เพียะ!
เสียงดังกึงก้องไปทั่วบริเวณ ฝ่ามือสะบัดเข้าใส่ใบหน้าที่ดำคล้ำอย่างรุนแรงจนหน้าสั่น ตัดบทพูดของเขาลงด้วยพลังอันมหาศาลจนกระเด็นไกลออกไปในทันที ฟันนับสิบซี่ร่วงหล่นออกมาจากปากกลิ้งตกลงบนพื้น
“ต้องขออภัยด้วยนะ คุณชาย ข้าเกิดรู้สึกคันมือขึ้นมา”
หลงเฉินแสดงสีหน้าขอโทษขอโพย ชายตามองไปยังชายหนุ่มใบหน้าดำคล้ำที่เพิ่งถูกฝ่ามือตบเข้าไปอย่างจังจนเกิดเป็นร่องรอยสีแดงของฝ่ามือ
ฝ่ามือนี้ตบได้อย่างเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังกระจายออกไปทั่วทุกมุมของหอตำรายุทธ์แห่งนี้ ผู้คนมากมายที่เดิมทีกำลังง่วนอยู่กับการหาตำราทักษะยุทธ์อยู่ต่างก็วางตำราในมือลงแล้วหันมองมาทางด้านนี้ด้วยความแตกตื่นตกใจ
“ผู้ใดกันถึงกับบังอาจมาก่อเรื่องกันภายในหอตำรายุทธ์”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น ชายผู้สวมชุดสีดำได้ปรากฏกายขึ้นภายในหอตำรายุทธ์ ใบหน้าไร้อารมณ์ใดใดจ้องมองไปที่หลงเฉินและชายหนุ่มใบหน้าดำคล้ำผู้นั้น
การปรากฏตัวขึ้นของชายหนุ่มผู้นี้มาพร้อมกับพลังโลหิตเดือดพล่านรอบกายดุจขุนเขาสูงใหญ่ที่กดทับลงมา หลงเฉินไม่สามารถปิดบังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจนี้ได้
‘ยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิต’
คิดไม่ถึงว่าในที่แห่งนี้มีการซ่อนเร้นยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตเอาไว้ แต่เมื่อลองมาคิดทบทวนดูแล้ว อย่างไรเสียสถานที่แห่งนี้ก็เป็นถึงหอตำรายุทธ์ ย่อมต้องมียอดฝีมือคอยดูแลอยู่บ้างซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง
หอตำรายุทธ์เป็นเขตหวงห้ามที่ห้ามใช้วิทยายุทธ์ หากลงมือในที่แห่งนี้จะต้องถูกนำตัวไปกุมขัง กฎข้อนี้ย่อมไม่มีผู้ใดที่ไม่ทราบ
“บอกมาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตผู้นั้นตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ
“เรื่องนี้ท่านต้องถามเขาเอาแล้ว” หลงเฉินไม่ได้เกิดความหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย โบกมือไปมาอย่างช้าๆ ตอบไปราวกับว่าไม่เคยทำความผิด
ชายหนุ่มใบหน้าดำผู้นั้นบังเกิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ เห็นกันอยู่แล้วว่าเขาเพิ่งโดนตบเข้าที่ใบหน้าไปหนึ่งฝ่ามือ เหตุใดยังต้องมาถามกัน?
“ใต้เท้า”
ในเวลานั้นเองโจวเย้าหยางเดิมทีที่ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลก็ได้วิ่งปรี่เข้ามาอย่างอย่างรวดเร็ว แล้วก็หันไปกล่าวต่อยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตผู้นั้นว่า “หวังหมาง เขาเกิดอาการคันที่ใบหน้าขึ้นกะทันหัน เขาจึงตบเข้าไปที่ใบหน้าของตนเองหนึ่งฝ่ามือ ทั้งยังไม่ได้ใช้วิทยายุทธ์ออกมาด้วย ขอโปรดใต้เท้าให้ความชัดเจนด้วย”
ชายหนุ่มใบหน้าดำคล้ำอันมีนามว่าหวังหมางก็ได้แสดงสีหน้าตื่นตกใจทันที คิดที่จะกล่าววาจาออกมา แต่ก็พบว่าหลี่เฮ่าที่ยืนอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลปรายตามองมาที่เขาอย่างอาฆาต จึงได้เม้มปากกล้ำกลืนวาจากลับลงไป
“เจ้าคือบุตรชายของขุนนางการคลังสินะ?” ชายผู้นั้นมองไปที่โจวเย้าหยางแล้วถาม
“ขอรับ” โจวเย้าหยางตอบกลับอย่างร้อนรน
ชายผู้นั้นพยักหน้า มองไปทางด้านหวังหมางคราหนึ่งแล้วกล่าว “ถ้าคันที่ใบหน้าก็น่าจะแค่เกาก็พอแล้ว เจ้าทำเช่นนี้จะทำให้ผู้คนคิดว่าเจ้าคันตามไรฟันเสียอีก เรื่องเช่นนี้ข้าไม่ต้องการที่พบเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง ขยะที่เจ้าทิ้งเอาไว้ก็จัดการให้เรียบร้อยด้วย”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้หันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ผู้คนมากมายตกอยู่ในความตื่นตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่าโจวเย้าหยางออกปากปกป้องหลงเฉินได้ถึงเพียงนี้
“หึหึ ได้ยินแล้วใช่ไหม โตขนาดนี้แล้วยังมักง่าย เอาขยะของเจ้าทิ้ง แล้วเก็บกวาดให้สะอาดด้วยล่ะ”
หลงเฉินหัวเราะหึหึขึ้นมาราวกับได้คาดเดาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว แล้วเขาก็หันกายเดินจากไปไกล เข้าไปเลือกตำราทักษะยุทธ์ต่อ
“น่ารังเกียจเสียจริง”
เมื่อมองเห็นร่างที่เย่อหยิ่งของหลงเฉินกำลังลับหายไป หวังหมางได้เพียงกำหมัดแน่น ความโกรธแค้นปะทุรุนแรงคล้ายกับมีเปลวเพลิงพุ่งออกมา ฝ่ามือนั้นช่างทำให้รู้สึกเจ็บปวดในใจเป็นอย่างยิ่ง
“หวังหมางอดทนไว้ ถ้าหากเจ้ากล่าวออกไปว่าหลงเฉินทุบตีเจ้า หลงเฉินก็จะถูกกักบริเวณไปถึงหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนต่อจากนี้เขาก็จะอยู่อย่างปลอดภัยเกินไป
แต่หากเจ้ากล้ำกลืนความแค้นนี้เอาไว้ พรุ่งนี้หลี่เฮ่าจะช่วยเจ้ากอบกู้ใบหน้าที่แตกไปของเจ้ากลับมาเอง ฉะนั้นถึงอยากให้เจ้าอดทนไว้” โจวเย้าหยางกล่าว
หวังหมางพยักหน้าไปมา เขาทราบเรื่องการประลองของหลี่เฮ่าและหลงเฉินอยู่แล้ว แต่ปกติเขามักจะรังแกหลงเฉินจนเคยชินจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ผลลัพธ์ในวันนี้มากมายจนเกินไป แค่ถูกตบจนดังสนั่นไปทั่วทั้งหอยังไม่พอ ยังมีฟันหักอีกหลายซี่ที่ต้องกลืนลงท้องไปด้วยอีก
มีหลายคนที่ช่วยกันเก็บฟันที่หลุดร่วงอยู่บนพื้นของเขาขึ้นมา แล้วก็ช่วยเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่ตามพื้นอย่างสะอาดหมดจด ทันใดนั้นโจวเย้าหยางก็ได้ถามขึ้นมาอย่างสงสัย “หน้าเจ้ายังไม่ถือว่าบวมมากนัก จากที่ดูแล้วแรงของหลงเฉินก็น่าจะไม่ได้มากมายอะไร แต่ว่าเหตุใดถึงได้ทำให้ฟันหลุดออกมาได้มากถึงเพียงนี้?”
คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกสงสัยไปตามกัน กล่าวกันตามเหตุผลก็มีแต่เพียงการใช้พลังอันมหาศาลเท่านั้นจึงจะทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมาได้
“ใครจะไปทราบได้กัน คงจะเจอผีเข้าเสียล่ะมั้ง” หวังหมางมีสีหน้าหดหู่ ที่เขาไม่ทราบก็คือหลงเฉินในตอนนี้มีความเข้าใจในการหลอมโอสถเชิงลึกจึงมีความเข้าใจสภาพร่างกายของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
ฝ่ามือเมื่อครู่ที่ใช้ออกมานั้นคือความพิสดารทำให้เหงือกของเขาเกิดการคลายตัว ฟันไม่เกาะกับเหงือกไปครึ่งด้านจนหลุดลอกออกมา
กระบวนท่านี้ของหลงเฉินเรียกได้ว่ารุนแรงอย่างมาก ซึ่งฟันเป็นชิ้นส่วนที่ไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาใหม่ได้ ไม่เหมือนกับอาการบาดเจ็บที่เกิดกับร่างกายส่วนอื่นที่ยังสามารถใช้โอสถเพื่อทำการรักษาได้ หลังจากนี้หวังหมางมีแต่ต้องใช้ฟันที่เหลืออีกเพียงด้านเดียวไว้กินข้าวแล้ว
เมื่อเห็นหวังหมางเป็นตัวอย่าง ผู้คนทั้งหมดต่างก็สงบเสงี่ยมขึ้นกว่าเดิม ไม่มีผู้ใดกล้าไปหาเรื่องกับหลงเฉินอีก
หลงเฉินรู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด กวาดตามองไปที่ชั้นวางตำราอย่างละเอียด วิชาทักษะยุทธ์ที่อยู่ในที่แห่งนี้สามารถอ่านแค่ภายในนี้เท่านั้น ไม่สามารถที่จะนำออกไปได้
“พลังวัวคลั่ง”
นั่นถือเป็นทักษะยุทธ์เล่มหนึ่ง ในโลกใบนี้แบ่งทักษะยุทธ์ทั้งหมดเป็นสามขั้นด้วยกัน สวรรค์ โลกา มนุษย์และทั้งหมดที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ ทั้งวิชายุทธ์ ทักษะยุทธ์ ต่างก็อยู่ในขั้นมนุษย์ระดับล่างทั้งสิ้น หรือหมายถึงเป็นทักษะยุทธ์ที่ไม่มีใครใช้นั่นเอง
ต่อให้เป็นทักษะยุทธ์ที่ไม่มีผู้ใดใช้แต่ก็มีอะไรบางอย่างที่มีค่าแฝงอยู่ ถึงแม้จะมีฐานะเป็นบุตรขุนนางที่สูงส่ง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีเป้าหมายเพื่อเป็นยอดฝีมือพลังก่อโลหิต เพียงเท่านี้ก็สามารถทราบได้ว่าจักรวรรดิเฟิงหมิงให้ความสำคัญกับทักษะยุทธ์มากน้อยเพียงใด
“ถึงแม้ว่าจะเป็นทักษะยุทธ์ในระดับล่าง แต่ว่าหลักการไหลเวียนของพลังลมปราณมีความง่ายดายชัดเจน แสดงผลลัพธ์ออกมาในทันที นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว”
หลงเฉินได้อ่านดูทักษะยุทธ์เล่มที่อยู่ในมือจนจบก็ได้พยักหน้าหงึกหงักไปมา ทักษะยุทธ์เล่มนี้เหมาะกับเขาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเขาที่ล่วงรู้ถึงเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายอย่างทะลุปรุโปร่ง อีกทั้งยังมีก้าวข้ามการเบิกพลังได้รวดเร็วเป็นยิ่งนัก
เมื่อได้อ่านอย่างละเอียดอีกรอบ ตัวเขาในตอนนี้มีพลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้จึงช่วยให้มีความสามารถในการจดจำตำรามีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น สิ่งที่ผ่านตามาไม่มีลืมเลือนหรือไม่ตกหล่นไปแม้แต่น้อย
หลังจากที่จดจำพลังวัวคลั่งเอาไว้จนครบสมบูรณ์แล้ว เขาวางกลับมันไปยังที่เดิม หลงเฉินบังเอิญหันไปเจอตำราทักษะยุทธ์สนับสนุนอีกเล่มหนึ่ง —— ท่าเท้าไล่วายุ
ท่าเท้าไล่วายุเป็นวิชาท่าร่างชนิดหนึ่งที่มีหลักการไหลเวียนลมปราณผ่านเส้นลมปราณที่พิเศษเฉพาะแล้วก้าวเท้าออกไป สามารถช่วยเพิ่มพูนความเร็วและการระเบิดพลังของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการย่นระยะทางหรือการหลบหลีกในระยะทางสั้นๆ ต่างก็เกิดผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด
“เยี่ยมไปเลย เป็นอีกเล่มที่ถือได้ว่าใช้ได้เลย”
หลงเฉินยิ้มร่าให้กับตัวเอง เขารีบใช้สมาธิเพื่อจดจำหลักการไหลเวียนพลังลมปราณในตำราเอาไว้ รวมไปจนถึงวิธีการควบคุมร่างกายอีกด้วย
“หมดเวลาแล้วคุณชายทุกท่าน โปรดเก็บตำราเข้าชั้นได้ ถ้าหากมีคนที่กล้าเก็บซ่อนเอาไว้ มีแต่ต้องตายสถานเดียว!”
ในเวลานี้ยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ส่งเสียงตะโดนอย่างเยือกเย็นดังเข้าโสตประสาทหูของทุกคนที่อยู่ในนั้น ทุกคนต่างจึงเร่งรีบจัดเก็บตำรากลับเข้าไปยังชั้น
มีอยู่อย่างหนึ่งที่คิดแล้วก็ต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความเอือมระอา จักรวรรดิเฟิงหมิงถือได้ว่ามีมาตรฐานการดูแลทักษะยุทธ์อย่างเข้มงวด แต่พวกเขากลับมีเวลาเพียงแค่ครึ่งวันในหนึ่งเดือนที่จะสามารถเข้ามาศึกษาทักษะยุทธ์ในที่แห่งนี้ได้
โดยส่วนใหญ่การที่จะทำความเข้าใจทักษะยุทธ์เพียงเล่มเดียวจำเป็นจะต้องใช้เวลานานหลายเดือน ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จิตใจจะเกิดความขัดแย้งแต่ก็ไม่อาจที่จะโทษผู้ใดได้
หลงเฉินงุนงง คิดไม่ถึงว่าเวลาที่ได้ศึกษาตำราจะล่วงเลยไปได้เร็วถึงเพียงนี้ หากผู้อื่นได้ทราบว่าเขานั้นใช้เวลาเพียงสั้นๆ เพียงสองชั่วยามในการจดจำทักษะยุทธ์ไปได้ถึงสองเล่ม เกรงว่าคงจะต้องตกตะลึงจนหุบปากไม่ลงเลยทีเดียว
ท่ามกลางตำราทักษะยุทธ์มากมายต่างก็ซ่อนเร้นบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการไหลเวียนพลังลมปราณบางอย่างซึ่งจะทำให้ผู้คนคล้ายหลงอยู่ภายในหมอกควัน จำเป็นที่จะต้องใช้ทางหนึ่งศึกษา ทางหนึ่งทดลองไหลเวียนพลังลมปราณเพื่อตรวจสอบ
เมื่อออกจากตำหนักฝึกสอนบุตรขุนนางแล้ว หลงเฉินอำลาเจ้าอ้วนและพวกพ้อง ทั้งยังได้สนทนากับซือเฟิงอยู่อีกหลายประโยค
ซือเฟิงก็มีสีหน้าประหลาดใจ เมื่อรู้สึกตัวว่าแสดงออกจนเกินงามจึงรีบระงับมันเอาไว้ แต่ภายในแววตาของเขายังคงซ่อนเร้นความสงสัยนั้นเอาไว้อยู่
หลังจากที่ได้กลับมาที่บ้าน หลงเฉินก็ได้ย้อนกลับไปยังห้องที่แหลกละเอียดของเขาก่อนเพื่อทำการจัดการให้เรียบร้อย ซึ่งในเวลานี้ไม่สามารถที่จะอาศัยอยู่ได้อีกแล้ว ยังดีที่ยังมีห้องเหลืออยู่อีกมากมายจึงได้จัดแจงโยกย้ายไปอีกห้องหนึ่ง
จากนั้นก็ไปยังห้องของมารดาเพื่อที่จะขอลานางก่อนจะไปนอน หลายวันมานี้ได้เกิดเรื่องมากมายติดต่อกันทำให้ฮูหยินหลงไม่อาจที่จะวางใจให้เย็นลงได้เลย
นับตั้งแต่ที่หลงเฉินฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปมาก แทบจะกลายเป็นคนละคน จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้ ทำให้ฮูหยินหลงเกิดความรู้สึกเหมือนกับเป็นคนแปลกหน้าขึ้นมา
ทว่ายังดีที่หลงเฉินในตอนนี้ได้ปรับความเข้าใจกับมารดาเป็นที่เรียบร้อย ทั้งยังได้สนทนากับนางอยู่ครู่ใหญ่ทำให้มารดาสบายใจขึ้นมาอยู่ไม่น้อย แต่เกี่ยวกับเรื่องการประลองเป็นตายกับหลี่เฮ่า กลับมิได้เปิดปากพูดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
หลังจากที่ออกจากห้องของมารดาแล้ว หลงเฉินเดินตรงกลับห้องของตัวเอง จัดแจงปิดประตูลงกลอนไว้เป็นอย่างแน่นหนา แล้วใช้โอสถกักวายุเม็ดที่สองในทันที
ในระหว่างที่ได้ไหลเวียนพลังจากโอสถกักวายุเม็ดที่สองแล้ว จุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าของหลงเฉินก็ได้แผ่ขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม
ในระหว่างที่จุดดารากักวายุใหญ่ขึ้น ภายในจุดดารากักวายุก็เกิดพลังลมปราณที่เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน มากขึ้นเสียจนน่าตกใจประดุจจุดตันเถียนเลยก็ว่าได้
ก่อนหน้านี้จุดดารากักวายุยังเป็นเพียงแค่ระดับตัวอ่อนเท่านั้น หากจะทำให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ยังจำเป็นที่จะต้องใช้โอสถกักวายุอีกนับไม่ถ้วนเพื่อทำให้เต็มเปี่ยมขั้นสุด
นี่เป็นเหตุผลที่หลงเฉินเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าการฝึกยุทธ์เคล็ดกายานวดาราเป็นสิ่งน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้โอสถกักวายุสองเม็ดที่มีราคาหลายสิบหมื่นตำลึงทองได้ถูกส่งลงท้องไปหมดแล้ว จุดดารากักวายุกลับยังคงอยู่ในสภาพตัวอ่อนอยู่ซึ่งการจะหลอมรวมจนกลายเป็นดาราที่แท้จริงได้นั้นต้องผ่านสามระดับได้แก่ ตัวอ่อน ก่อร่าง และรวมพลัง ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด แล้วยังมีเก้าดาราในระดับตำนานแท้จริงอีกซึ่งเป็นเช่นไรก็ยังไม่อาจทราบได้ จุดดารากักวายุนี้กล่าวอย่างง่ายๆ ก็เหมือนหลุมดำมือมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด
ในตอนนี้เคล็ดกายานวดารานี้เป็นเพียงทางออกเดียวสำหรับเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงจะต้องเป็นเพียงคนธรรมดาไปทั้งชีวิต แม้แต่การใช้ชีวิตปกติก็ยังทำไม่ได้ คงจะต้องกลายเป็นเนื้อคนบนเขียงให้ผู้คนคอยเข่นฆ่าทำร้าย
เขาได้ใช้เวลากว่าสองชั่วยามในการหลอมรวมโอสถกักวายุ ตัวอ่อนของจุดดารากักวายุก็ได้มีขนาดใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย พลังลมปราณที่สามารถไหลเวียนออกมาได้ก็เพิ่มขึ้นมาอีกส่วน
ในเวลานี้ล่วงเลยมาถึงยามพบค่ำแล้ว หลงเฉินเดินออกมานอกห้องอย่างช้าๆ มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเก็บฟืน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง ไหลเวียนพลังตามพลังวัวคลั่งขึ้นมาอย่างช้าๆ หลงเฉินรู้แจ้งเห็นกระจ่างถึงเส้นลมปราณในร่างของเขาดุจนิ้วบนฝ่ามือ ทักษะยุทธ์ขั้นมนุษย์ระดับล่างไม่ได้สร้างแรงกดดันให้ตัวเขาเลยแม้แต่น้อย
หลงเฉินเดินมาถึงด้านหน้าลูกกลิ้งหินชิ้นหนึ่ง ลูกกลิ้งหินตามปกติจะเป็นวัตถุที่มีความทนทานสูง อีกทั้งยังมีน้ำหนักที่มากถึงหนึ่งพันชั่ง เขาใช้สองมือโอบลูกกลิ้งหินแล้วรวมพลังเข้าไปยังแขนทั้งสองข้าง
“อึบ”
ลูกกลิ้งหินขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นอย่างง่ายกาย เกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย หลงเฉินตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่งเพื่อที่จะสัมผัสว่าตนเองน่าจะมีพลังอยู่ในระดับใด เห็นได้ว่าพลังของตนเองสามารถที่จะยกสิ่งของที่มีน้ำหนักประมาณหนึ่งพันห้าร้อยชั่งได้แล้ว
และทราบได้ว่าก่อนหน้าที่เขาจะถูกโจวเย่าหยางจัดการ พลังของเขาน่าจะประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบชั่งเท่านั้น ขณะนี้ถึงกับมากมายขึ้นมาได้กว่าสิบเท่า
“ยอดไปเลย พลังอันมหาศาลของข้าในตอนนี้เกือบจะเทียบเท่าผู้ที่มีพลังขั้นก่อรวมระดับที่ห้าแล้ว”
หลงเฉินออกอาการดีอกดีใจจนหยุดไม่อยู่ ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นต่อเคล็ดกายานวดารามากขึ้น เพียงแค่ระดับก่อรวมระดับตัวอ่อนเพียงจุดเดียวก็สามารถเพิ่มพูนพลังได้มากถึงเพียงนี้ จึงไม่อยากจะคิดล่วงหน้าไปว่าหากก่อรวมจุดดารากักวายุที่แท้จริงขึ้นมาได้ ตนเองมีพลังมากกว่านี้อีกเท่าใด?
ในขณะที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่นาน ผนวกกับความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นภายในใจ เขาย่อตัวกางขาตั้งท่าพื้นฐาน ไหลเวียนพลังจากส่วนล่างขึ้นมาอย่างช้าๆ พลังอันมหาศาลอันร้อนระอุระลอกหนึ่งก็ได้พุ่งขึ้นมา ค่อยๆ ไหลเวียนเข้าไปรวมอยู่ที่กำปั้น
“หมัดวัวคลั่ง”
ปัง!
พลังหมัดของหลงเฉินได้กระแทกชนเข้ากับลูกกลิ้งหินที่วางอยู่ตรงหน้าจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายถูกพายุซัดโครมลอยกระเด็นออกไปกระแทกชนเข้ากับกำแพงที่อยู่ไกลออกไปอย่างจัง จนทำให้กำแพงเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมา
หลงเฉินตาโต ปากอ้าค้าง ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก เขาเพียงคิดที่จะทดสอบพลังทำลายล้างของมันเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้
เมื่อหันหลังมองไปทางด้านนอกก็ได้พบว่าภายในจวนเกิดแสงไฟจาตะเกียงขึ้นทีละห้อง หลังจากถึงสติออกมาได้ก็ทราบว่าการเคลื่อนไหวของตนได้ทำให้ทุกคนแตกตื่นกันหมด จึงได้รีบวิ่งย้อนกลับไปที่ห้อง หัวหนุนหมอนเอนนอนลงไป
แต่ทว่าหัวใจกลับเต้นอย่างบ้าคลั่งคล้ายจะหลุดออกมาด้านนอก เคล็ดกายานวดารา แท้จริงแล้วเป็นวิชาในระดับใดกันแน่ ถ้าหากรวมดาราทั้งเก้าได้ครบ เช่นนั้นจะมีพลังทำลายได้ถึงระดับใดกัน?
ในคืนนี้หลงเฉินไม่อาจที่จะข่มตาและหยุดความคิดเหล่านี้แล้วหลับลงได้ เมื่อถึงวันที่สองในยามที่แสงแดดแรกได้สาดส่องเข้ามาภายในห้อง หลงเฉินลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ
“หึหึ คิดที่จะเอาชิ้นส่วนร่างกายของข้างั้นหรือ? ความคาดหวังนี้มักใหญ่ใฝ่สูงเกินไปแล้ว เกรงว่าข้าคงไม่อาจทำให้พวกเจ้าสมความปรารถนานี้ได้”
เมื่อลุกขึ้นจากที่นอน อาบน้ำอาบท่าจนเสร็จสิ้น เขาได้ยินเสียงผู้คนสนทนากันผ่านเข้ามาภายในโสตประสาท พวกเขากำลังสนทนาถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ห้องเก็บฟืน เขาไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขาทอดสายตามองออกไปยังดวงตะวันที่อยู่เหนือท้องฟ้า อดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา
“วันนี้เป็นวันดีวันหนึ่ง คิดทำสิ่งใดก็ย่อมประสบความสำเร็จ”