเองทำให้นางกลับมาอีกครั้ง มาเป็นมาเป็นสะใภ้ของท่าน นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ?” หลงเฉินเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มกว้าง
“ชิ มันง่ายดายเช่นนั้นเสียที่ไหนเล่า ม่งฉีมีความงดงามดุจนางเซียนบนสรวงสวรรค์ คนที่หมายปองก็มีมากเสียเหลือเกิน เมื่อไม่มีหนังสือหมั้นหมาย มีหรือที่จะมีส่วนที่เหลือสำหรับเจ้า?”
ฮูหยินหลงถอนหายใจติดต่อกันแล้วกล่าว “ที่เจ้าว่ามาก็ถูก เรื่องเช่นนี้หากฝืนใจไปก็ไม่ใช่เรื่องดี ในเมื่อเป็นเรื่องการหมั้นหมายของเจ้า เจ้าเองก็เติบใหญ่แล้ว ท้ายที่สุดก็คงต้องแล้วแต่เจ้าเอง”
“ขอบคุณท่านแม่” ในที่สุดหลงเฉินก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
ฮูหยินหลงหันไปหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งออกมาจากใต้เตียง แล้วก็นำม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งที่อยู่ภายในออกมายื่นให้แก่หลงเฉินแล้วกล่าวว่า “นี่คือหนังสือหมั้นหมายของเจ้า หากเจ้าคิดที่จะถอนหมั้นจริงก็เพียงแค่นำมันไปทำลายทิ้งเสีย”
หลงเฉินรับม้วนกระดาษมันแผ่นนั้นมา ความรู้สึกสลดใจถาโถมเข้ามาปะทะอย่างต่อเนื่อง ภาพหญิงสาวผู้ที่มีความงามดุจนางเซียนบนสรวงสวรรค์ได้ค่อยๆ เลือนหายไปเช่นนี้ อย่างไรเสียก็ยังรู้สึกอดเสียดายขึ้นมาไม่ได้