เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 9 สภาผู้หลอมโอสถ

ปัง!

 

 

 

 

 

เสียงระเบิดเกิดขึ้นดังสนั่นหวั่นไหว ผู้คนทั้งสนามประลองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องอ้าปากตาค้าง ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดที่หลงเฉินไปปรากฏกายอยู่ตรงหน้าของหลี่เฮ่าดุจภูติพราย แท้จริงแล้วนี่ก็คือผลลัพธ์จากการใช้ท่าเท้าไล่วายุ ทั้งรวดเร็วและพิสดาร โดยเฉพาะเมื่อได้ใช้ในระยะที่ใกล้ยิ่งทำให้ผู้คนที่พบเจอไม่อาจทำการป้องกันได้ทัน

 

 

 

 

 

บัดนี้กรงเล็บทั้งสองข้างของหลี่เฮ่าได้หยุดค้างอยู่กลางอากาศ เท้าข้างหนึ่งของหลงเฉินเตะเข้าไปที่กึ่งกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาอย่างเต็มที่ด้วยพลังทำลายล้างอันมหาศาล จนทำให้เขาลอยกระเด็นขึ้นไปอยู่กลางอากาศ

 

 

 

 

 

หลังจากเสียงที่ดังสนั่นนั้นดังขึ้นมา บางอย่างที่มีลักษณะกลมกลิ้งก็ได้หลุดออกมาจากกางเกงของหลี่เฮ่าและกระเด็นจากเวทีไปยังท่ามกลางของกลุ่มผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง

 

 

 

 

 

หวังหมางที่กำลังยืนฝันหวานอยู่ว่าหลี่เฮ่าจะจัดการกับหลงเฉินจนมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปยังเสียดีกว่า กลับต้องปากอ้าตาค้างเหมือนกับผู้คนอื่นเช่นกัน เมื่อพบเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในฉากเบื้องหน้าสายตาของเขาตอนนี้

 

 

 

 

 

เขาแทบจะไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีสิ่งที่มีขนาดเท่าลูกองุ่นลูกหนึ่งกำลังลอยตรงเข้ามาใกล้กับปากที่กำลังอ้าค้างอยู่ของเขา เพียงชั่วอึดใจเดียวที่เขากำลังคิดออกว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันก็ได้เข้าไปยังภายในปากของเขาเสียแล้ว

 

 

 

 

 

ยังไม่ทันรอให้เขามีปฏิกิริยาตอบกลับคืนมา ของที่มีลักษณะไหลลื่นสิ่งนั้นได้เคลื่อนตัวผ่านลำคอจนเข้าไปภายในท้องของเขา มันแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นสาบประหลาดแสนพิลึกพิกล

 

 

 

 

 

“อา”

 

 

 

 

 

ไม่นานนักหวังหมางค่อยๆ มีปฏิกิริยากลับคืนมา เขารีบใช้นิ้วมือล้วงเข้าไปในลำคอของตัวเอง เขากระอักกระอ่วนอยู่เกือบครึ่งค่อนวันจึงได้คายบางอย่างที่มีลักษณะกลมกลิ้งลูกนั้นออกมา

 

 

 

 

 

เมื่อโจวเย้าหยางและพวกที่อยู่ทางด้านข้างของหวังหมางมองดูไปที่สิ่งที่กลมกลิ้งลูกนั้นก็เกิดอาการคลื่นไส้ไปตามๆ กัน รีบจ้วงเท้าหลบออกไปยังรอบด้านคนละก้าว

 

 

 

 

 

“อา…น้องไข่ของข้า”

 

 

 

 

 

ด้านบนเวทีขณะนี้ หลี่เฮ่าที่ส่งเสียงร่ำร้องอย่างโอดครวญกำลังเอื้อมมือคว้าไปยังชิ้นส่วนสำคัญของตนเอง สีหน้าบิดเบี้ยวได้กระตุกไปมา ถ้าหากก่อนหน้านี้ไม่ใช้พลังลมปราณคุ้มครองร่างเอาไว้ เขาอาจจะต้องเจ็บปวดจนสลบไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ทั่วทั้งสนามเกิดความเงียบงันดุจป่าช้า ผู้คนมากมายต่างทอดสายตามองไปยังหลี่เฮ่าเป็นทางเดียว แล้วก็สลับมองไปยังสิ่งที่หลุดลอยออกมาในจุดที่ห่างไกลออกไป ทั้งหมดทั้งมวลมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจอย่างไม่อาจปิดบังได้

 

 

 

 

 

“นี่ก็พอดีเลย ภายหลังในยามที่เจ้าเดินเหินก็ไม่ต้องกังวลจนเดินท่าแปลกๆ แบบนั้นอีกแล้ว” หลงเฉินพยักหน้าไปมาแล้วกล่าว

 

 

 

 

 

“เจ้า! ……”

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่าโกรธจนเลือดขึ้นหน้า สายตาบาดคมจนแทบใช้กรีดแทงได้แทนมีด ของรักของหวงที่สุดของตนเองที่เหลือเพียงชิ้นเดียวยังต้องมาถูกพรากไป ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เข้าไปในท้องของหวังหมางจนถูกกรดในกระเพาะกัดกร่อน ต่อให้นำกลับมาได้ก็ไม่อาจนำกลับมาใช้งานได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

ลูกหนึ่งถูกสุนัขคาบไปกิน ลูกนี้ก็ไร้ประโยชน์ไปแล้ว ตอนนี้หลี่เฮ่าถูกลิขิตให้ต้องกลายเป็นคนไร้ค่าที่ไร้ซึ่งผู้สืบสกุลไปแล้ว

 

 

 

 

 

“ตายไปแต่โดยดีเถิด——หมัดทลายหินผา”

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่าตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล ฝืนไหลเวียนพลังลมปราณขึ้นมาอีกครั้งเพื่อที่จะยับยั้งความเจ็บปวดของส่วนล่างเอาไว้ เขาออกหมัดข้างหนึ่งพุ่งเข้าไปยังหลงเฉิน หมัดอันเต็มเปี่ยมไปด้วยสภาวะที่เดือดพล่านปะทะกับอากาศจนกลายเป็นเสียงฝ่าสายลมอย่างดัง

 

 

 

 

 

พลังของขั้นก่อรวมระดับที่สามทั้งหมดถูกระเบิดออกมาจนสิ้น เขาในตอนนี้ได้เข้าสู่สภาวะที่บ้าคลั่งอย่างหยุดยั้งตัวเองไม่ได้ ลืมเลือนทุกเรื่องที่โจวเย้าหยางกำชับเอาไว้ มีเพียงจิตใจที่ต้องการจะเด็ดหัวของหลงเฉินออกมาเท่านั้น

 

 

 

 

 

หลงเฉินมองไปที่หลี่เฮ่าที่กำลังระเบิดพลังทำลายล้างออกมาอย่างบ้าคลั่ง ภายในแววตาทั้งคู่คล้ายเพลิงแค้นกำลังลุกโชนอยู่ ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงก้องกังวานดั่งอัสนีบาติคลุ้มคลั่ง พสุธาสั่นสะเทือนไปรอบด้าน เสียงดังสนั่นเสียดแก้วหูของผู้คนโดยรอบ

 

 

 

 

 

พลังทำลายไร้รูปแบบขุมหนึ่งซัดสาดออกมาเป็นระลอก หลงเฉินยืนนิ่ง ไม่คิดจะหลบหลีกแต่อย่างใด ทำแค่เพียงสะบัดกำปั้นออกไปเท่านั้น

 

 

 

 

 

“พลังวัวคลั่ง”

 

 

 

 

 

ตูม!

 

 

 

 

 

เสียงอันดังสนั่นหวั่นไหวเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของกระดูกที่แตกสะบั้น หลี่เฮ่ากรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด โลหิตฉีดพุ่งขึ้นไปทั่วท้องฟ้า ปฏิกิริยาของผู้คนเต็มไปด้วยความหวาดผวาเมื่อเห็นว่าแขนข้างหนึ่งของหลี่เฮ่าถูกทำลาย

 

 

 

 

 

หลงเฉินยังคงอยู่ในสภาวะที่ออกหมัดเมื่อครู่นี้ แววตาที่เยือกเย็น สีหน้าที่เรียบเฉย แต่แผ่คลุมบริเวณรอบสนามประลองไปด้วยรังสีอำมหิตจนทำให้ผู้คนหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

หลงเฉินในเวลานี้คล้ายกับเทพสังหารผู้เลือดเย็น ทั่วทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันเย็นเยือก ใครที่ได้พบเห็นอาจตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไว้ไม่อยู่

 

 

 

 

 

ทั่วทั้งสนามเงียบดุจป่าช้าอีกคราแล้ว เมื่อครู่ที่หลงเฉินระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา แม้แต่โจวเย้าหยางที่มีพลังขั้นก่อรวมถึงระดับที่เจ็ดก็ยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวจนหาที่สุดไม่ได้ของชายผู้นี้

 

 

 

 

 

“เป็นไปได้อย่างไร เขาสามารถใช้ทักษะยุทธ์ออกมาได้อย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

“เขาไม่ใช่ว่าไม่อาจที่จะฝึกยุทธ์อย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

 

 

 

 

 

“สายตานั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน”

 

 

 

 

 

ผู้คนต่างเกิดความหวาดผวาขึ้นภายในจิตใจ ผู้คนที่แต่เดิมเอาแต่ดูถูกดูแคลนหลงเฉิน ตอนนี้กลับมีจิตใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อได้มองไปที่หลี่เฮ่าที่นอนแผ่ร่างอยู่บนเวทีก็คล้ายกับมองเห็นตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะต้องกระตุ้นพลังลมปราณของตนเองขึ้นมาเพื่อต้านทานความเยือกเย็นนี้

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่าถูกทำลายแขนไปข้างหนึ่งทั้งเป็นนอนแผ่อยู่บนเวที โลหิตไหลนองเต็มพื้น หมัดของหลงเฉินไม่เพียงแต่บดขยี้แขนข้างนั้นของเขาไป แต่ยังทำลายเข้าไปจนถึงเส้นเอ็นของเขาอีกด้วย

 

 

 

 

 

แม้แต่ตัวหลงเฉินเองก็ยังตื่นตระหนกอยู่กับสิ่งที่เขาทำลงไป ดูเหมือนว่าตนเองจะเข้าใจผิดอย่างมหันต์เกี่ยวกับกายานวดาราไปเสียแล้ว แม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาและมีทักษะยุทธ์ระดับล่าง แต่ภายใต้การไหลเวียนพลังจากมันกลับสามารถระเบิดพลังออกมามหาศาลอย่างน่ากลัวเช่นนี้ได้

 

 

 

 

 

เมื่อได้สติแล้วเขาจึงเดินตรงไปหาหลี่เฮ่าอย่างช้าๆ ภายใต้ความเงียบที่ปกคลุมอยู่บนเวที แม้แต่เสียงเข็มร่วงก็ยังได้ยิน เสียงฝีเท้าของหลงเฉินจึงดังขึ้นมาอย่างชัดเจนดั่งเพชฌฆาตก้าวย่างเข้ามา ดังทุ้มกระทบจิตใจของทุกผู้คน

 

 

 

 

 

ตึก……ตึก……ตึก……

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่าในเวลานี้แทบจะสูญสิ้นความโกรธแค้นดุจหมอกควันไปตั้งแต่แรกแล้ว ขณะนี้บนใบหน้ากลับมีแต่ความหวาดกลัว เมื่อได้พบเห็นหลงเฉินกำลังเดินเข้ามาใกล้ เขาก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “เจ้าอย่าได้…เข้ามา”

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่าคิดที่จะเบี่ยงตัวถอยไปทางด้านหลัง แต่ว่าเขาเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดจนไม่อาจที่จะใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายได้เลยแม้แต่น้อย หลงเฉินก็กำลังเยื้องย่างเข้ามาใกล้คล้ายกับเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจจะสลัดหลุดไปได้

 

 

 

 

 

“อย่า……อย่าฆ่าข้า เป็นโจวเย้าหยางที่บ่งการให้ข้าทำ” ช่วงเวลานี้หลี่เฮ่าร่ำไห้ออกมาอย่างไม่กลัวอาย

 

 

 

 

 

โจวเย้าหยางที่อยู่เบื้องล่างของเวทีมีสีหน้าซีดลง เขาตะโกนขึ้นมาด้วยโทสะพุ่งพล่าน “หลี่เฮ่า เจ้ากำลังกล่าวเหลวไหลอันใดอยู่?”

 

 

 

 

 

“ข้าไม่ได้กล่าวเหลวไหล เป็นเจ้าคนเดียวที่ให้พวกเราตั้งตนเป็นปรปักษ์กับหลงเฉินเอง บอกว่าหลังเสร็จเรื่องจะตอบแทนพวกเราอย่างงาม ชั่วชีวิตนี้เป็นเพราะเจ้าที่ทำร้ายข้า” หลี่เฮ่าชี้ไปที่โจวเย้าหยางและพ่นคำพูดรัวเร็วออกมาราวกับคนบ้าเสียสติ ภายใต้การเผชิญหน้ากับความตาย เขาถึงกับลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยจงรักภักดี

 

 

 

 

 

“หลี่เฮ่า เจ้ารนหาที่ตาย” สีหน้าโจวเย้าหยางเปลี่ยนเป็นเย็นชา แววตาทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร

 

 

 

 

 

“โจวเย้าหยาง เจ้าตัวบัดซบ เจ้าหลอกใช้ข้า หลงเฉิน…ข้าจะบอกต่อเจ้า แท้จริงแล้วโจวเย้าหยางก็เป็นเพียงแค่สุนัขรับใช้เท่านั้น ความจริงแล้ว……”

 

 

 

 

 

จู่ๆ หลงเฉินก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่รุนแรงขึ้นมาคล้ายกับได้กลิ่นอายของความตาย จนร่างกายของเขาร่นถอยออกมาเองโดยไม่ทันรู้ตัว

 

 

 

 

 

ทว่าหลังจากที่หลงเฉินถอยออกมา กลับพบว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นแต่อย่างใด หลงเฉินหันกลับไปมองทางหลี่เฮ่าอีกครั้งก็พบว่าหลี่เฮ่าตาเหลือกขึ้นมาและสิ้นใจกลายเป็นศพไปเสียแล้ว

 

 

 

 

 

หลงเฉินทอสีหน้าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันรวดเร็วเหลือเกิน พลันเหลือบมองเข้าไปยังกลุ่มผู้คนหนึ่ง พบเพียงคนที่สวมหมวกงอบอยู่กำลังวิ่งตะบึงมุ่งไปยังภายนอกอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจก็ได้หายลับไปจากสายตาของเขา

 

 

 

 

 

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ผู้คนมากมายตกอยู่ในความโกลาหล เห็นได้ชัดว่าบุคคลลึกลับผู้นั้นเป็นคนสังหารหลี่เฮ่านั่นเอง

 

 

 

 

 

“หลงเฉินเป็นฝ่ายชนะ”

 

 

 

 

 

หลังจากที่ความวุ่นวายได้ผ่านครู่หนึ่ง ผู้ดูแลเวทีประลองยังคงไม่ลืมที่จะประกาศผลการประลองออกมา

 

 

 

 

 

ถึงแม้หลี่เฮ่าจะไม่ได้ถูกหลงเฉินเป็นผู้สังหาร แต่ว่าหลี่เฮ่าก็ได้พ่ายแพ้ให้แก่หลงเฉินไปแล้ว จะฆ่าหลี่เฮ่าหรือไม่ก็ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ ดังนั้นการตัดสินจึงถือว่าหลงเฉินเป็นฝ่ายชนะอย่างไร้ข้อกังขา

 

 

 

 

 

ชัยชนะที่ตกเป็นของหลงเฉิน ผู้คนนับไม่ถ้วนก็อดไม่ได้ที่จะเสียดายถึงผลลัพธ์ที่ออกมา นี่เกือบที่จะทำให้พวกเขาหมดตัวเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

มีอยู่หลายสิบคนที่อดไม่ได้จนตะโกนออกมาอย่างคุ้มคลั่งคล้ายกระทิงขวิด เพราะพวกเขาได้เดิมพันข้างหลงเฉินเอาไว้ รวมไปถึงเจ้าอ้วนและพวกพ้องที่ตะโกนออกมาสุดเสียงยิ่งกว่าฝูงหมาป่าเห่าหอน

 

 

 

 

 

หลี่เฮ่าที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเวทีประลองกลับไม่มีผู้ใดสนใจ นอกเสียจากคนที่อยู่ทางด้านล่างเวทีประลองที่กำลังแจ้งต่อตระกูลของเขาเพื่อให้มารับศพกลับไป

 

 

 

 

 

บนเวทีประลองชี้ตายนี้ได้อยู่ในการควบคุมดูแลด้วยกฎหมายของจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดที่สูญเสียก็ไม่อาจที่จะตามล้างแค้นได้ อีกทั้งหลี่เฮ่าก็เป็นเพียงลูกนอกสมรสเท่านั้น สถานภาพจึงไม่ได้สูงส่งมากนัก คนหนึ่งคนก็ได้ตายไปแล้วไม่ควรก่อให้เกิดคลื่นใหญ่ตามมาภายหลังแต่อย่างใด นี่จึงถือเป็นจุดที่แข็งแกร่งของจักรวรรดิเฟิงหมิงนั่นเอง

 

 

 

 

 

หลงเฉินก้าวลงจากเวทีและได้รับการต้อนรับเยี่ยงวีรบุรุษจากเจ้าอ้วนและพวกพ้อง ซือเฟิงวิ่งเข้ามาสวมกอดหลงเฉินอย่างแน่นแฟ้น

 

 

 

 

 

“สุดยอดไปเลย เจ้าเปลี่ยนเป็นผู้ร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน แล้วก็ไม่บอกกันเสียตั้งแต่แรก ข้าที่เฝ้ารออยู่ทางด้านล่างร้อนรนจนจิตใจแทบจะลุกไหม้อยู่แล้ว” ซือเฟิงกล่าวแกมบ่น

 

 

 

 

 

“พี่หลง หลังจากนี้พวกเราจะขอติดตามท่าน ไปไหนก็ไปกัน ท่านต้องให้การคุ้มครองพวกเราด้วยล่ะ” เจ้าอ้วนและพวกห้องทอสายตาเป็นประกายพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง

 

 

 

 

 

หลงเฉินหัวเราะฮาฮาออกมาแล้วกล่าว “ไม่มีปัญหา ไป พวกเราไปรับรางวัลจากการเดิมพันกันเถิด”

 

 

 

 

 

ผู้คนมากมายต่างส่งเสียงร้องให้กำลังใจ บ้างก็มองตอบด้วยแววตาอิจฉาริษยาที่เห็นหลงเฉินรับเงินอันมากมายก่ายกองไปถึงสามร้อยหมื่นตำลึงทอง

 

 

 

 

 

บัตรใสใบหนึ่งที่ได้สลักเอาไว้ด้วยตัวเลขสามร้อยหมื่นตำลึงทองวางอยู่บนฝ่ามือของหลงเฉิน ยิ่งทำให้เขาเกิดความดีใจอย่างลิงโลดเสียยิ่งกว่าการได้สังหารหลี่เฮ่าไปเสียอีก

 

 

 

 

 

เขาทราบว่าหลี่เฮ่าเป็นเพียงปลาเล็กตัวหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่หลี่เฮ่าจะสิ้นลมยังได้เปิดเผยความลับบางอย่างออกมาจนทำให้เขาต้องสะดุ้งออกมา

 

 

 

 

 

เดิมทีแล้วเขาที่คิดว่าตนเองเพียงแค่ถูกชิงชัง เนื่องจากในรุ่นของบิดานั้นเกิดข้อบาดหมางต่อกันมาก่อน แต่บัดนี้กลับดูเหมือนว่าคงจะไม่ง่ายดายอีกต่อไป และตนเองก็ไม่ต่างไปจากหมากตัวหนึ่งในเกมเท่านั้น

 

 

 

 

 

เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น ทางตระกูลก็ขัดสนแร้นแค้น แต่กลับถูกมุ่งเป้าเอาชีวิต เห็นได้ชัดเป็นอย่างยิ่งว่าอาจมีเป้าหมายไปถึงบิดาของเขาด้วยก็เป็นได้

 

 

 

 

 

“ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเสียจริง”

 

 

 

 

 

ทว่าเมื่อมองไปยังบัตรใสสามร้อยหมื่นตำลึงทองที่ใจกลางฝ่ามือ หลงเฉินก็เกิดความเชื่อมั่นในใจอย่างไร้ที่เปรียบ ที่แท้นี่ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่าโชคลาภอันลือเลื่องอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

หลังจากที่ได้ติดตามผู้คนเหล่านั้นมาเรื่อย หลงเฉินมาหยุดอยู่ที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง ทุกคนมาร่วมกันดื่มเฉลิมฉลองให้กับความน่าปิติยินดีที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ แล้วเขาก็ยังได้คืนเงินต้นที่ยืมมาคืนแก่ทุกคนด้วย

 

 

 

 

 

ส่วนเงินที่ชนะส่วนที่เหลือก็ได้เก็บเอาไว้ หลงเฉินได้ให้คำมั่นสัญญากับพวกเขาเอาไว้ข้อหนึ่งจนทำให้พวกพ้องเกิดความตื้นตันใจขึ้นมาไม่หยุดว่า: ความสามารถในการฝึกยุทธ์ของทุกคนหลังจากนี้ หลงเฉินจะขอแบกรับเอาไว้เอง

 

 

 

 

 

เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างพากันกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจถึงขีดสุด พวกเขาต่างทราบกันดีว่าไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ ถ้าหากเป็นผู้อื่นกล่าวเช่นนี้คงไม่มีทางเชื่อเป็นแน่

 

 

 

 

 

แต่หลงเฉินเคยเป็นเช่นเดียวกันกับพวกเขามาก่อนและยังเป็นผู้ที่สยบหลี่เฮ่าได้ด้วยกระบวนท่าเดียวเท่านั้น นั่นจึงถือว่าสิ่งที่หลิงเฉินกล่าวออกมาเป็นสิ่งที่เชื่อได้ใช่หรือไม่?

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินหลงเฉินกล่าวเช่นนั้นออกมาทำให้ทุกคนล้วนยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าหลงเฉินขอให้พวกเขาเก็บไว้เป็นความลับที่รู้กันอยู่เพียงเท่านี้ ทุกคนก็พยักหน้าตอบอย่างไม่แคลงใจใดใด

 

 

 

 

 

หลงเฉินกล่าวขึ้นอย่างจริงจังเชิงว่าความลับนี้เกี่ยวโยงไปถึงอนาคตของทุกคน ทั้งยังมีความสำคัญต่อชีวิตของพวกเขาอีกด้วย ฉะนั้นแล้วพวกเขาย่อมไม่อาจที่จะไม่จริงจังขึ้นมาได้

 

 

 

 

 

หลังจากที่เจ้าอ้วนและพวกพ้องได้แยกย้ายจากไป หลงเฉินที่ยังนั่งสนทนากับซือเฟิงต่ออยู่ครู่หนึ่ง ซือเฟิงถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งในหมู่บุตรขุนนาง เรียกได้ว่ามีคุณสมบัติที่ดีพร้อมที่สุด ทั้งยังมีพลังขั้นก่อรวมระดับที่แปด ทั้งยังสามารถเข้าสู่ระดับที่เก้าก่อนที่จะอายุยี่สิบปี และอาจจะเข้าสู่ขั้นก่อโลหิตได้ตลอดเวลา

 

 

 

 

 

เมื่อผ่านการตรวจเช็คถึงสองครา ซือเฟิงจึงเป็นคนที่ควรค่าแก่การไว้เนื้อเชื่อใจได้ หลังจากที่ได้สอบถามถึงปัญหาของการฝึกยุทธ์ของซือเฟิงแล้ว หลงเฉินก็ได้แยกกับซือเฟิงและมุ่งหน้าไปยังสภาผู้หลอมโอสถในทันที

 

 

 

 

 

สภาผู้หลอมโอสถตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจักรวรรดิ ที่นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งจักรวรรดิ ต่อให้เป็นราชสำนักก็ยังไม่กล้าที่จะล่วงเกินคนจากทางสภาผู้หลอมโอสถได้

 

 

 

 

 

กล่าวกันว่าสภาผู้หลอมโอสถกลับมีเพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้นในทั่วทั้งจักรวรรดินี้

 

 

 

 

 

การมาของหลงเฉินในครั้งนี้คือการเข้ารับการสอบคุณสมบัติเพื่อให้ได้สถานะของผู้หลอมโอสถมา หากมีหลักประกันชิ้นนี้ ภายหลังที่เขาจะซื้อโอสถหรือว่าโลดแล่นในเจียงฮูก็จะราบรื่นไร้ปัญหาใด

 

 

 

 

 

ไม่ว่าจะอยู่แห่งใดสถานะอย่างผู้หลอมโอสถก็ถือว่าเป็นอาชีพที่มีความสำคัญที่สุด หากมีสิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันการมีชีวิตอยู่ของเขา ต่อให้เป็นจักรวรรดิเฟิงหมิงที่คิดจะแตะต้องเขาก็ยังจำเป็นที่จะต้องคิดไตร่ตรองอีกหลายตลบดูเสียหน่อยก่อน

 

 

 

 

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดยิ่งไปกว่านั้นคือเขาก็จะได้ซื้อโอสถในราคาพิเศษ ทั้งยังได้สิทธิ์ในการซื้อสมุนไพรที่ล้ำค่าจากสภาผู้หลอมโอสถก่อนใครอื่น เช่นนี้ก็จะประหยัดเงินทองไปได้เป็นอย่างมากโข

 

 

 

 

 

แม้สภาผู้หลอมโอสถจะกินพื้นที่ไม่ถึงสิบหลังคาเรือน แต่กลับมีความสูงถึงสิบกว่าจั้ง ดูไปแล้วทำให้รู้สึกว่าใหญ่โตโอฬารเทียมทัดฟ้าจนน่ายำเกรงเสียยิ่งนักหากเทียบกับพื้นที่อันน้อยนิดนั้น

 

 

 

 

 

เมื่อได้เข้ามาถึงห้องโถงใหญ่ก็มีสาวรับใช้สองนางออกมาต้อนรับหลงเฉิน เมื่อได้ยินว่าหลงเฉินจะมาเพื่อขอเข้ารับการทดสอบคุณสมบัติของผู้หลอมโอสถก็เกิดอาการสะดุ้งตัวโยนขึ้นมา

 

 

 

 

 

เพราะมองดูแล้วหลงเฉินเป็นแค่เด็กอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น อีกทั้งบนร่างกายยังไม่มีสภาวะการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกยุทธ์เลยแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองก็ไม่อาจปฏิเสธได้จึงนำทางหลงเฉินเข้าไปจนถึงห้องโถงหลอมโอสถ

 

 

 

 

 

ขณะนี้หลงเฉินมาถึงภายในห้องโถงที่มีชายหนุ่มอยู่นับสิบกว่าคนกำลังควบคุมเพลิงโอสถอยู่คล้ายกับกำลังหลอมวัตถุบางอย่างอยู่

 

 

 

 

 

“เอ๊ะ เหตุใดเจ้าถึงได้อยู่ในที่แห่งนี้กัน?”

 

 

 

 

 

หลงเฉินที่เพิ่งมาถึงถูกถามจากชายชราผู้หนึ่งที่มองเขาด้วยสายตาชวนสงสัย

 

 

 

 

 

เมื่อหันไปตามเสียงและพบใบหน้าชายผู้เป็นเจ้าของเสียง ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดโทสะขึ้นมาทันที ชายชราผู้นั้นคือคนที่มารักษาอาการบาดเจ็บของตนเมื่อได้สติตื่นมาครานั้น เห็นกันอยู่แล้วว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้นได้กล่าวหาว่าเขามีความเป็นไปได้ที่จะสูญเสียความทรงจำ เขาคือตาแก่ลวงโลกที่หลอกลวงเอาทรัพย์สมบัติไปจากมารดาของเขา

 

 

 

 

 

“ข้ามาเพื่อขอเขารับการทดสอบเพื่อเป็นผู้หลอมโอสถ” หลงเฉินพยายามระงับความโกรธที่จะปะทุออกมาเอาไว้ พลางคิดว่าค่อยจัดการกับตาแก่ผู้นี้ทีหลังก็แล้วกัน

 

 

 

 

 

“การทดสอบ? ผู้หลอมโอสถ?” ชายชราผู้นั้นมองหลงเฉินจากหัวจรดปลายเท้า “ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บครั้งที่แล้วของเจ้าคงจะยังไม่หายดีนะ กลับไปพักรักษาตัวเสียเถิด”

 

 

 

 

 

หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าแน่ใจว่าจะมาเพื่อเข้ารับการทดสอบ”

 

 

 

 

 

ชายชราผู้นั้นมีแววตาชวนสงสัยมากขึ้น “ข้าไม่มีเวลาที่จะมาเล่นกับทารกน้อยอย่างเจ้าหรอกนะ รีบไสหัวออกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะเรียกผู้คุ้มกัน จับโยนเจ้าออกไป”

 

 

 

 

 

หลงเฉินไม่อาจที่จะระงับโทสะเอาไว้ได้อีกต่อไป จ้องมองชายชราผู้นั้นแล้วตะโกนออกมาสุดเสียง “ถ้าหากรูหูของเจ้าถูกขนงอกเงยขึ้นมาอุดอยู่ ข้าจะบอกกับเจ้าอีกครั้ง ข้ามาเพื่อที่เข้ารับการทดสอบผู้หลอมโอสถ! “

 

 

 

 

 

หลงเฉินกระแทกเสียงในตอนท้ายดั่งเสียงคำรามกึงก้องของราชสีห์ ดังแผ่กระจายกึกก้องไปห้องโถง

 

 

 

 

 

“ผู้ใดกัน มาส่งเสียงเอะอะโวยวายในที่แห่งนี้”

 

 

 

 

 

หลังจากจบประโยคก็ปรากฏร่างของชายชราอีกผู้หนึ่งขึ้นเบื้องหน้า ใบหน้านั้นซูบผอม แสดงสีหน้าไม่พึงใจอย่างยิ่ง หลงเฉินกรอกตาอยู่รอบหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาในทันที

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset